ดวงตาสีเหลืองอำพันของเฟิงอวิ๋นซิวมองไปที่มู่เฉียนซี เขายิ่งรู้สึกว่านิสัยของนางนั้นเหมือนกับมู่หรงเฉียนเยี่ยเข้าไปทุกที
มู่เฉียนซีหุบยิ้มลง จะลำพองจนลืมเก็บอาการมากเกินไปแล้ว หากถูกเฟิงอวิ๋นซิวพบเบาะแสอะไรเข้าจะไม่ดี
เฟิงอวิ๋นซิวถามขึ้น “เจ้าเป็นสตรีผู้หนึ่ง แต่เจ้ากลับกำลังสอนข้า?”
มู่เฉียนซีถามกลับ “ทำไม เจ้าดูถูกข้าหรือ?”
“ไม่ใช่ เพียงแต่เรื่องของข้า ถึงต่อให้เฉียนซีมีวิธีการที่ดีมากไปกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรเสียฐานันดรก็มีความแตกต่างกัน ข้าเพียงแค่อยากจะหาสิ่งที่นางต้องการที่สุด สิ่งของที่จะทำให้นางพอใจให้พบเท่านั้นก็พอแล้ว” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“มีฐานันดรแตกต่างกัน บนโลกนี้ยังมีผู้ที่นายน้อยอวิ๋นซิวไม่คู่ควรอีกหรือ?” มู่เฉียนซีเลิกคิ้วถาม
“โลกนี้มันใหญ่โตกว่าในจินตนาการของเจ้ามากนัก ที่จริงแล้วสำนักนิกายระดับที่สามก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในระดับขั้นเหล่านั้นก็เท่านั้น” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวตอบ
“สิ่งที่คนที่เจ้าชอบต้องการนั้นคือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์? มิใช่ว่าเจ้าได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาแล้วหรือ?”
เมื่อนึกได้ถึงตรงนี้ ดวงตาอันงดงามของเฟิงอวิ๋นซิวก็พลันอับแสงลง
“ถึงแม้ว่ากระบี่นั้นจะมีพลังวิญญาณธาตุไฟที่แข็งแกร่งยิ่งนัก แต่มันกลับไม่ใช่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ตอนที่ข้าได้กระบี่เล่มนั้นมาแล้วมอบให้นางก็ได้ถูกนางมองออกเสียแล้ว นางไม่ต้องการกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ปลอม ๆ เล่มนั้น”
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ แต่ว่านั่นก็เป็นมหาอาวุธศักดิ์สิทธิ์เทพชนิดหนึ่ง แต่กลับถูกนางรังเกียจเข้าเสีย
มู่เฉียนซีกล่าว “แม่นางผู้นั้นช่างมีความต้องการที่สูงยิ่งนัก”
ไหนเลยที่จะได้มาซึ่งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กระบี่วิญญาณมังกรเพลิงพิฆาตอย่างง่ายดายเช่นนั้น ผู้ใดจะสามารถพอที่จะทำให้กระบี่วิญญาณมังกรเพลิงพิฆาตยอมศิโรราบ มันเป็นสิ่งที่แม้แต่อาถิงผู้ที่ไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตายังหวั่นพรึง
“นางนั้นเป็นหงส์แห่งสวรรค์ชั้นเก้า พรสวรรค์ของนางนั้นสามารถที่จะมองกวาดไปทั่วใต้หล้าได้อย่างภาคภูมิ มีพลังวิญญาณทั้งไฟและน้ำคู่กัน มีแต่เพียงมหาอาวุธศักดิ์สิทธิ์เทพธาตุไฟที่ดีที่สุดเท่านั้นถึงจะเหมาะสมกับนาง” เมื่อกล่าวถึงผู้ที่ตนเองรักขึ้นมา ดวงตาสีเหลืองอำพันนั้นของเฟิงอวิ๋นซิวก็โชติช่วงขึ้น
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ถ้าหากว่าเจ้าหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไม่พบเล่า?”
“ข้าก็จะตามหาต่ออยู่เรื่อยไป จนกระทั่งข้าตาย”
“แล้วถ้าหากว่ามันได้ถูกผู้อื่นได้ไปแล้วเล่า?”
กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั้นอยู่ที่นางถึงแม้ว่ามันจะไม่สมบูรณ์อีกทั้งไร้ซึ่งจิตวิญญาณของกระบี่และฝักของมัน
“ข้าจะสละทุกสิ่งอย่างเพื่อแย่งชิงให้ได้มา”
สายตาของเฟิงอวิ๋นซิวนั้นเด็ดเดี่ยว มู่เฉียนซีทำได้แต่เพียงถอนหายใจ
เมื่อเฟิงอวิ๋นซิวได้รู้ว่ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อยู่ที่นางเมื่อใด เกรงว่าพวกเขาก็จะไม่สามารถที่จะเป็นมิตรสหายกันต่อไปได้อีกแล้ว จะเป็นได้ก็แต่เพียงศัตรูที่จะตามราวีกันไปอย่างไม่จบสิ้น
เขานั้นยึดมั่นในความรักมากเกินไป ไร้ซึ่งความกลัวและไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนมันไปได้
นางไม่อยากที่จะเป็นศัตรูกับเฟิงอวิ๋นซิวเร็วไปนัก แต่ทว่าทันทีที่จิตวิญญาณหรือฝักของกระบี่ได้ปรากฏขึ้น การพบกันของทั้งสองคงจะเป็นในรูปแบบของศัตรูอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
สายตาของเฟิงอวิ๋นซิวจับจ้องที่มู่เฉียนซี ใจของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ถ้าหากว่านางได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไป เขาจะต้องกลายเป็นศัตรูที่ต่อสู้กันอย่างเอาตายเพื่อแย่งชิงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์จริง ๆ หรือ ?
เพื่อนางแล้ว เขาสามารถที่จะทำเรื่องอะไรก็ได้ แต่เมื่อเห็นสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้แล้ว เขากลับบังเกิดความสับสนไปชั่วขณะ
ความรวดเร็วของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่ห้านั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก ไม่นานนักพวกเขาก็ได้มาถึงรอบนอกของเทือกเขาเมฆามืด
เพียงแค่มาถึงที่รอบนอกมู่เฉียนซีก็รู้สึกได้ถึงอากาศพิษที่ลอยมาอย่างเบาบาง
คนในกลุ่มของเฟิงอวิ๋นซิวไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีนักต่อสาวน้อยผู้นี้ ในตอนที่กำลังจะเข้าไปในเทือกเขาเมฆามืดผู้อาวุโสกู่ก็กล่าวขึ้น “นายน้อย ท่านแน่ใจหรือว่าจะนำสาวน้อยผู้นี้เข้าไปด้วย?”
“เฉียนซี” พวกเขานั้นไม่อยากให้นางเข้าไป ที่จริงแล้วเฟิงอวิ๋นซิวก็ยิ่งไม่อยากให้นางเข้าไปยิ่งกว่า
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อมาแล้ว หากพวกเจ้าเห็นข้าแล้วไม่สบายตาเช่นนั้นพวกเราก็แยกทางกันไปก็ได้แล้ว”
“มิใช่”
ซวนอีนั้นร้อนรนขึ้นมา เขากล่าว “แม่นางมู่ เจ้าเองก็รู้ว่าเทือกเขาเมฆามืดนั้นอันตรายยิ่งนัก การเข้าไปในเทือกเขาเมฆามืดครั้งนี้ พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากแม่นางมู่เป็นอย่างมาก”
“ซวนอี”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “อย่างไรเสียซวนอีก็เชื่อในความสามารถของข้า เช่นนั้นข้าไปกับเจ้ามันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเฟิงอวิ๋นซิว ข้าจะปกป้องซวนอี ซวนอีเจ้าว่าใช่หรือไม่?”
เฟิงอวิ๋นซิวมองไปที่ซวนอี ซวนอีพลันรู้สึกเหมือนเกิดแสงวาบขึ้นที่ด้านหลัง เห็น ๆ กันอยู่ว่านายน้อยชอบนางเช่นนั้น แต่เขากลับกล่าวคำที่ทำให้คนเข้าใจผิดเช่นนั้นออกมา นี่มิใช่ว่าเป็นการทำร้ายนางให้ตายอย่างจริงใจหรือ?
ผู้อาวุโสกู่แค่นเสียงเย็นชากล่าว “ช่วยเหลือ พวกเราตำหนักตงจี๋จะทำธุระยังจะมาต้องการความช่วยเหลือจากเด็กสาวผู้หนึ่ง”
“แม่นางมู่เป็นนักปรุงยาผู้หนึ่ง” ซวนอีกล่าว
ทันใดนั้นสีหน้าของเหล่านักปรุงยาแห่งตำหนักโอสถก็พลันมืดลง “องครักษ์ซวนอีไม่เชื่อในความสามารถของพวกเราหรือ?”
“แดนตะวันออกปรากฏผู้ที่ชื่อมู่หรงเฉียนเยี่ยที่เก่งกาจนั่นขึ้นมาก็แล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเด็กสาวผู้นี้จะร้ายกายเหมือนดั่งมู่หรงเฉียนเยี่ย
ซวนอีเองก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นใครจะเก่งกว่ากัน
เมื่อเผชิญหน้ากับคำกล่าวโจมตีของพวกเขา มู่เฉียนซีนั้นไม่สนใจมันแม้แต่เพียงนิดเดียว
“พวกเจ้าจะพูดพร่ำกันทำไม? เมื่อถึงตอนนั้นเดี๋ยวก็รู้เอง กริยามารยาทของพวกเจ้าไม่ดีเป็นอย่างมาก ต้องพิษเข้าแล้วก็อย่ามาขอยาถอนพิษกับข้าเล่า”
คำกล่าวของมู่เฉียนซีทำให้สีหน้าของพวกเขาเขียวทมึน “สาวน้อย เจ้าจะหยิ่งยโสเกินไปแล้ว”
“เมื่อถึงตอนนั้นแล้วใครต้องช่วยใครก็ยังไม่แน่!”
เฟิงอวิ๋นซิวรู้ว่ามู่เฉียนซีตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วที่จะไม่จากไป เขากล่าวขึ้น “เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ ออกเดินทางกันเถอะ!”
คนกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปในเทือกเขาเมฆามืด แน่นอนว่าการโจมตีจากสัตว์วิญญาณที่อยู่รอบนอกนั้นได้ถูกยอดฝีมือของตำหนักตงจี๋จัดการเสียเรียบสิ้น มียาแก้พิษที่ตำหนักตงจี๋ปรุงขึ้นมา อากาศพิษที่ด้านนอกนี้มิได้เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาแต่อย่างใด
แต่เมื่อมาถึงช่วงส่วนกลางก็วุ่นวายเข้าเสียแล้ว หลังจากพระอาทิตย์ตกไปแล้วอากาศพิษนั้นก็ได้เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ริมฝีปากของผู้ที่มีพลังความสามารถค่อนข้างอ่อนแอในกลุ่มนั้นได้เริ่มเป็นสีดำ
นักปรุงยาเหล่านั้นของตำหนักตงจี๋ได้เริ่มส่งมอบยาแก้พิษให้ แต่ทว่าผลของมันนั้นก็ไม่อาจต้านไหว
สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดเย็นชาขึ้นมา “นับวันนักปรุงยาแห่งตำหนักโอสถของพวกเจ้าจะไร้ประโยชน์เข้าไปทุกที เกรงว่าคงจะยังไม่ทันได้หาพวกสำนักหุ่นปีศาจเหล่านั้นพบ พวกเราก็จะต้องมาละลายไปกันทั้งทัพในที่แห่งนี้เสียแล้ว”
คนเหล่านั้นของตำหนักโอสถกล่าวด้วยสีหน้าที่ยากลำบาก “ท่านผู้อาวุโส นี่ท่านจะโทษพวกเราไม่ได้! พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าทำไมพิษในเทือกเขาเมฆามืดถึงได้ร้ายกาจเข้าไปทุกที อากาศพิษที่ร้ายกาจเช่นนี้นอกเสียจากปรมาจารย์จางมาออกโรงเสียเอง เกรงว่าผู้อื่นนั้นคงจะนึกหาหนทางไม่ออกแล้ว”
“หากมิใช่นายน้อยเฟิงอวิ๋นซิวไปล่วงเดินปรมาจารย์จางเพราะเจ้าเด็กมู่หรงเฉียนเยี่ยนั่น ทุกท่านก็จะไม่ต้องมาทนรับความยากลำบากเช่นนี้เลย”
เมื่อพวกเขาหมดสิ้นหนทางและสบถถึงความยากลำบากออกมาอยู่นั้น มู่เฉียนซีก็กล่าวถามถึงสารทุกข์สุกดิบของซวนอีขึ้นมา
“ซวนอี เจ้ามีอาการไม่สบายหรือไม่เล่า?”
“ไม่สบายแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้ายังสามารถทนได้”
“ไม่สบายเพียงเล็กน้อยก็คือไม่สบายอยู่ดี กินถั่วหวานเสียหน่อยก็หายแล้ว”
คนอื่น ๆ เองก็ล้วนแต่ตะลึงค้าง เด็กสาวผู้นี้มิได้เป็นห่วงอะไรนายน้อยอวิ๋นซิว กลับกันนางกลับไปห่วงใยในองครักษ์ผู้หนึ่ง
สีหน้าของเฟิงอวิ๋นซิวแข็งทื่อและมองมู่เฉียนซีที่กำลังห่วงใยซวนอี เขาไม่ต้องตาเป็นอย่างยิ่ง
ซวนอีรับยาเม็ดนั้นมา เขารู้ว่าผลของยาเม็ดนี้จะต้องดีเยี่ยมเป็นอย่างมากแน่
ทันทีที่เขาได้มันมานั้นกลับมิได้กินมันเข้าไปเอง หากแต่ได้นำไปมอบที่ด้านหน้าเฟิงอวิ๋นซิวพร้อมกล่าว “นายน้อยกินยา”
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อย เจ้าหมอนี่ผ่านคุณสมบัติของสุนัขผู้ซื่อสัตย์เสียจริง ๆ
เฟิงอวิ๋นซิวและซวนอีนั้นรู้ถึงความสามารถของมู่เฉียนซี แน่นอนว่าพวกเขานั้นมิได้สงสัย แต่ทว่าคนอื่น ๆ นั้นกลับเริ่มตะโกนกล่าวขึ้น
“องครักษ์ซวนอี เจ้านี่เหลวไหลสิ้นดี จะไปนำยาของคนผู้หนึ่งมาให้นายน้อยกินมั่วซั่วได้อย่างไร?”
“สิ่งที่นายน้อยจะกิน เจ้าที่เป็นองครักษ์กลับไม่ลองชิมดูก่อน”
นักปรุงยาผู้หนึ่งเดินเข้ามาแล้วกล่าว “นายน้อยเฟิงอวิ๋นซิว ให้ข้าตรวจดูยาเม็ดนี้หน่อยเถิด ข้าไม่เชื่อว่ายาที่แม่หนูนี่นำออกมาตามอำเภอใจจะสามารถช่วยลดผลกระทบจากอากาศพิษต่อคนได้”