เมื่อเห็นใบหน้านี้ นางค่อนข้างรู้สึกยินดีกับความเคราะห์ร้ายของผู้นำตระกูลมู่คนก่อนที่ได้หายสาบสูญไปนานแล้ว และทิ้งลูกสาวนอกสมรสเอาไว้ข้างนอก
แต่ท่านพ่อบอกว่าหญิงสาวผู้นี้มีฐานันดรที่ต่างกันกับมู่เฉียนซีราวเมฆกับโคลน เช่นนั้นก็แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “หญิงสาวผู้นี้เป็นผู้ที่เฟิงอวิ๋นซิวยอมที่จะไปลงทะเลเพลิงฝ่าภูเขาคมมีดเพื่อนาง ดังนั้นแล้วเฟิงอวิ๋นซิวจึงได้มายังตำหนักตงจี๋ ก็เพราะต้องการที่จะหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้แก่นาง”
“ดังนั้นเฟิงอวิ๋นซิวจึงได้ตามหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไปทั่วโลกทั้งสี่ทิศมาสิบกว่าปีแล้ว”
“เฟิงอวิ๋นซิวรักนางเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่มันเป็นเพียงคางคกที่ต้องการกินเนื้อห่านฟ้าเท่านั้น”
เฟิงอวิ๋นซิวเป็นถึงนายน้อยของตำหนักตงจี๋ ทั้งพรสวรรค์และรูปลักษณ์ของเขาสามารถหยิ่งผยองไปได้ทั่วโลกทั้งสี่ทิศ ท่านพ่อกลับกล่าวว่าเขาเป็นเพียงแค่คางคกที่ต้องการจะกินเนื้อห่านฟ้าเท่านั้น
ไป๋เหยียนเอ๋อร์ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้และกล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านพ่อ สรุปแล้วนางมีฐานันดรอะไรกันแน่?”
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “ฐานันดรของนางไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถรู้ได้เหยียนเอ๋อร์ เจ้าจงอย่าสงสัยมากไปนักจะดีกว่า จงทำเรื่องของเจ้าให้ดีก็พอแล้ว”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าวถาม “ในเมื่อเฟิงอวิ๋นซิวมีคนในใจแล้ว เช่นนั้น…”
“หากเจ้าแปลงโฉมเป็นนางและเมื่อถึงตอนนั้นก็ใช้เล่ห์กลอีกเล็กน้อย ข้าได้ให้หัวหน้านักปรุงยาเตรียมของเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ปรมาจารย์แห่งการแปลงโฉมเองก็เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว”
“จะเริ่มลงมือเมื่อไร?”
“เรื่องนี้ไม่ควรที่จะเชื่องช้า คืนของวันพรุ่งนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงขนาดเล็กถือว่าเป็นการเลี้ยงส่งมู่หรงเฉียนเยี่ยก็แล้วกัน! และให้หน้าแก่เฟิงอวิ๋นซิวอย่างเต็มที่”
“รับทราบ!”
หลังจากที่แอบฟังไปได้ครึ่งหนึ่ง มู่เฉียนซีและชิงอิ่งก็ได้กลับไปยังตำหนักของเฟิงอวิ๋นซิว
ทันทีที่กลับมาถึงมู่เฉียนซีก็พบว่าเฟิงอวิ๋นซิวกำลังรอนางอยู่ มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้น “ข้านึกว่าข้าได้แอบออกไปอย่างผีไม่รู้เทพเทวดาไม่เห็นแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะรู้เข้า”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าเองก็บังเอิญพบว่าเจ้าไม่อยู่ก็เท่านั้น แล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”
“มีปัญหาเกิดขึ้นนิดหน่อย แผนการจึงไม่สามารถปฏิบัติได้เป็นการชั่วคราว”
“มีปัญหา? เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไรหรอก แต่ว่าเจ้าน่ะเกิดเรื่องเสียแล้วอวิ๋นซิว! ข้าได้ยินสิ่งที่ไป๋เหยียนเอ๋อร์กับไป๋อู๋ห่ายพูดคุยกัน ไป๋อู๋ห่ายกำลังวางแผนให้ไป๋เหยียนเอ๋อร์แต่งงานกับเจ้า”
เป็นดั่งที่คาดเอาไว้ หลังจากที่ได้ยินแล้วสีหน้าของเฟิงอวิ๋นซิวก็กลายเป็นไม่เป็นมิตรเป็นอย่างมาก
“พวกเขา…พวกเขาช่างกล้าดีนัก!”
“ส่วนรายละเอียดของแผนการว่าจะเริ่มปฏิบัติการเมื่อไรนั้น ข้ายังไม่ได้ทันฟังพวกเขาพูดก็ได้เผยพิรุธออกไปเสียแล้ว ต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องระวังตัวเสียแล้ว”
“เผยพิรุธออกมา เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง!”
“นี่ข้าก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วมิใช่หรือไง? แน่นอนว่าข้าไม่เป็นอะไร ผู้ที่ควรจะระวังก็คือเจ้า หากวันใดที่ข้าได้ยินว่าเจ้าจะแต่งไป๋เหยียนเอ๋อร์เป็นภรรยา ข้าคิดว่าความสัมพันธ์ในการร่วมมือของพวกเราก็ควรที่จะหยุดลงเสีย”
เฟิงอวิ๋นซิวกำหมัดแล้วกล่าว “เฉียนเยี่ย มันจะไม่มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ข้ารับประกัน”
มู่เฉียนซีกลับไปยังห้องของตนเองแต่ก็ยังคงสงสัยอยู่เป็นยิ่งนัก
ไป๋อู๋ห่ายนำอะไรให้ไป๋เหยียนเอ๋อร์ดูนางถึงได้ร้องตะโกนชื่อของตนออกมาเช่นนั้น
ทั้งหมดนั้นต้องรอให้ไป๋เหยียนเอ๋อร์และไป๋อู๋ห่ายเริ่มปฏิบัติการอะไรบางอย่างถึงจะได้รู้อะไรขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าหากต้องรอจนถึงภายหลังที่นางจากไปแล้วจะทำเช่นไร?
นางจะมีหนทางอื่นที่จะอยู่ที่ตำหนักตงจี๋ต่อหรือไม่?
ยังไม่ทันที่มู่เฉียนซีจะได้ตัดสินใจ วันต่อมาไป๋อู๋ห่ายก็ได้กระจ่ายข่าวออกไปถึงการจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ เพื่อเลี้ยงส่งสหายของนายน้อยอวิ๋นซิวโดยเฉพาะ
ผู้ที่ขับไสไล่ส่งคือพวกเขา และมาตอนนี้ผู้ที่แสร้งทำเป็นมิตรก็คือพวกเขาอีก
การจัดงานเลี้ยงขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ มู่เฉียนซีรู้สึกว่ามันจะต้องมีปัญหาเป็นอย่างมากแน่
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวขึ้น “เฉียนเยี่ย ถ้าหากว่าเจ้าไม่ชอบก็ปฏิเสธไปเสียก็ได้แล้ว”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “น้ำใจของท่านเจ้าตำหนักนี้ ข้าจะไปแข็งใจทำให้เขาเสียน้ำใจได้อย่างไรเล่า!”
เกรงว่าในงานเลี้ยงครั้งนี้จะต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่ คอยดูเดี๋ยวก็ได้รู้
นายน้อยอวิ๋นซิวถึงกลับจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ เพื่อเลี้ยงส่งสหาย เหล่าผู้คนต่างไม่เข้าใจกันเป็นอย่างมาก แต่ทว่าผู้ที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมก็ได้มาถึงแล้วเป็นจำนวนไม่น้อย อย่างไรเสียก็ต้องเห็นแก่หน้าของนายน้อยอวิ๋นซิว
เห็น ๆ อยู่ว่าเป็นงานเลี้ยงขนาดเล็กแต่ท่านเจ้าตำหนักก็ยังมาเข้าร่วมด้วย แต่ทว่าไป๋เหยียนเอ๋อร์นั้นกลับมิได้มา
มู่เฉียนซีเข้าไปใกล้ชิดตัวเฟิงอวิ๋นซิวแล้วกล่าว “อวิ๋นซิว เจ้าจะต้องระวังตัวนะ!”
“เหล้าสุราไร้พิษ ในอาหารเองก็ไร้พิษเช่นกัน นี่มัน…”
หลังจากที่มู่เฉียนซีได้ตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้วก็พบว่าไม่มีปัญหาใด ๆ
หรือว่านางคิดมากไปเอง พวกเขามิได้มีแผนการที่จะลงมือรวดเร็วเช่นนั้น
หลังจากงานเลี้ยงเล็ก ๆ นี้เสร็จสิ้นลงแล้วมู่เฉียนซีก็ได้กลับไปยังจวนที่ตนเองเป็นแขกอยู่
มู่เฉียนซีมิได้กลับไปที่ห้องของนางในทันที หากแต่ไปอยู่บนหลังคากับเฟิงอวิ๋นซิวเพื่อให้ลมพัดกลิ่นเหล้าที่ติดอยู่ทั่วตัวออกไป
ไม่นานนักก็ได้มีคนเข้ามาเชิญ
“นายน้อยอวิ๋นซิว ท่านเจ้าตำหนักขอเชิญท่านไปที่เรือนเพื่อปรึกษาเรื่องบางเรื่อง ขอเชิญให้ท่านไปหาสักครั้งหนึ่ง”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ได้!”
เมื่อมู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกว่าคืนนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างเป็นแน่
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เจ้าระวังตัวด้วย!”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าได้เตรียมตัวเอาไว้แต่แรกแล้ว จะไม่โดนเขาลอบทำร้ายอย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซียังคงไม่วางใจ เมื่อกลับไปถึงยังห้องของตนเองนางก็ได้เรียกชิงอิ่งออกมา
“เฉียน พวกเราแอบฟังที่มุมกำแพงต่อกันเถอะ!”
“อื้ม!”
มีชิงอิ่งอยู่มู่เฉียนซีก็ไปไหนมาไหนในตำหนักตงจี๋ได้อย่างเป็นอิสระและได้ตามเฟิงอวิ๋นซิวไปจนถึงเรือนนอนของไป๋อู๋ห่าย
แต่เมื่อเพิ่งจะเหยียบก้าวเข้าไปในประตูหลักที่เรือนนอน เฟิงอวิ๋นซิวก็ได้เห็นเงาร่างในชุดสีแดงเข้า
คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีแดงดุจเพลิงประหนึ่งหงส์ผู้สูงศักดิ์ที่อาบไปด้วยเพลิงพราวระยับ
เมื่อมองกลับมาใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติก็ปรากฏขึ้นทําให้เฟิงอวิ๋นซิวนั้นเสียหลักไป
มู่เฉียนซีที่ตามมาติด ๆ ถูกชิงอิ่งพาให้อยู่ในเงามืด แต่ใบหน้าของคนตรงหน้านั้นนางกลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
คนตรงหน้านั้นดูละม้ายคล้ายนางเจ็ดถึงแปดส่วน
ท่านปู่ตงหวงบอกว่านางเหมือนมารดาของตนไม่มีผิด ถึงแม้ว่าสตรีผู้อยู่ตรงหน้านี้จะเป็นผู้ใหญ่มากกว่านางแต่ดูท่าทีแล้วก็มีอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น
จะต้องไม่ใช่มารดาของนางเป็นแน่!
ไม่สิ…
คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ใดทั้งนั้น นางคือมู่หรูเหยียน
เมื่อมองอย่างผิวเผินในคราแรกมู่เฉียนซีถูกทำให้หลงผิดมึนงง แต่พอมองอีกครั้งหนึ่งมู่เฉียนซีกลับสงบจิตสงบใจขึ้นมา
การแปลงโฉมเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ทักษะการแสดงก็สมบูรณ์แบบ แต่ว่าก็ไม่อาจที่จะปกปิดกลิ่นอายในความเป็นตัวตนของมู่หรูเหยียนได้
มู่เฉียนซีสามารถอ่านได้ทะลุปรุโปร่งอย่างใจเย็น แต่ทว่าเฟิงอวิ๋นซิวที่ล้ำลึกเข้าไปในนั้นกลับมองไม่ออก
นี่เป็นหญิงสาวผู้ที่เขาคิดถึงมาโดยตลอดทุกวันคืนเป็นเวลาสิบกว่าปี
เขาเข้าไปใกล้แล้วกล่าวขึ้น “ท่านมาแล้ว? ข้าทำให้ท่านต้องผิดหวังเสียแล้ว อวิ๋นซิวได้ตามหามาอย่างยาวนานก็ยังไม่สามารถหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้ท่านได้พบ”
สีหน้าของมู่เฉียนซีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไป๋อู๋ห่ายได้ให้ไป๋เหยียนเอ๋อร์ปลอมตัวเป็นสตรีที่เฟิงอวิ๋นซิวชอบเพื่อที่จะได้เข้าใกล้เขา และเฟิงอวิ๋นซิวก็ติดกับโดยที่ไร้ซึ่งการป้องกัน
มู่เฉียนซีสบถออกมา “ปกติแล้วไม่เห็นเจ้าจะโง่ขนาดนี้และตาบอดเช่นนี้นี่!”
แน่นอนว่านายน้อยอวิ๋นซิวผู้น่าทึ่งนั้นมิได้โง่มิได้ตาบอด หากแต่ว่าเขานั้นหลงรักในสตรีผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้งจนไม่อาจที่จะถอนตัวได้
เมื่อได้เห็นใบหน้าที่เหมือนกัน การแต่งกายที่งดงามเช่นเดียวกันเขาก็ถูกทำให้สับสนจนไม่อาจที่จะเดินออกมาได้
ไป๋เหยียนเอ๋อร์หัวเราะอย่างเย็นยะเยือกอยู่ในใจ อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งโลกทั้งสี่ทิศก็ไม่เท่าไรนี่?
ความรักที่จมลึกเป็นอย่างมากจึงทำให้ถูกหลอกได้ง่ายดายเช่นนี้
แต่ทว่าหญิงสาวที่เขาหลงรักนั้นกลับละม้ายคล้ายกับมู่เฉียนซีถึงเพียงนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะต้องเอาเขามาให้ได้
เดิมทีเขาก็มีท่าทีที่ไม่ปกติธรรมดากับมู่เฉียนซีอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเฟิงอวิ๋นซิวได้พบกับมู่เฉียนซีอีกครั้ง
ด้วยใบหน้านั้นของมู่เฉียนซีก็สามารถที่จะทำให้จิตวิญญาณของเขาล้มตึง ให้ทำอะไรก็ได้ทั้งสิ้น!
นางจะไม่ปล่อยให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน วันนี้นางต้องการที่จะได้เฟิงอวิ๋นซิวมาและให้เขากลายเป็นสิ่งของในกำมือของนาง