ถึงแม้ว่าตอนนี้นิรันดร์จะยังไม่มีร่างกาย แต่มู่เฉียนซีกลับรู้สึกได้ว่าเขากำลังขยับเข้ามาใกล้
“เจ้าเก็บคำพูดเหล่านี้ของเจ้าไปพูดกับผู้หญิงของเจ้าเถอะ!” หากเปรียบเทียบการพูดจาหวานอ่อนหวานน้ำตาลหยดย้อยแล้วละก็ เกรงว่าจื่อโยวก็คงจะสู้นิรันดร์ไม่ได้
“หญิงอัปลักษณ์พูดถูก เจ้าหลีกไปให้ไกล ๆ หน่อยเถอะ!”
แสงสีเขียวอ่อนแสงหนึ่งสว่างวาบขึ้น และได้บีบบังคับให้แสงสีขาวนั้นถอยไป
อาถิงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “นิรันดร์ ปกติเจ้าจะเอาเปรียบสตรีอื่นข้าไม่ว่า แต่สำหรับหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ นางเป็นเจ้านายของข้าศาลานิรันดร์ เจ้าช่วยสงบจิตสงบใจเอาไว้สักหน่อยเถอะ”
นิรันดร์กล่าว “ศาลาน้อย เจ้าไม่ชอบนางมากไม่ใช่หรอกหรือ แล้วการที่ข้าสนิทสนมกับยอดดวงใจของข้า เจ้าจะมาหึงหวงอันใด?”
อาถิงมีร่างกายจึงปรากฏตัวออกมาได้ เมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ของนิรันดร์เข้า ใบหูทั้งสองข้างก็แดงก่ำขึ้นมาทันที
“หึงหวง ข้าเนี่ยนะหึงหวง เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว!”
นิรันดร์เคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ และน้ำเสียงของเขาก็พลันเคร่งขรึมขึ้น
“ศาลาน้อย อันที่จริงแล้วข้าอยากจะบีบคอเจ้าให้ตายไปด้วยซ้ำเจ้ารู้หรือไม่?”
นิรันดร์นั้นอิจฉาริษยาอาถิงมาก อิจฉาที่ได้เจอคนงามเป็นคนแรก ได้ทำพันธสัญญากับคนงามเป็นคนแรก สามารถปรากฏกายออกมาได้เร็ว และมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนงามตั้งหลายครั้งหลายครา
แต่สุดท้ายเจ้านี่ก็ปัญญาอ่อนมาก ไม่รู้จักใช้ข้อได้เปรียบก่อน อีกทั้งยังให้คนงามถูกผู้อื่นแย่งชิงไปเช่นนี้อีก
เขาโกรธเกรี้ยวเจ้านี่มาก!
อาถิงก็กล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยวเช่นกันว่า “บีบคอข้าให้ตาย นี่ นิรันดร์ เจ้าคิดว่าเจ้ามีความสามารถนั้นเหรอห๊ะ?”
“เหอะ ๆ ๆ! รอให้ข้ามีร่างแปลงได้ก่อนเถอะ ข้าทำแน่ เจ้าคอยดูก็แล้วกัน”
อาถิงก็ไม่อยากจะสนใจเจ้านี่แล้วจึงหันกลับไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวว่า “นี่ หญิงอัปลักษณ์ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เจ้าเป็นเจ้านายของเจ้าหมอนี่ และสิ่งที่เขาช่วยเจ้าก็เป็นเรื่องที่สมควรทำแล้ว เจ้าห้ามซาบซึ้งใจเด็ดขาด”
“อ้อ อีกอย่าง ไอ้พวกวาจาหวานซึ้งน้ำตาลหยดย้อยเหล่านั้นที่เขาพูดกับเจ้า ไม่รู้ว่าเอาไปพูดกับสตรีกี่คนต่อกี่คนแล้ว หากสตรีใดหลงเชื่อคำพูดเหล่านั้นเข้า สมองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสมองหมูหรอก ถึงแม้ว่าหญิงอัปลักษณ์อย่างเจ้าจะน่าเกลียดไปหน่อย แต่ก็คงจะไม่โง่เหมือนหมูหรอกกระมัง!”
อาถิงยืนหยัดที่จะฉีกหน้านิรันดร์ นิรันดร์กัดฟันกรอดพลางกล่าวว่า “ศาลาเรือนรางเก้าชั้น เจ้าจะหยุดพล่ามได้หรือยัง!”
อาถิงเลิกคิ้วพลางกล่าว “ข้ายังพูดไม่จบ ข้าจะเล่าประวัติอันลามกและเจ้าชู้ของเจ้าให้หญิงอัปลักษณ์ฟังให้หมด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นางถูกคนเจ้าชู้ประตูดินอย่างเจ้าหลอกเอาได้”
นิรันดร์กล่าวด้วยเสียงที่ดูอันตรายว่า “ศาลาน้อย ข้าว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันสักหน่อยแล้ว”
“แม้แต่ร่างกายเจ้าก็ยังไม่มีเลย จะเอาหน้าที่ไหนมาคุยกับข้า ข้าว่าเจ้าไสหัวกลับไปพักผ่อนจะดีกว่านะ เมื่อถึงเวลาประลอง หญิงอัปลักษณ์ให้เจ้าออกแรง ประเดี๋ยวเจ้าจะทำไม่ได้!”
ทำไม่ได้! นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้านี่จะพูดว่าเขาทำไม่ได้!
หากนิรันดร์สามารถแปลงร่างปรากฏตัวได้ เกรงว่าตอนนี้เส้นเอ็นปูดโปนคงขึ้นเต็มหน้าแล้วกระมัง
นี่สุ่ยจิงอิ๋งสั่งสอนเจ้าเด็กนี่เช่นไรกันถึงได้ออกมาเป็นคนเช่นนี้ได้!
เขาไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้านี่แล้ว จึงกล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “ยอดดวงใจของข้า ข้ากลับไปพักฟื้นก่อนล่ะ ส่วนเจ้านี่ ข้าฝากเจ้าสั่งสอนด้วยล่ะ”
“คนที่ข้ารักสุดหัวใจมีเพียงเจ้าผู้เดียวเท่านั้น เมื่อก่อนตอนข้ายังหนุ่ม ข้าทำตัวตามอำเภอใจ แต่ต่อไปนี้ข้าจะปกป้องอยู่ข้างกายเจ้า ในใจจะ…”
มู่เฉียนซีโคจรพลังวิญญาณขึ้นและเอาเขาโยนกลับเข้าไปในมิติพันธสัญญา “เจ้าพักผ่อนเถอะนะ อย่าได้พูดจาไร้สาระมากไปกว่านี้เลย!”
นิรันดร์ทิ้งคำพูดสุดท้ายด้วยความกล้ำกลืนว่า “ฮือ ๆ ๆ! ที่รักของข้า นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะร่วมมือกับคนอื่นเพื่อรังแกข้า เป็นเพราะเจ้าศาลาน้อยนั่นเป็นสนมเอกใช่ไหมล่ะ ส่วนข้าก็เป็นได้แค่สนมรองของเจ้าจึงไร้สิทธิ์ไร้เสียงใด ๆ”
มู่เฉียนซีรู้สึกวิงเวียนราวกับมีอีกาบินอยู่เต็มหัวก็มิปาน “เจ้าหุบปากแล้วพักผ่อนซะเถอะนะ!”
“แต่ก็ไม่เป็นไร ต่อให้สถานะของข้ามันต่ำต้อย แต่ข้าก็ได้เป็นหนึ่งในคนที่เจ้ารัก แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว” นิรันดร์ยังคงกล่าวต่อ!
มู่เฉียนซีตัดการสื่อสารในทันที หากปล่อยให้เจ้าหมอนี่พูดต่อไป มีหวังนางคงรับไม่ได้แน่
อาถิงมองมู่เฉียนซีอย่างพิจารณาก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าคงจะไม่หัวใจเต้นแรงเพราะคำพูดจาหวานซึ้งของเจ้านั่นหรอกกระมัง!”
มู่เฉียนซีกรอกตามองบนพลางกล่าว “อาถิง เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
อาถิงแสยะปากก่อนจะกล่าวว่า “ใครจะไปรู้ล่ะว่าหญิงอัปลักษณ์อย่างเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ สตรีผู้ที่เย่อหยิ่งทะนงตนก็เคยตกเป็นเหยื่อกับคำพูดของนิรันดร์มาแล้ว ข้ากลัวว่าสาวน้อยอายุน้อยเช่นเจ้าจะหลงใหลในคำพูดเขาไปอีกคน”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “เจ้าวางใจเถอะนะ! เรื่องที่เจ้าเป็นกังวลอยู่จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน”
แต่สุดท้ายอาถิงก็ยังสุขใจอยู่ดี “เป็นเพราะเจ้าหวงจิ่วเยี่ยนั่น ที่ทำให้การต้านทานในคำพูดหวานซึ้งของเจ้านิรันดร์ที่มีต่อเจ้าถึงได้แข็งแกร่งเพียงนี้”
ไม่รู้ว่าเจ้านี่ยังจะพูดเรื่องนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน ครั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงเปลี่ยนเรื่องพูด “อาถิง เจ้าบอกว่าข้าเป็นเจ้านายของนิรันดร์ แล้วเขาสามารถช่วยข้าได้ทุกเรื่อง แล้วเหตุใดตอนที่ข้าขอให้เจ้าเปิดสวนสมุนไพรให้ข้า เจ้าถึงไม่ยอมทำให้ล่ะ”
อาถิงกล่าวอย่างหยิ่งยโสว่า “ ข้ากับเจ้านิรันดร์นั่นเหมือนกันเมื่อไหร่ล่ะ ข้าเป็นผู้ทำพันธสัญญาชีวิตเจ้า แต่เจ้าหมอนั่นไม่ใช่ เจ้าใช้งานเจ้านั่นให้เปรียบเสมือนทาสก็พอแล้ว ไม่ต้องเกรงใจ”
อาถิงทำท่าทางเป็นเหมือนสนมเอกผู้ควบคุมอำนาจ ที่มองสนมเหล่านั้นเป็นเพียงแค่มดปลวกก็มิปาน
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “อ๋อ!”
นางกล่าว “อายุของข้ามีคุณสมบัติที่จะเข้าประลอง แต่อายุของข้าก็น้อยมาก เกรงว่าจะดึงดูดสายตาของผู้คนมากเกินไป เจ้าน่าจะมีวิธีที่จะแก้ไขอายุของข้ากระมัง!”
อาถิงกล่าว “นี่เจ้ายังเป็นพันธสัญญากับข้าหรือไม่ แม้แต่พรสวรรค์และความสามารถของข้าเจ้าก็ไม่รู้ ข้าศาลาเรือนรางเก้าชั้น หรือศาลานิรันดร์ ผู้ควบคุมกาลเวลา เจ้าต้องการจะเปลี่ยนอายุเป็นกี่ปีข้าก็ทำได้”
ดวงตาที่สดใสคู่นั้นจ้องมองไปที่มู่เฉียนซี “หากเจ้าต้องการย้อนเวลากลับไปตอนเจ้าเป็นทารกแรกเกิด ข้าก็ทำได้”
หากหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้กลับไปเป็นทารกแรกเกิด นางก็คงไม่ยั่วโมโหให้เขาโกรธแล้วกระมัง นางคงจะเชื่อฟังเขา
มู่เฉียนซีกล่าว “อาถิง เจ้าอย่าได้คิดทำเรื่องซี้ซั้วเชียว มิเช่นนั้นข้าจะเรียกสุ่ยจิงอิ๋งมาสั่งสอนเจ้า”
“ชิ๊! สุนัขจิ้งจอกชอบแอบอ้างบารมีเสือ” อาถิงกล่าวดูถูก
“ข้าจะเป็นสุนัขจิ้งจอกชอบแอบอ้างบารมีเสือแล้วเจ้าจะทำไม!”
“เหอะ! เจ้าอาศัยความรักที่ท่านพี่ข้ามีให้กับเจ้าต่อไปเถอะ!”
“เจ้ากำลังอิจฉาเหรอ”
“ข้าเปล่า!”
“……”
หลังจากที่ต่อล้อต่อเถียงกับอาถิงมาครู่ใหญ่ มู่เฉียนซีก็เดินออกมาจากห้องปรุงยา
จวินโม่ซียังรอนางอยู่ด้านนอก มู่เฉียนซีกล่าว “จวินโม่ซี เจ้าอยู่ที่หอหมอปีศาจ ทำหน้าที่ท่านหัวหน้านักปรุงยาของเจ้าเถอะ! เรื่องการประลองการปรุงยาในครั้งนี้ ข้าจัดการเองได้”
“เจ้าจัดการเองได้!” จวินโม่ซีตกใจผงะไปครู่หนึ่ง
“อืม! หม้อเทพนิรันดร์ตื่นขึ้นมาแล้ว เรื่องต่อจากนี้ก็คงจะไม่มีปัญหาอันใด”
“จะไม่โดนจับได้เอาเหรอ?” จวินโม่ซีกล่าว
มู่เฉียนซีส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่หรอก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหม้อเทพนิรันดร์มีลักษณะเป็นเช่นไร ส่วนนิรันดร์เองก็สามารถซ่อนกลิ่นอายของตัวเองเอาไว้ได้”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “การประลองครั้งใหญ่ในครานี้ นักปรุงยาทั่วทั้งแดนตะวันออก รวมไปถึงนักปรุงยาของแดนเหนือก็คงจะมาเข้าร่วมด้วย หากไม่กลัวว่าตัวตนจะถูกเปิดเผยแล้วละก็ ข้าอยากจะประลองการปรุงยาในครั้งนี้ร่วมกับเจ้าจริง ๆ”
ทั้งสองมีความมั่นใจเกินครึ่งที่จะชนะ และคาดว่าจวินโม่ซีผู้ที่มีหม้อชีชิงซวนจะมีโอกาสชนะมากกว่า
“ไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่อยากโดนไล่ฆ่าจนท้องหิวโหยเช่นนั้นอีกแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าว “แต่ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าอยากมีชีวิตที่โดนไล่ฆ่าเช่นนั้นอีก!”
“ข้าก็แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ”
“พวกเราปรึกษากับนักปรุงยาหอหมอปีศาจกันสักหน่อยเถอะ! ถึงอย่างไรรางวัลในการประลองร้อยปีครั้งนี้ก็ไม่เลวเลย”
จวินโม่ซีตกตะลึงขึ้น “รางวัลในการประลองร้อยปีไม่เลวเลย นี่เจ้าคงไม่…เจ้าคงไม่คิดที่จะ…”