มู่เฉียนซีเหลือบมองไปทางเขาแล้วกล่าว “เจ้าไม่ต้องมาสนใจว่าข้ากินอะไรถึงได้เติบโตมา อย่างไรเสียข้าก็ไม่ได้กินมากดั่งเช่นเจ้าก็แล้วกัน เจ้าตะกละ”
จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้แผ่ซ่านพลังวิญญาณออกมา ทำให้ไป๋อู๋ห่ายที่กำลังต่อสู้อยู่กับชิงอิ่งนั้นเชื่องช้าลง
มันกลับมีผู้ที่แผ่ซ่านพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งเช่นนี้ออกมาได้
เจ้าของพลังวิญญาณนี้ก็คือหมอปีศาจที่เป็นเจ้าของหอหมอปีศาจหรือ?
มู่เฉียนซีเอ่ยขึ้น “ข้ากำลังเก็บตัวปรุงยา ช่วงนี้ไม่สะดวกที่จะพบแขก เกรงว่าคงจะเป็นการเฉยเมยต่อท่านเจ้าตำหนักเสียแล้ว”
นี่เป็นเสียงของชายหนุ่มที่ไพเราะเป็นอย่างมาก ประหนึ่งดั่งสายธารใสที่ไหลลงมาจากขุนเขาก็มิปาน จึงทำให้ผู้คนอันอยู่ในความมืดที่ได้ยินเข้านั้นรู้สึกสดชื่นเป็นที่สุด
พวกเขานั้นรู้ว่าอารมณ์ของนักปรุงยานั้นฉุนเฉียวนัก แต่ก็คงไม่มากถึงขั้นที่จะดูแคลนเจ้าตำหนักตงจี๋ที่เป็นสำนักนิกายระดับสาม หัวหน้าหอหมอปีศาจนี้นับว่าเป็นผู้แรกที่ทำเช่นนี้อย่างแน่นอน
“หัวหน้าหอหมอปีศาจจะไม่คิดว่ามันไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ?”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหยิ่งยโส “ข้าก็ไร้เหตุเช่นนี้มาโดยตลอด สำหรับข้าแล้ว ฟ้าและดินเป็นสิ่งใหญ่โต แต่ทว่าการปรุงยานั้นใหญ่ที่สุด! ถ้าหากว่าเจ้าตำหนักไป๋รู้สึกโกรธละก็สามารถบุกลุยเข้ามาหาข้าได้”
มู่เฉียนซีใช้พลังวิญญาณขั้นสูงที่สุดพุ่งกดดันไปทางไป๋อู๋ห่าย
ไป๋อู๋ห่ายสามารถรู้สึกได้ถึงความอึดอัดของวิญญาณตนเองภายใต้การกดดันนั้น
ทั้งพลังจิตและพลังวิญญาณของนักปรุงยานั้นล้วนแต่มหาศาล ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในระดับขั้นเดียวกันก็ตาม ซึ่งก็ยังสามารถกดทับผู้บำเพ็ญภูตระดับขั้นเดียวกันได้
พลังวิญญาณของปรมาจารย์จางซึ่งเป็นหัวหน้านักปรุงยาแห่งตำหนักตงจี๋ของพวกเขานั้นสูงกว่าเขาแค่เพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดมอบแรงกดดันเช่นนี้ให้กับเขาได้ แต่หัวหน้าหอหมอปีศาจผู้นี้กลับทำได้แล้ว
ความสามารถในการปรุงยาของเขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์จางอย่างแน่นอน
ไป๋อู๋ห่ายนึกไม่ถึงอย่างแน่นอนว่าผู้ที่แผ่ซ่านพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งเช่นนี้ออกมาจะเป็นบุคคลระดับขั้นจักรพรรดิผู้หนึ่ง
“เจ้าบังอาจนัก” ไป๋อู๋ห่ายกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
มู่เฉียนซีกล่าว “หอหมอปีศาจของข้าก็แค่เพียงอยากที่จะขายโอสถก็เท่านั้น ทั้งหมดนั้นก็ล้วนแต่เพื่อทำกิจการค้าขาย เหตุใดเจ้าตำหนักไป๋จะต้องมาบีบบังคับกันไปหมดด้วยเล่า!”
ไป๋อู๋ห่ายยิ้มเจื่อน “ข้าบีบบังคับไปหมด? ข้าว่าเจ้าเข้าใจผิดแล้วกระมัง!”
มู่เฉียนซีกล่าวต่อ “ผู้ป่วยในหอหมอปีศาจของข้าล้วนแต่จ่ายเงินมาเพื่อให้นักปรุงยาของหอหมอปีศาจทำการรักษา ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขาในสถานที่ของข้าอย่างแน่นอน เจ้าตำหนักต้องการที่จะจัดการกับความแค้นส่วนตัวก็รอให้พวกเขาออกจากหอหมอปีศาจไปก่อนแล้วค่อยจัดการ มันจะมิได้หรือ?”
หากรอจนเมื่อเฟิงอวิ๋นซิวออกมา เกรงว่าอาการคงดีขึ้นมากแล้วและจะต้องรับมือได้ไม่ง่ายอย่างแน่นอน!
“ข้าไม่สามารถเปลี่ยนกฎของหอหมอปีศาจได้ ไม่ว่าใครก็ตามจะมายุ่งกับผู้ป่วยที่เข้ามายังที่แห่งนี้ไม่ได้ ถ้าหากว่าเจ้าตำหนักไป๋ยังดื้อรั้นที่จะลงมือละก็ ข้าเองก็จะไม่ยอมโอนอ่อนให้!”
พลังวิญญาณที่ลงไปยังร่างของไป๋อู๋ห่ายนั้นได้เพิ่มขั้นของความเข้มข้นไปอีกไม่น้อย!
ไป๋อู๋ห่ายคิดคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง บุรุษชุดสีเขียวผู้นี้ร่วมกับหัวหน้าหอหมอปีศาจเป็นสองรุมหนึ่ง มันจะทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย
ดูแล้วครั้งนี้คงต้องปล่อยเฟิงอวิ๋นซิวไปก่อน รอจนเมื่อสืบหาเบื้องลึกของหอหมอปีศาจมาได้แล้วค่อยว่ากันอีกที
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “ข้าก็แค่เพียงอยากที่จะพบหัวหน้าหอหมอปีศาจก็เท่านั้นเอง วันนี้เจ้าไม่อยากที่จะพบข้า ข้าว่าอีกไม่นานนักข้าคงจะได้พบเจ้าแน่”
“ไป!” ไป๋อู๋ห่ายเดินจากไปในทันที
มู่เฉียนซีพึมพำขึ้น “เจ้าหมอนี่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้คิดว่าอีกไม่นานนักจะได้พบกับหมอปีศาจ?”
สีโลหิตบนใบหน้าของมู่เฉียนซีซีดจางหายไป นางจึงได้รีบกลืนยาเข้าไปอยู่หลายขวด พลังวิญญาณของนางนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสะกดไป๋อู๋ห่ายเอาไว้ จึงทำได้ก็แต่เพียงนำมันออกมาใช้ทั้งหมด…
จวินโม่ซีกล่าว “เจ้านี่ก็จะแลกด้วยชีวิตเกินไปแล้วกระมังสาวน้อย! ให้ไอ้หัวไม้นั่นไล่พวกนั้นไปก็ได้แล้วนี่ เหตุใดต้องมาทำการแสดงเช่นนี้ด้วย”
เมื่อกล่าวถึงโจโฉ โจโฉก็มา ไม่นานนักชิงอิ่งก็ได้กลับมา
เขาประคองตัวมู่เฉียนซีเอาไว้ เมื่อเห็นว่านางไม่ค่อยสบายตัว พลังชีวิตก็ได้ไหลพุ่งเข้าไปในร่างกายของนาง
แต่นางมิได้รับบาดเจ็บทางกาย หากแต่เป็นวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บ
มู่เฉียนซีกล่าว “หอหมอปีศาจของข้ามักจะต้องสร้างความน่าเกรงขามอยู่เสมอ ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากพักสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว จากนี้ไปผู้ป่วยเหล่านั้นก็มอบให้หัวหน้านักปรุงยาดูแลแล้ว”
ไม่สนว่าจวินโม่ซีจะตอบรับหรือไม่ มู่เฉียนซีก็ได้ถูกชิงอิ่งส่งตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้องเสียแล้ว
วันต่อมาเฟิงอวิ๋นซิวไม่ได้พบมู่เฉียนซีหากแต่ได้พบกับหัวหน้านักปรุงยาจวินโม่ซี
“เฉียนซีเล่า?” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวถาม
จวินโม่ซีมองไปยังคุณชายที่สง่างามและสูงส่งผู้นี้ ในใจเขานั้นไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
“นางเหนื่อยแล้ว หลายวันมานี้กำลังพักผ่อนอยู่ เกรงว่าเจ้าคงจะไม่ได้พบแล้ว”
ไม่ได้พบแล้วหรือ? ในใจของเฟิงอวิ๋นซิวรู้สึกอ้างว้างลงไปอย่างควบคุมไม่ได้อยู่บ้าง
เขากล่าวถาม “เมื่อคืนนี้ขอบคุณหมอปีศาจเป็นอย่างมากที่ช่วยเหลือกัน ไม่ทราบว่าสามารถไปกล่าวขอบคุณกับหมอปีศาจได้หรือไม่”
พลังวิญญาณอันน่าหวั่นพรึงเช่นนั้นช่างพบได้ยากยิ่ง!
“เด็กสาวนั่นเหนื่อยแล้ว แน่นอนว่าหัวหน้าหอของเราได้ไปดูแลนางจึงไม่มีเวลามาพบนายน้อยอวิ๋นซิว นายน้อยอวิ๋นซิวจงล้มเลิกความคิดนั้นเสียเถอะ!”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เช่นนั้นก็ไม่รบกวนแล้ว”
“การรักษาต่อไปนี้ก็มอบให้เป็นหน้าที่ของหัวหน้านักปรุงยาอย่างข้าเสีย รีบรักษาให้หายดีแล้วรีบไสหัวไปเถอะ!”
กริยามารยาทที่เลวร้ายเป็นอย่างมากของจวินโม่ซีนี้ หากมาอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ละก็คงจะถูกผู้ป่วยร้องเรียนไปตั้งนานแล้ว
แต่อารมณ์ของเฟิงอวิ๋นซิวก็ดีเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ในที่สุดพวกเขาก็ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ข่าวของการกลับไปยังตำหนักตงจี๋ของนายน้อยอวิ๋นซิวก็ได้กระจายออกไป
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ภารกิจในครั้งนี้ข้าไม่ได้ทำสำเร็จ สำนักหุ่นปีศาจได้ซ่อนราชาหุ่นเชิดเอาไว้ซึ่งมีพลังความสามารถเทียบได้กับท่านเจ้าตำหนัก ถ้าหากจะรับมือกับสำนักหุ่นปีศาจ ก็ขอเชิญให้เจ้าสำนักออกศึกด้วยตนเอง!”
“เป็นไปได้อย่างไร? มีสิ่งที่แข็งแกร่งเช่นนั้นอยู่ เจ้า…”
เฟิงอวิ๋นซิวเผชิญกับคู่ต่อสู้เช่นนั้นอีกทั้งยังมีผู้อาวุโสอู้ซานเข้าไปร่วมอีก แต่เขากลับยังไม่ตายตกไป
เจ้าหมอนี่รับมือได้ไม่ง่ายดายจริง ๆ
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “ในตอนนี้ข้าจะคิดทบทวนดูให้ดี ตลอดทางมานั้นก็ลำบากเจ้าเสียแล้วอวิ๋นซิว ไปพักฟื้นให้ดีเถิด!”
“อื้ม!”
หลังจากที่เฟิงอวิ๋นซิวกลับไปยังตำหนักของตนเองแล้วก็ได้ถามขึ้น “เฉียนเยี่ยยังไม่ออกมาอีกหรือ?”
“เรียนนายน้อย คุณชายมู่หรงยังอยู่ในการเก็บตัว!”
“ครานี้เขาเก็บตัวค่อนข้างนานไปหน่อย!”
หลังจากที่เฟิงอวิ๋นซิวกลับมาแข็งแรงแล้ว พลังจิตของมู่เฉียนซีเองก็ฟื้นฟูขึ้นมาได้พอประมาณแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้ายังจะต้องไปกลับไปยังตำหนักตงจี๋อีกครั้งหนึ่ง เพื่อนำเอามู่หรงเฉียนเยี่ยออกมา สมุนไพรวิญญาณในตำหนักโอสถนั้นก็ได้กวาดมาเกลี้ยงแล้ว ไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็ถูกไป๋อู๋ห่ายปกป้องอย่างเคร่งครัดไม่มีโอกาสให้ลงมือ ตำหนักตงจี๋แห่งนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะให้อยู่ต่ออีกแล้ว”
จวินโม่ซีกล่าวขึ้น “แน่นอนว่าอยู่ในถิ่นที่ของตนเองนั้นดีกว่า! อยู่ในถิ่นที่ของผู้อื่นนั้นไม่มีความสุข ข้ายังหลงนึกว่าเจ้าเตรียมตัวไปอยู่ที่นั่นเป็นประจำเพราะนายน้อยอวิ๋นซิวบุรุษรูปงามนั่นเสียอีก”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “เมื่อได้ยินเจ้าพูดมาเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าการดูบุรุษรูปงามผู้หนึ่งมันดีกว่าการอยู่กับเจ้ามากนักเจ้าตะกละ”
“ข้ากินมากไปหน่อยแล้วอย่างไร? อย่างไรเสียข้าก็ทำงานอย่างสุดชีวิตเช่นนั้น ข้าไม่ได้กินเสียให้เจ้ายากจนเสียหน่อยสาวน้อย” จวินโม่ซีที่ถูกดูแคลนรู้สึกหนาวเหน็บหัวใจอยู่บ้าง ดังนั้นแล้วจึงได้ระเบิดอารมณ์ขึ้นมาพลัน
มู่เฉียนซียกคิ้วขึ้นกล่าว “กินไม่ถึงให้ยากจนเหรอ? ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง!”
“สาวน้อย เจ้านี่หาเรื่องเจ็บตัว”
“อย่าได้คิดว่าเจ้าเป็นระดับมหาจักรพรรดิแล้วจะอัดข้าได้ มาสิ!” มู่เฉียนซีกล่าวท้าทาย
จวินโม่ซีนึกขึ้นได้ว่าพลังความสามารถของสาวน้อยนั้นดูเหมือนว่าจะไปถึงระดับจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หกแล้ว ด้วยความวิปริตของนางสามารถที่จะต่อสู้ข้ามระดับใหญ่ได้ ดูเหมือนว่าเขา…เหมือนว่า…
ปัง! จวินโม่ซีปิดประตูแล้วจากไป
“ข้าจะเก็บตัวฝึกบำเพ็ญให้บรรลุขั้นมหาจักรพรรดิขั้นที่เจ็ด!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ชิงอิ่ง พวกเราถือโอกาสยามฟ้ามืดลมแรงเข้าไปในตำหนักตงจี๋กันเถอะ!”
.
.