มีสองคน ที่แม้ว่านางจะได้รับมรดกหม้อเทพนิรันดร์ แต่ในความเจ็บป่วยของพวกเขาหมอปีศาจอย่างนางก็ไม่มีความสามารถในการรักษา
คนแรกก็คือจิ่วเยี่ย เขาแข็งแกร่งมาก สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เขาทุกข์ได้นั่นก็คือคำสาปเท่านั้น คิดที่จะรักษาก็มีเพียงเบาะแสเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงแม้ทักษะทางการแพทย์จะเหนือชั้นแค่ไหนก็ไม่สามารถเข้าใจได้
คนที่สองก็คือชิงอิ่งเขาไม่ใช่ร่างกายที่มีชีวิต เมื่อเขาป่วยและได้รับบาดเจ็บก็ทำได้เพียงปล่อยให้เขาฟื้นฟูด้วยตัวเองเท่านั้น
เมื่อนางได้ยินความสามารถของสำนักหุ่นปีศาจจึงอยากที่จะสืบหาและเรียนรู้เกี่ยวกับหุ่นเชิด
ทำเพื่อเขา! ชิงอิ่งตกตะลึงอย่างที่สุดและความปีติยินดีที่ไม่สามารถอธิบายได้ดูเหมือนจะเติมเต็มหัวใจดวงนั้นของเขา
มู่เฉียนซีมองไปที่ชิงอิ่งและกล่าวว่า “ชิงอิ่ง เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเจ้าเป็นใคร? เจ้ามาจากที่ไหน”
คำตอบของชิงอิ่งคือ “ไม่ ข้าแค่ต้องการอยู่เคียงข้างเฉียนและปกป้องเฉียน”
ดูเหมือนว่าไม่ว่าเขาจะมีความทรงจำหรือไม่ เขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นเลย สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว ครั้งนี้ข้าจะไปที่สำนักหุ่นปีศาจให้ได้ จับตาดูเฟิงอวิ๋นซิวเอาไว้ให้ข้าให้ดี หากเขาออกเดินทางก็บอกข้าทันที”
ชิงอิ่งพยักหน้าและตอบว่า “อืม”
ครั้งนี้เฟิงอวิ๋นซิวไปที่เทือกเขาเมฆามืดเพื่อจัดการกับสำนักหุ่นปีศาจ เขาได้นำเหล่าองครักษ์ซวน ผู้อาวุโสทั้งหลาย และแม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดก็มาพร้อมกับตัวเขาเองด้วย นับว่าเป็นกระบวนทัพที่ยิ่งใหญ่
ไป๋อู๋ห่ายและปรมาจารย์จางผิดหวังมากที่พวกเขาไม่เห็นมู่เฉียนซีในขบวน เจ้าหนูนั่นไม่ได้ไปและการทำสิ่งหนึ่งเพื่อจุดประสงค์สองประการของพวกเขาเกรงว่าจะไม่สามารถทำให้สำเร็จได้แล้ว
หลายวันนี้มู่เฉียนซีได้ปิดประตูเก็บตัวปรุงยาอยู่ตลอด ทั้งยังให้เฟิงอวิ๋นซิวส่งเหล่าองครักษ์ทั้งหลายมาเฝ้านาง เพื่อไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนนางที่ห้องปรุงยาได้
และเพื่อไม่ให้เฉียนเยี่ยไปกับเขาด้วย เฟิงอวิ๋นซิวจึงไม่ได้กล่าวคำอำลา บางทีเมื่อเขากลับมาเฉียนเยี่ยก็คงจะออกจากเมืองไปแล้ว
ส่วนมู่เฉียนซีที่กำลังเก็บตัวอยู่นั้น เมื่อนางได้รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในเทือกเขาเมฆามืด นางย่อมต้องเตรียมยาน้ำและยาเม็ดเป็นจำนวนมากเอาไว้เพื่อให้อากาศที่เป็นพิษนั่นไม่สามารถทำอะไรนางได้
เมื่อชิงอิ่งปรากฏตัวขึ้นและบอกมู่เฉียนซีว่าเฟิงอวิ๋นซิวได้ออกไปแล้ว มู่เฉียนซีก็เก็บข้าวของแล้วกล่าวว่า “ชิงอิ่งไปกันเถอะ!”
เฟิงอวิ๋นซิวมาถึงประตูเมืองของเมืองตงจี๋และยังไม่ทันที่จะขึ้นขี่บนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหยี่ยวท่องนภาเพื่อจากไป ก็ได้มีคนเข้ามารั้งเขาเอาไว้ที่ด้านหน้า
ตรงหน้าเขาเป็นสตรีผู้หนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดสีม่วง ใบหน้าที่มีเอกลักษณ์ของนางทำให้ทุกคนรอบตัวล้วนจืดชืด รอยยิ้มที่สดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางพลางกล่าวว่า “เฟิงอวิ๋นซิว เจ้าจะไปไหน?”
เมื่อเห็นใบหน้าของสตรีที่อยู่ตรงหน้า เฟิงอวิ๋นซิวก็เหม่อไปในทันที
มู่เฉียนซีโบกมือต่อหน้าเขาและกล่าว “ตั้งสติหน่อย ไม่ได้เจอข้ามานาน พอเจอแล้วทำราวกับเห็นผี นี่เจ้ากำลังรนหาที่ตายรึ?”
รู้ว่าหากใช้รูปลักษณ์ของตนเองเฟิงอวิ๋นซิวจะต้องมีปฏิกิริยามากเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าใช้ใบหน้าของมู่หรงเฉียนเยี่ยถาม เฟิงอวิ๋นซิวย่อมไม่ตอบอย่างแน่นอน แต่หากใช้ใบหน้าของตนเองเฟิงอวิ๋นซิวจะไม่สามารถปฏิเสธได้
นอกจากนี้เมื่อนางเผชิญกับอันตราย นางสามารถใช้กลอุบายได้อย่างไม่ต้องกังวลและชิงอิ่งก็สามารถช่วยเหลือได้โดยไม่ทำให้ผู้คนสงสัย
ดวงตาของซวนอีเบิกกว้างขึ้น นาง…นางมาจริง ๆ
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวว่า “เฉียนซี ข้าไม่ได้เจอเจ้ามานานแล้ว เจ้าสบายดีไหม?”
ตั้งแต่ออกมาจากสนามรบโบราณที่เจ็ด พบนางอีกครั้งก็ตอนที่หลิงถูกล้อมฆ่า ตอนนั้นชายผู้นั้นยืนอยู่ข้างนาง
ได้รับข่าวมาอีกครั้งคือนางถูกดูดเข้าไปในมิติที่หมุนเวียนอย่างบ้าคลั่ง เขารู้ว่านางจะไม่เป็นอะไร แล้วนางก็ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอย่างแคล้วคลาดปลอดภัยดั่งที่คิดเอาไว้
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าสบายดี เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลย”
การกวาดล้างสำนักหุ่นปีศาจเป็นภารกิจลับของตำหนักตงจี๋และไม่สามารถเปิดเผยได้อย่างเด็ดขาด แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าของสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เขาก็ต้องตอบไปอย่างมิอาจปิดบังได้
เฟิงอวิ๋นซิวตอบว่า “ข้าจะไปเทือกเขาเมฆามืด”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “บังเอิญมาก ข้าก็จะไปที่เทือกเขาเมฆามืดพอดี ไปด้วยกันเถอะ! สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาของเจ้าระดับค่อนข้างสูงและความเร็วของมันก็เร็วมาก มันจะสามารถประหยัดเวลาข้าไปได้มากเลย”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวว่า “เทือกเขาเมฆามืดมันอันตรายมาก เฉียนซีจะไปทำอะไร?”
มู่เฉียนซีตอบว่า “แน่นอนว่าไปหาสมุนไพรวิญญาณ! ข้าเป็นนักปรุงยา ถึงมันจะอันตราย แต่เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวอากาศพิษของเทือกเขาเมฆามืดนั่นหรือ?”
เฟิงอวิ๋นซิวรู้ดีว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่กลัวอากาศพิษ แต่อันตรายจากการไปภูเขาเมฆามืดกับเขาไม่ใช่แค่อากาศพิษ แต่เป็นคน
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวว่า “ข้าจะส่งคนไปนำสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาระดับสูงอีกตัวหนึ่งมาทันที”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างดื้อรั้นว่า “ไม่ ข้าจะไปด้วยกันกับเจ้า มีคนสวย ๆ ตลอดทาง มันน่าสนใจกว่าการไปคนเดียวเสียอีก”
คนอื่น ๆ ที่ไม่รู้จักมู่เฉียนซี พวกเขาระมัดระวังตัวกับสตรีสาวสวยที่พูดจาอุกอาจผู้นี้ สตรีผู้นี้ปรากฏตัวในเวลาที่บังเอิญเกินไป อีกทั้งทำไมจะต้องติดตามนายน้อยของพวกเขาไปให้ได้
ส่วนซวนอีนั้นร้อนรนเข้าแล้ว เขารู้ถึงความสามารถของมู่เฉียนซี มีนางอยู่ความมั่นใจในการรับมือกับอากาศพิษนั่นของผู้เป็นนายของเขาก็จะมากขึ้น แต่ทำไมผู้เป็นนายของเขายังผลักไสไล่ส่งนางไปอีก
ตามคำร้องขอของสตรีที่อยู่ตรงหน้า ในใจเฟิงอวิ๋นซิวต้องการที่จะปฏิเสธ เขาไม่ต้องการให้นางพัวพันกับอันตราย แต่เมื่อเขาเห็นดวงตาคู่นั้นที่สว่างไสวราวกับดวงดาว ใบหน้านั้นที่เขามักจะจำไว้ในใจของเขา เขาก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลย
เขากล่าวว่า “เฉียนซีอยากที่จะไปกับข้า เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน!”
คนอื่น ๆ ตะลึงงัน นายน้อยของพวกเขากลับตอบตกลง สตรีผู้นี้เป็นใครกันแน่?
ซวนอีโล่งใจ เขาจะลืมได้อย่างไรว่านายน้อยของพวกเขาฟังบุคคลผู้นี้มากและมันก็มากจนไม่เกินไปที่จะบอกว่ายอมแพ้
ผู้อาวุโสสูงสุดก็ประหลาดใจเช่นกันที่เจ้าหนูอวิ๋นซิวผู้นี้ที่ไม่สนใจสตรีมาโดยตลอด จนเขาเองก็สงสัยว่าเจ้าหมอนี่คงชอบผู้ชายเสียแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีคนที่ชอบอยู่แล้วและเขาก็เชื่อฟังสาวน้อยผู้นี้มากเสียด้วย หากบอกว่าสาวน้อยผู้นี้ไม่ใช่คนที่เขารัก เขาคงไม่เชื่ออย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ กลับไม่พอใจเล็กน้อย “นายน้อยอวิ๋นซิว ที่มาของเด็กสาวผู้นี้ไม่ชัดเจน มันไม่เหมาะสมที่จะพานางไปด้วย!”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวว่า “ข้าจะปกป้องเฉียนซีอย่างดี และจะไม่สร้างปัญหาให้ผู้อาวุโสทั้งหลาย”
ผู้อาวุโสหลายคนหดหู่ พวกเขาไม่มีความคิดนี้เลย แต่พวกเขารู้ว่า นายน้อยอวิ๋นซิวได้ตัดสินใจแล้วและพวกเขาก็พูดอะไรไม่ได้อีก
ดังนั้นมู่เฉียนซีและพวกเฟิงอวิ๋นซิวจึงมุ่งหน้าไปที่เทือกเขาเมฆามืดด้วยกัน และระหว่างทางมู่เฉียนซีก็พูดคุยกับเฟิงอวิ๋นซิวไปพลาง
ในตอนท้ายของการสนทนาเฟิงอวิ๋นซิวกล่าวว่า “เฉียนซี ข้าขอโทษ”
มู่เฉียนซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “พูดคุยกันอยู่ดีดี ทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงขอโทษ?”
“ข้าคิดเสมอว่าเจ้าเป็นอีกคนหนึ่งมาตลอด เจ้าก็คือเจ้า เจ้ากับนางเป็นคนละคนกัน แค่เพียงคล้ายกันเท่านั้น แต่ข้าควบคุมหัวใจตัวเองไม่ได้”
“ข้าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองทำตามใจเพียงเพราะไม่กล้าที่จะแสดงความรู้สึกต่อหน้านาง และทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับเจ้าที่คล้ายกัน ซึ่งมันทำให้เจ้าอึดอัด ข้าจะพยายามเปลี่ยน ระหว่างที่มันยังไม่เปลี่ยนไป เจ้าจะเกลียดข้าไหม?”
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าว “เจ้าดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ยากจะควบคุมได้ ถึงต่อให้ข้าอึดอัดก็คงไม่ถึงกับขนาดโกรธเสียจนควักลูกตาทั้งสองข้างของเจ้าออกมาหรอก!” จากนั้นมู่เฉียนซีก็ถอนหายใจแล้วกล่าว “สตรีผู้นั้นสามารถทำให้เจ้าหลงเสียจนหัวปักหัวปำ แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้ลงเอยกับนาง เจ้านี่ช่างจีบไม่เป็นเสียจริง จะดีร้ายอย่างไรพวกเราก็ได้รู้จักกันแล้ว หรือไม่ก็…เจ้าจะให้ข้าสอนจีบหญิง?”