ในตำหนักตงจี๋ ห้องปรุงยาที่ถือว่าเป็นของมู่หรงเฉียนเยี่ยนั้นมีคนคอยเฝ้ารักษาการณ์อยู่
แต่เมื่อชิงอิ่งต้องการจะเข้าไปก็แน่นอนว่าจะไม่ให้พวกเขาตรวจจับได้
หลังจากที่กลับไปยังห้องปรุงยาแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้เก็บข้าวของพร้อมเปลี่ยนชุดแต่งกายและผลักประตูเดินออกไป นางยืดเส้นสายด้วยท่าทีเกียจคร้านแล้วกล่าว “ในที่สุดก็พักผ่อนได้แล้ว”
“ขอแสดงความยินด้วยที่คุณชายมู่หรงออกจากการเก็บตัว” สีหน้าของพวกองครักษ์ซวนเหล่านั้นก็เผยแววแห่งความยินดีออกมา
กลางดึกเฟิงอวิ๋นซิวก็ได้ข่าวเรื่องที่นางออกจากการเก็บตัวแล้ว เช้าของวันต่อมาก็ได้ให้คนใช้เตรียมอาหารเช้าอันอุดมสมบูรณ์เอาไว้รอ
เมื่อมู่เฉียนซีเห็นอาหารเช้าอันเลิศรสนั้นดวงตาก็ส่องประกายออกมา “ดูเหมือนว่าจะสามารถกินอาหารดี ๆ สักมื้อหนึ่งได้แล้ว”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “หลายวันมานี้เฉียนเยี่ยเก็บตัวฝึกบำเพ็ญก็ลำบากเสียแล้ว ควรที่จะบำรุงเสียหน่อย”
หลังจากที่ทั้งสองรับประทานอาหารไปอย่างสงบเงียบเสร็จสิ้นแล้ว มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้น “ออกไปข้างนอกครานี้ราบรื่นอยู่หรือไม่?”
“ไม่ราบรื่นเท่าใดนัก แต่ว่าข้าก็ได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว” เขากล่าวตอบ
“ไม่มีอะไรดีไปกว่าการกลับมาอย่างปลอดภัย” มู่เฉียนซียิ้มพร้อมกล่าว
ทั้งสองได้พูดคุยกันอยู่หลายเรื่องราวแล้วมู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้น “เกรงว่าข้าจะต้องไปจากตำหนักตงจี๋เสียแล้ว”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เดิมทีตำหนักตงจี๋ก็ไม่สามารถที่จะกักขังเจ้าเอาไว้ได้อยู่แล้ว แต่ว่าหากเจ้าคิดที่จะกลับมาเมื่อใดก็สามารถกลับมาได้ เจ้านั้นเป็นถึงนักปรุงยาแห่งตำหนักโอสถ อีกทั้งยังเป็นสหายของข้าเฟิงอวิ๋นซิว หากมีข่าวสารละก็ข้าจะส่งไปที่หอหมอปีศาจ”
มู่เฉียนซีกล่าว “ดี!”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวถาม “เฉียนเยี่ย เจ้ารู้จักเฉียนซีไหม? มู่เฉียนซี!”
“แน่นอนว่ารู้จัก ข้าเป็นผู้ที่ถูกหมอปีศาจแนะนำให้มาเข้าร่วมการทดสอบของตำหนักโอสถ ข้าจะไม่รู้จักกับเจ้านายคนที่สองแห่งหอหมอปีศาจได้อย่างไรเล่า?” มู่เฉียนซียิ้มกล่าวตอบ
“เฉียนซีมีความสัมพันธ์อะไรกับหมอปีศาจ? เป็นอาจารย์กับศิษย์หรือ?”
“ไม่ใช่อาจารย์และศิษย์ แต่มันใกล้ชิดมากกว่าอาจารย์และศิษย์!”
ใบหน้าของเฟิงอวิ๋นซิวแข็งทื่อไปพลัน มิใช่ศิษย์และอาจารย์ รึว่าเป็นคู่สามีภรรยา!
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาได้มอบความรักทั้งหมดของตัวเขาเองให้แก่คนผู้หนึ่งไปแล้ว แต่เหตุใดเมื่อรู้เรื่องนี้เข้าเขากลับ…
คงเป็นเพราะเฉียนซีนั้นเหมือนกับนางมากเกินไป เช่นนั้นแล้วเขาจึง…
มู่เฉียนซีโบกมือไปมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วกล่าว “อวิ๋นซิว เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้เหม่อลอยเช่นนั้น?”
เฟิวอวิ๋นซิวดึงสติกลับมาแล้วกล่าว “เฉียนซีนั้นหน้าตาคล้ายกับนางยิ่งนัก แต่ทว่านิสัยกับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ที่น่าขันก็คือข้ายังคงแยกไม่ออกอย่างชัดเจนอยู่เช่นเคย”
ไม่ใช่ว่าดวงตาคู่นั้นไม่สามารถแยกให้ชัดเจนได้ หากแต่เป็นใจต่างหากที่แยกไม่ชัดเจน!
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อมันทำให้เจ้าเป็นกังวลนัก เช่นนั้นเจอหน้าให้น้อยลงก็ได้แล้วนี่ รอจนเจ้าได้สุกงอมกับผู้ที่เจ้าชอบ เมื่อถึงตอนนั้นก็คงจะไม่มีความเข้าใจผิดเช่นนี้แล้ว”
“สุกงอม? เป็นไปไม่ได้หรอก!
“ทำไมเล่า? รึว่านางได้แต่งกับผู้อื่นไปแล้ว?”
“ไม่ใช่!”
“มีคู่หมั้นแล้ว?”
“ยังไม่ถูกกำหนดแต่คาดว่าในภายหลังคงมี นางจะแต่งงานกับผู้ที่เหมาะสมกับนางไม่ว่าในด้านฐานันดรหรือพรสวรรค์ความสามารถ” ดวงตาของเฟิงอวิ๋นซิวพลันหมองลง
“เจ้าเองก็ไม่เลวนี่! สิ่งที่ควรต่อสู้ก็ต้องต่อสู้” มู่เฉียนซีกล่าวให้กำลังใจ
“ดังนั้นแล้วข้าจะต้องหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้พบ”
ได้สิ่งที่นางต้องการมา เมื่อถึงตอนนั้นบางทีเขาเองอาจจะมีความกล้าในการแสดงความในใจ แต่ก็ไม่รู้ว่านางจะเป็นเช่นไร?
มู่เฉียนซีตะลึงค้าง “การแย่งชิงของแทนใจของเจ้านั้นดูเหมือนว่าข้าจะไม่มีความเมตตากรุณา แต่สำหรับกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แล้ว ข้าจะต้องได้มันมา”
“เฉียนเยี่ย เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวล ได้พูดกันเอาไว้แล้วว่าเมื่อถึงเวลานั้นต่างฝ่ายจะเอามันไปด้วยกำลังของตน” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว
“ข้าจะไม่ใจอ่อนออมมืออย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซีได้พูดคุยกับเฟิงอวิ๋นซิวในเรื่องทั่ว ๆ ไปอยู่นาน จากนั้นเฟิงอวิ๋นซิวก็กล่าวขึ้น “นี่เจ้าคงวางแผนที่จะไปตำหนักเป่ยหานกระมัง?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่ได้จะไปที่ตำหนักเป่ยหานเร็วเช่นนั้น ยังมีธุระอีกนิดหน่อยที่ต้องไปทำ”
ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องที่ยังพูดกันไม่จบ แต่มู่เฉียนซีก็ต้องจากไปแล้ว
เฟิงอวิ๋นซิวได้ไปส่งมู่เฉียนซีถึงประตูทางเข้าตำหนักตงจี๋ เขาตัดใจให้ไปไม่ได้แต่ก็ไม่อาจที่จะรั้งตัวเอาไว้
หลังจากที่มู่เฉียนซีได้หายไปแล้ว เฟิงอวิ๋นซิวก็ได้หันกลับมากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ซวนอี!”
“นายน้อย!” ซวนอีคุกเข่าอยู่ที่ด้านหน้าของเฟิงอวิ๋นซิว
“เจ้าจงไปรับโทษด้วยตัวเองเถอะ!”
ซวนอีพยักหน้ากล่าวรับ “ขอรับ!”
มู่เฉียนซีสามารถที่จะปิดซ่อนความจริงเอาไว้ได้ แต่เมื่อเฟิงอวิ๋นซิวกลับมาแล้วก็พบว่าเรื่องทั้งหมดนั้นมันบังเอิญจนเกินไป
แน่นอนว่าจึงเดาได้ว่าซวนอีทำอะไรลงไป
ครั้งนี้เกือบจะทำให้เฉียนซีตายอยู่ในหุบเขาเมฆามืด ถึงต่อให้รู้ว่าองครักษ์ของตนเองทำไปด้วยความหวังดีต่อเขา เขาก็ไม่อาจที่จะปล่อยไปได้ง่าย ๆ
ซวนอีกลับแบกชื่อของเขาไปหาเฉียนเยี่ยเพื่อให้ช่วยเหลือ แต่เมื่อหาเฉียนเยี่ยไม่ได้ก็ไปหามู่เฉียนซีเพื่อให้นางช่วย
จากนั้นมู่เฉียนซีในร่างมู่หรงเฉียนเยี่ยก็ได้กลับไปถึงหอหมอปีศาจ และแน่นอนว่าในที่สุดนางก็ได้กลับไปทำตัวเป็นมู่เฉียนซีอย่างเต็มตัวเสียที
เงาร่างสองร่างได้บุกเข้าไปในหอหมอปีศาจ ผู้หนึ่งมีเสน่ห์ล่อหลอกให้ผู้คนหลงใหลเหมือนดั่งมาร ส่วนอีกผู้หนึ่งนั้นน่ารักอย่างมิอาจหาสิ่งใดเทียบเทียม สองผู้นั้นก็คือจื่อโยวและซิงเฉิน
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเจ้ากลับมาแล้ว สำนักหุ่นปีศาจเป็นเช่นไร?”
จื่อโยวกล่าว “คนเหล่านั้นหนีไปรวดเร็วนัก มันได้หลบเข้าไปในเทือกเขาเมฆามืด พวกเราหามาหลายวันแล้วยังมิอาจหาตัวได้พบ และไม่ได้ทำสิ่งที่สาวน้อยคนสวยมอบให้ได้สำเร็จ”
ซิงเฉินกล่าว “ขอให้นายหญิงลงโทษ นายหญิงให้พวกเราจัดการธุระเป็นครั้งแรกแต่พวกเรากลับทำไม่สำเร็จ ซิงเฉินรู้สึกละอายยิ่งนัก!”
มู่เฉียนซีกล่าว “เทือกเขาเมฆามืดกว้างใหญ่นัก พวกเขานั้นรู้จักเทือกเขาเมฆามืดดีกว่าพวกเจ้ามาก ถึงแม้ว่าพลังความสามารถของพวกเจ้าจะสูงส่งแต่ก็หาพบได้ยากนัก พวกเจ้าได้ช่วยข้าไปอย่างใหญ่หลวงมากแล้ว ข้าจะไปลงโทษพวกเจ้าได้อย่างไร”
ซิงเฉินยังคงหงุดหงิดเป็นอย่างมาก จื่อโยวยิ้มแล้วกล่าว “สาวน้อยคนงามช่างเข้าใจผู้อื่นเช่นนี้ ทำให้ข้ารู้สึกซาบซึ้งนัก! รึเจ้าจะให้ข้า…”
หนังหน้าของจื่อโยวได้เข้ามาใกล้มู่เฉียนซีอย่างไร้ยางอาย ซิงเฉินโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันใด ก่อนจะนำค้อนทองคำของเขาออกมาอีกครั้ง
มู่เฉียนซีกล่าว “ซิงเฉิน หอหมอปีศาจของข้าไม่ได้แข็งแรงนัก เจ้าอย่าได้ทุบเลย ถึงตอนที่ทุบจนจื่อโยวแบนราบก็คงทำให้หอหมอปีศาจถล่มลงไปแล้ว เช่นนั้นก็จะขาดทุนหนักเสียแล้ว”
ซิงเฉินจึงได้เก็บอาวุธสังหารนั้นไปอย่างเชื่อฟังแล้วกล่าวด้วยอาการเคารพนอบน้อม “รับทราบ!”
จื่อโยวกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก “อย่างไรเสียสาวน้อยคนงามก็รู้จักทะนุถนอมสิ่งของมีค่า ข้านั้นซาบซึ้งจริง ๆ”
มู่เฉียนซีได้ถีบจื่อโยวเข้าไปคราหนึ่งในทันที “จื่อโยว เจ้าทำตัวให้มันปกติหน่อย”
มู่เฉียนซีกล่าว “วางเรื่องของสำนักหุ่นปีศาจลงไปก่อนเถอะ! ตำหนักตงจี๋กำลังเพ่งเล็งพวกเขาอยู่ พวกเขาเองก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม ภารกิจหลักของพวกเจ้าก็คือหาสถานที่ตั้งของเผ่าเทพมังกรเผ่านั้นให้พบ รวมทั้งอีกทั้งสองเผ่านั้นด้วย
ซิงเฉินกล่าว “นี่เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของนายท่าน แน่นอนว่าพวกเราจะทำอย่างสุดความสามารถ”
“แล้วก็หาแผ่นเหล็กชนิดนี้ให้ข้าด้วย ข้างบนนั้นมีเบาะแสของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อยู่” มู่เฉียนซีนำแผ่นเหล็กนั้นออกมาแล้วกล่าว
พวกเขาเป็นลูกสมุนที่จิ่วเยี่ยเชื่อถือ แน่นอนว่านางเองก็เชื่อถือในพวกเขาเช่นกัน
จื่อโยวยิ้มแล้วกล่าว “สาวน้อยคนงามเจ้าวางใจเถอะ! ครานี้พวกเราจะต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน”
“สมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นที่ข้าต้องการตามหา แล้วก็มีสมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์ มีข่าวคราวอะไรบ้างหรือไม่?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“คนของพวกเราตามหาไปทั่วทุกแห่ง หากทันทีที่หาพบก็จะส่งมาให้ถึงมือนายหญิงในทันที” ซิงเฉินกล่าวตอบ
ในตอนนี้เองเสียงของจวินโม่ซีก็ได้ลอยเข้ามา
“สาวน้อย สมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์ชนิดหนึ่งที่ใช้ปรุงยาหยินหยางแห่งโชคลาภที่เรียกว่าหญ้าจิ่วอินหยวนนั้นไม่จำเป็นต้องไปหาแล้ว”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน นางกล่าวขึ้น “จวินโม่ซีเจ้ามีเบาะแสของหญ้าจิ่วอินหยวนแล้วหรือ? อยู่ที่ใด?”
จวินโม่กล่าวตอบ “ข้าหิวแล้วสาวน้อย เจ้าให้ข้าได้กินอิ่มสักมื้อข้าก็จะบอกเจ้า!”
ดวงตาทั้งสองข้างของเขามองมู่เฉียนซีอย่างเป็นประกาย
ในตอนนี้ซิงเฉินได้โกรธกริ้วเข้าเสียแล้ว ค้อนยักษ์ของเขาได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“เจ้าบังอาจ เจ้ากล้าที่จะดูแคลนนายหญิง”