หอหมอปีศาจอยู่ในแดนตะวันออกมานานเช่นนี้ ในที่สุดก็ได้พบกับหมอปีศาจในตำนานเข้าแล้ว
“ปรมาจารย์มู่เชิญทางนี้” เมื่อการตรวจสอบอายุไร้ซึ่งความผิดพลาด มู่เฉียนซีก็เตรียมที่จะเข้าไปทำการประลองปรุงยาแล้ว แน่นอนว่านางได้ถูกเชิญไปยังที่นั่งของเหล่านักปรุงยาผู้ร่วมประลองในครั้งนี้
“ท่านหมอปีศาจเชิญทางนี้” หอหมอปีศาจนั้นมีตำแหน่งที่นั่งโดยเฉพาะ แต่ในตอนที่ผู้ดูแลกำลังจะเชิญอาถิงไปนั้น ตำหนักตงจี๋ก็ได้ส่งคนเข้ามา
“ท่านหมอปีศาจ ท่านเจ้าสำนักของพวกเราขอเชิญตัวท่าน”
อาถิงมองไปยังไป๋อู๋ห่ายที่นั่งอยู่บนแท่นสูงนั้น ที่นั่งที่เขาอยู่จะต้องเป็นที่ที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน ซึ่งสามารถที่จะมองเห็นการแข่งขันในครั้งนี้ได้อย่างชัดเจน
ดังนั้นแล้วอาถิงจึงไม่ได้ปฏิเสธ “ได้สิ!”
ไป๋อู๋ห่ายมองเห็นชายหนุ่มผู้ที่เหมือนดั่งภูตผีก็มิปานได้ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะใช้กำลังความสามารถที่เขามีอยู่ไปทดสอบอาถิงดู
ปรากฏว่าพลังวิญญาณระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้นของเขานั้นเป็นเหมือนดั่งหยดน้ำที่หยดลงไปบน มหาสมุทร มันไร้ซึ่งระลอกคลื่นแม้แต่น้อย
อาถิงขมวดคิ้วแล้วเข้าไปใกล้ไป๋อู๋ห่าย
“จงอย่าได้ทดสอบข้าอยู่ร่ำไป มิเช่นนั้นแล้วหากข้าไม่สบอารมณ์ก็จะโยนเจ้าลงไปจากตรงนี้”
“เจ้า” คำพูดอันโอหังของอาถิงทำให้เจ้าตำหนักตงจี๋โกรธเข้าเสียแล้ว
ในตอนนี้เองเสียงอันสง่างามเสียงหนึ่งก็ได้ลอยเข้ามา
“การประชุมใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว หมอปีศาจนั่งลงเสียก่อนดีหรือไม่ จะได้ดูมู่เฉียนซีทำการประลอง”
ที่ด้านข้างเฟิงอวิ๋นซิว ได้เกิดที่นั่งว่างขึ้นที่หนึ่ง
ร่างกายของอาถิงเคลื่อนไหวไปในทันทีแล้วนั่งลงบนที่ว่างนั้น
รวดเร็วยิ่งนัก ไป๋อู๋ห่ายและเฟิงอวิ๋นซิวล้วนแต่มองได้อย่างไม่ชัดเจนว่าเขาไปตรงนั้นได้อย่างไรกัน
ปีศาจ พลังความสามารถของเขามันไปถึงขั้นใดกันแล้วแน่?
ไป๋อู๋ห่ายไม่กล้าทดสอบอย่างบุ่มบ่ามอีกต่อไปแล้ว ส่วนอาถิงกลับมองไปที่เฟิงอวิ๋นซิวอย่างพิจารณา
เขาพึมพำอยู่ในใจ เจ้าเด็กนี่หน้าตาก็ไม่ได้เท่าไรนี่ นางผู้หญิงบ้านั่นสายตาเป็นอะไรกัน
โชคดีที่มู่เฉียนซีได้ให้เขาพูดจาน้อย ๆ มิเช่นนั้นแล้วทันทีที่เขาเปิดปากขึ้นกล่าวเกรงว่าคงจะทำให้ภาพลักษณ์ของหมอปีศาจพังทลายลง
เหมือนว่าเฟิงอวิ๋นซิวเองก็จะสัมผัสได้ถึงสายตาอันไม่เป็นมิตรของอาถิง และปรากฏว่าเขาก็ได้ยินเสียงอันเย็นเฉียบเสียงหนึ่งลอยมาที่ข้างหู
“เจ้าอยู่ให้ห่างจากนางหน่อย”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าเป็นเพื่อนกับมู่เฉียนซี
“นั่นก็ไม่ได้!”
“เฉียนซีโตแล้ว มีความคิดเป็นของตนเอง หมอปีศาจก็จะยุ่งย่ามมากไปหน่อยแล้วหรือไม่? ไม่ทราบว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับมู่เฉียนซี?” ถึงแม้ว่าจะเคยได้ยินคำตอบของเฉียนเยี่ยมาแล้ว แต่เขาก็ยังอยากที่เป็นผู้ถามเจ้าตัวด้วยตัวเอง
มุมปากของอาถิงค่อยยกขึ้นเล็กน้อย “ข้าสามารถที่จะยุ่งได้ บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนางไปมากกว่าข้าแล้ว เจ้าล้มเลิกความคิดนั้นเสียเถอะ!”
ดวงตาสีเหลืองอำพันนั้นหม่นหมองลงไปพลัน เป็นความจริง?
“อายุของหมอปีศาจดูจะไม่เหมาะสมกับมู่เฉียนซีกระมัง!”
“มีอะไรไม่เหมาะสม หากนางชอบแค่เพียงอายุขวบปี ข้านั้นดูจะยังเยาว์วัยกว่าเจ้า มันมีตรงไหนไม่เหมาะสม”
เมื่อพบกับคำตอบของอาถิง เฟิงอวิ๋นซิวก็เป็นใบ้กล่าวไม่ออกไปอยู่บ้าง
“เจ้าอยากได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไปครอบครอง ข้าว่าเจ้าล้มเลิกความคิดจะดีกว่านะ กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ หากผู้ใดได้มันไป คนผู้นั้นก็จะต้องตาย ดวงจิตจะถูกกลืนกินจนดับสลาย เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้นางอยากช่วยเจ้าก็คงจะช่วยไม่ได้แล้ว”
เขารู้ดีว่ากระบี่วิญญาณมังกรเพลิงพิฆาตนั้นโหดร้ายขนาดไหน ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่ามีเขาและพี่สาวของเขาอยู่ อีกทั้งยังมีจิ่วเยี่ยด้วยนั้น เขาคงไม่วางใจให้นางผู้หญิงบ้าได้กระบี่มังกรเพลิงมาอย่างแน่นอน
“ข้าจะไม่ยอมแพ้” เฟิงอวิ๋นซิวกำหมัดเอาไว้แน่น
“อย่าได้ดื้อรั้นในเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาขวางหูขวางตานาง” อาถิงกล่าวอย่างใจร้อน
ทั้งสองนั้นมีเป้าหมายเดียวกัน เรื่องของการเผชิญหน้ากันในภายหลังนั้นคงจะขาดไม่ได้
เฟิงอวิ๋นซิวยังคงมีอะไรที่อยากจะกล่าวออกมาอีก แต่ทันใดนั้นเสียงกลองก็ได้ลอยมา
“เริ่มการประชุมนักปรุงยาในรอบอายุร้อยปี ขอให้นักปรุงยาทุกท่านขึ้นบนแท่นปรุงยา”
อาถิงกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ไม่พูดไร้สาระกับเจ้าแล้วไอ้หนู นางกำลังจะแข่งขันแล้ว”
อาถิงได้เอาความสนใจทั้งหมดไปไว้ที่ตัวมู่เฉียนซี ดวงตาสีเขียวนั้นมีประกายออกมา ความจดจ่อเช่นนั้นมันราวกับว่าโลกทั้งใบนี้เขามองเห็นแต่นางเพียงผู้เดียว
เฟิงอวิ๋นซิวรู้ว่าตนเองไม่สามารถที่จะมองนางเช่นนั้นได้ เขาถึงขั้นที่ยึดเอานางเป็นคนอีกผู้หนึ่ง
ทั่วทั้งแดนตะวันออกมีผู้ที่เป็นอัจฉริยะอย่างคับคั่ง อัจฉริยะนักปรุงยาในรอบอายุหนึ่งร้อยปีนั้นมีอยู่ไม่น้อย ผู้ดำเนินงานในครั้งนี้ก็คือปรมาจารย์จาง เมื่อมองไปยังคนเหล่านั้นที่กำลังมุ่งไปที่แท่นปรุงยา เขาก็เห็นเด็กสาวในชุดสีม่วงที่ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่าเด็กสาวผู้นี้ช่างขัดหูขัดตาเช่นเดียวกันกับมู่หรงเฉียนเยี่ยยิ่งนัก
ไม่เสียทีที่เหมือนกันกับมู่หรงเฉียนเยี่ย ล้วนแต่มีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับหมอปีศาจ
ปรมาจารย์จางประกาศขึ้น “การแข่งขันของพวกเจ้าคนรุ่นหนุ่มสาวทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองรอบ ในรอบแรกให้จับสลากสูตรยาเม็ดขึ้นมาสูตรหนึ่งเพื่อปรุงยา ความต้องการก็คือจะต้องสกัดออกมาได้สำเร็จอีกทั้งยังมีคุณภาพที่ผ่านเกณฑ์”
“ไม่ว่าหัวข้อการแข่งขันในครั้งนี้จะคืออะไรก็ตาม สมุนไพรวิญญาณนั้นจะต้องจัดเตรียมมาเอง สูตรโอสถที่ออกทดสอบนั้นล้วนแต่เป็นสูตรยาเม็ดขั้นปฐพีธรรมดาทั่วไป ขอแค่เพียงเป็นนักปรุงยาที่ผ่านมาตรฐานผู้หนึ่ง เช่นนั้นก็จะมีสมุนไพรวิญญาณให้อย่างมากเพียงพออย่างแน่นอน ทุกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลใจในส่วนตรงนี้”
“ต่อไปจะเป็นการจับสลากสูตรโอสถตามลำดับรายชื่อ”
ใบจัดลำดับรายชื่อใบหนึ่งได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเหล่าผู้คน
ชื่อของมู่เฉียนซีนั้นอยู่ท้ายที่สุด
เฟิงอวิ๋นซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เฉียนซีอยู่อันดับท้ายสุดมันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
อาถิงได้กล่าวออกมาทันที “เจ้าเฒ่านั่นใช้ลูกไม้อะไรอีกแล้ว”
มุมปากของไป๋อู๋ห่ายยกขึ้นเบา ๆ ในเมื่อสะกดหมอปีศาจที่ลึกเกินหยั่งถึงไม่ได้ เขาก็จะต้องทำให้มู่เฉียนซีพ่ายแพ้อย่างอนาถในงานใหญ่ครั้งนี้แทน
“การจัดอันดับในครั้งนี้ได้เรียงตามอายุเอาไว้ตั้งแต่แรก หากอายุเท่ากันก็จะดูที่พลังความสามารถ ซึ่งเป็นการยุติธรรมอย่างแน่นอน” ปรมาจารย์จางกล่าว
กระนั้นแล้วมู่เฉียนซีที่มีอายุน้อยที่สุด ระดับขั้นก็ต่ำที่สุดจึงได้กลายเป็นอันดับสุดท้ายไป
การจับสลากนั้นผ่านไปรวดเร็วเป็นอย่างมากและตอนนี้กำลังจะถึงตอนที่มู่เฉียนซีต้องจับแล้ว ด้านในนั้นเหลือสูตรโอสถอยู่เพียงไม่กี่ใบเท่านั้น
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เป็นอันตรายของปรมาจารย์จาง มู่เฉียนซีก็กล้าที่จะแน่ใจได้เลยว่าในใบเหล่านั้นมันไม่ใช่ของดีที่ง่ายดายอะไร
ปรมาจารย์จางได้เตรียมการเอาไว้ตั้งแต่ต้นและได้เล่นไม่ซื่อโดยที่ไม่มีผู้ใดพบเห็น จึงไม่มีทางที่จะเปิดโปงเขาได้
ขอแค่เพียงเป็นยาเม็ดระดับปฐพี เช่นนั้นแล้วก็จะมิอาจสร้างความยากลำบากให้แก่นาง แต่ถ้าหากเขากล้าที่จะเอาระดับสวรรค์มาออกโจทย์ละก็ แน่นอนว่ามันก็จะไม่แนบเนียน
มู่เฉียนซีค่อย ๆ จับสลากอย่างใจเย็น จากนั้นก็ได้กลับไปยังแท่นปรุงยาของตนเอง
“ดูสิว่าเจ้าจะตายอย่างไร” ปรมาจารย์จางกล่าวอย่างมาดร้าย
เมื่อการจับสลากจบลง ปรมาจารย์จางได้กล่าวขึ้น “เริ่มการประลองได้ พวกเจ้ามีเวลาสามชั่วยามในการสกัดยา คนหนุ่มสาว โอกาสในการแสดงฝีมือของพวกเจ้ามาถึงแล้ว จงสู้ต่อไปเถอะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของปรมาจารย์จาง พวกเขาก็ได้เปิดสูตรโอสถขึ้นมา และเริ่มจัดเตรียมสมุนไพรวิญญาณ
มู่เฉียนซีเองก็เช่นกัน ปรมาจารย์จางยิ้มอย่างเย็นยะเยือก สูตรโอสถนั่นจงอย่าหวังว่าจะปรุงได้เลย คาดว่าเจ้าเด็กนี่คงจะไม่มีสมุนไพรวิญญาณที่อยู่บนสูตรโอสถนั้น รอที่จะยอมแพ้ไปก็แล้วกัน!
แต่เขาต้องผิดหวังเสียแล้ว ปรมาจารย์จางเห็นมู่เฉียนซีนำสมุนไพรวิญญาณแต่ละชนิดออกมา เขารู้สึกว่าสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นมันค่อนข้างที่จะคุ้นตา
จนเมื่อมู่เฉียนซีได้นำสมุนไพรวิญญาณชนิดที่อยู่ในพื้นที่น้ำแข็งขึ้นมา ในที่สุดเขาก็ได้รู้เสียแล้วว่าทำไมนางถึงได้นิ่งเงียบ ทันใดนั้นทั้งสองตาของเขาก็พลันเกิดเพลิงพิโรธขึ้น
สมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นล้วนแต่เป็นของที่เจ้าเด็กมู่หรงเฉียนเยี่ยได้ชิงไป
สูตรโอสถนี้ที่เขารู้ แน่นอนว่าในตำหนักโอสถนั้นมีสมุนไพรทั้งหมดมอบให้โดยไม่ขาดไปแม้แต่อย่างเดียว
ในตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่ามู่เฉียนซีจะเตรียมสมุนไพรให้ครบได้สักชุดหนึ่งเลย ถึงต่อให้เป็นร้อยชุดก็สามารถที่จะเตรียมให้ครบได้ แม้ว่าเจ้าเด็กมู่หรงเฉียนเยี่ยนั่นจะออกจากเมืองตงจี๋ไปแล้วแต่ก็ยังเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาอยู่เช่นเดิม ช่างน่ารังเกียจนัก!