“สี่ต่อหนึ่ง ความคิดของเจ้านี่ช่างดีจริง ๆ ตอนนี้เจ้ามีกำลังในการต่อสู้หรือ? ก็ไม่ ท่านพี่ข้ายังอ่อนแอถึงเพียงนั้น ไม่เหมาะที่จะลงมือ ส่วนมังกรวารีก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย” อาถิงกล่าว
“ก็หวังว่ามังกรวารีจะตื่นขึ้นมาก่อนที่จะได้เจอกับพิฆาตวิญญาณนะ เพราะหากเป็นเช่นนี้ โอกาสที่จะได้พิฆาตวิญญาณมาก็จะมากขึ้น อีกไม่นานการปรุงยาของยอดดวงใจข้าก็จะถึงช่วงเวลาที่คับขันแล้ว แต่หากไม่มีพลังธาตุอัคคีมันก็ไม่ได้!”
นิรันดร์ก็ไม่ใช่ว่าจะกล่าวถึงพิฆาตวิญญาณออกมาโดยไม่คิด แต่เขาต้องการพิฆาตวิญญาณมาจริง ๆ
“เจ้าคงจะไม่คิดหาวิธีอื่นเพื่อที่จะให้หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้มีพลังธาตุอัคคีหรอกกระมัง?”
อาถิงเองก็รู้ดีว่ามู่เฉียนซีนั้นต้องการมีพลังธาตุอัคคีเพื่อหลอมยามากเพียงใด แต่เจ้าพิฆาตวิญญาณนั้นอันตรายมาก และยากที่จะรับมืออีกด้วย!
“ยอดดวงใจของข้านั้นยอดเยี่ยมที่สุด มีเพียงแค่พลังธาตุอัคคีจากกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เท่านั้นที่จะทำให้นางไร้เทียมทานในใต้หล้าได้”
นิรันดร์นั้นจู้จี้จุกจิกมาก จู้จี้จุกจิกเรื่องคนงาม จู้จี้จุกจิกเรื่องวัสดุทั้งหมดในการปรุงยา จู้จี้จุกจิกเป็นอย่างยิ่ง และเปลวไฟในการปรุงยาก็เป็นหนึ่งในเรื่องหนึ่งที่เขาจู้จี้จุกจิก
อาถิงเองก็รู้ดี “ก็หวังเพียงแค่มังกรวารีเท่านั้นแล้ว หวังว่าจะรีบตื่นขึ้นมาช่วยหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้เร็ว ๆ”
และในตอนนี้เอง นิรันดร์ก็ถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปในร่างของมู่เฉียนซีแล้ว
อาถิงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “นี่เจ้า…เจ้าเบี่ยงเบนความสนใจของข้า แล้วเจ้าก็…”
นิรันดร์ยิ้มพลางกล่าว “ในยามศึก ต้องใช้แผนหลอกตบตาศัตรูอยู่เสมอ ศาลาน้อย เจ้านี่ช่างน่ารักน่าชังเสียจริงเลย!”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
“ชู่ว! อย่าเสียงดังรบกวนการพักผ่อนยอดดวงใจของข้าสิ”
มู่เฉียนซีที่นอนหลับอยู่ในตอนนี้ไม่รู้เลยว่าผู้เป็นพันสัญญาทั้งสองของนางคุยสิ่งใดกัน
วันต่อมา มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาและรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก หลังจากที่สูญเสียพลังวิญญาณไปจนกระทั่งตอนนี้ก็รู้สึกว่าพลังวิญญาณได้ฟื้นฟูกลับมาไม่น้อย
มู่เฉียนซีกล่าว “อาถิง ไปเถอะ! พวกเราไปสนามประลองกัน”
อาถิงกล่าว “หญิงอัปลักษณ์ ตอนนี้ข้าไม่อยากจะพูดกับเจ้า”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “นี่เจ้าเป็นอะไรไป หรือว่าถูกใครรังแกมา?”
“ข้าเนี่ยนะจะถูกคนรังแก เจ้าอย่ามาพูดให้ตลกขบขันไปหน่อยเลย!”
อาถิงพรวดออกมาจากมิติพันธสัญญาด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาสีเขียวอ่อนอันสดใสคู่นั้นจ้องมองไปที่มู่เฉียนซี
“ศาลาเรือนรางเก้าชั้นอย่างศาลานิรันดร์ไม่มีทางถูกผู้ใดรังแกได้ เมื่อครู่ข้าก็แค่พูดไป ไม่ได้คิดอันใดทั้งสิ้น”
“ต่อไปหากเจ้าจะพูดเช่นนี้อีก ทางที่ดีเจ้าก็ไม่ต้องพูดออกมาซะดีกว่า เพราะมิเช่นนั้น ข้าจะโกรธเจ้าเอาได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
มู่เฉียนซีกลับมาที่สนามประลองอีกครั้ง และยิ่งดึงดูดสายตาผู้คนมากขึ้น
ทุกคนต่างก็มั่นใจว่ามู่เฉียนซีสามารถเข้ารอบสิบคนแรกของการประลองในครั้งนี้ได้
อายุไม่ถึงยี่สิบปี เข้ารอบสิบคนแรกของการประลองปรุงยาอายุไม่เกินร้อยปี ทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศเกรงว่าจะไม่เคยมีมาก่อน ปีศาจเช่นนี้ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก
ปรมาจารย์จางมองมู่เฉียนซีและทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูก แต่ก็ไม่ได้เปล่งเสียงกล่าวแต่อย่างใด
เวลาในการประลองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว และในขณะที่ปรมาจารย์จางกำลังจะประกาศเริ่มการประลอง จู่ ๆ เงาร่างสีขาวก็ได้ปรากฏขึ้น
“ท่านพ่อ ได้ยินว่าท่านพ่อมาชมการประลองปรุงยา ข้าชมกับท่านพ่อด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” น้ำเสียงอันอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น
ทุกคนหันไปมองสตรีชุดขาวผู้เป็นเจ้าของน้ำเสียงอันอ่อนโยนนี้ ชุดสีขาวเผยให้เห็นร่างกายอันอ่อนช้อยงดงามอย่างไร้ที่ติ โฉมหน้างดงามประณีตทำให้นางดูเปล่งปลั่งมาก
ดวงตาสดใสดุจดั่งหยดน้ำ ช่างดูอ่อนโยนอย่างหาที่เปรียบมิได้
สตรีผู้นี้เรียกท่านหัวหน้าตำหนักว่าท่านพ่อ คาดว่านางคงจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ ไป๋เหยียนเอ๋อร์
มู่เฉียนซีตกใจเล็กน้อย ไป๋เหยียนเอ๋อร์ที่คราก่อนถูกพิษจนกลายเป็นหัวหมู ในที่สุดตอนนี้ก็ได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว ดูท่า พิษจะถูกกำจัดไปแล้ว
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “ได้สิ เหยียนเอ๋อร์ มานั่งนี่”
ทว่า ไป๋เหยียนเอ๋อร์ยังไม่ทันได้นั่งลง สายตาก็หันไปเห็นร่างในชุดสีม่วงซะก่อน
คนผู้นั้นเป็นคนที่นางเกลียดจนเข้ากระดูก!
นางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “มู่เฉียนซี นี่เจ้า…นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมาปรากฏตัวที่เมืองตงจี๋ได้ ข้า…”
“เหยียนเอ๋อร์!” นางยังไม่ทันได้กล่าวจบก็ถูกหัวหน้าตำหนักห้ามไว้ด้วยเสียงขรึมเสียก่อน
“ท่านพ่อ แต่นางคือมู่เฉียนซีนะเจ้าคะ! นี่ท่านพ่อ ท่านพ่อจะไม่ช่วยลูกแก้แค้นหรือเจ้าคะ?” ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยความกล้ำกลืน
ไป๋อู๋ห่ายรู้ดีอยู่แก่ใจว่าบุตรสาวของตนเองโกรธแค้นสาวน้อยที่ชื่อมู่เฉียนซีผู้นี้มากมายเพียงใด ทว่า ที่นี่เป็นสนามประลองการปรุงยา ไม่สามารถลงมือกับผู้เข้าร่วมประลองอย่างตามใจได้
นี่ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหมอปีศาจผู้นั้นต่างหาก!
ไป๋อู๋ห่ายมองไปที่ชายหนุ่มชุดสีเขียวอ่อนที่นั่งอย่างเกียจคร้านอยู่ข้างเฟิงอวิ๋นซิวผู้นั้น ไป๋เหยียนเอ๋อร์ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “เป็นเขา นึกไม่ถึงว่าเขาจะอยู่ที่นี่ด้วย”
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “อย่าได้ใจร้อน!”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์รู้ดีว่าตอนนี้ไม่เหมาะที่จะลงมือ แต่เมื่อเห็นหน้ามู่เฉียนซี ไฟแค้นที่อยู่ในใจนางก็แผดเผาจนจะกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว
น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ “เจ้าโง่ หากเจ้ากล้าผลีผลามแล้วละก็ ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเป็นอันขาด”
หวงจิ่วเยี่ยรู้ดีอยู่แล้วว่านางอยู่ตำหนักตงจี๋ อยู่ในร่างของไป๋เหยียนเอ๋อร์ แต่เหตุใดถึงยอมปล่อยให้หญิงสาวที่ตนเองใส่ใจมาที่นี่เช่นนี้ได้
ในร่างของหญิงสาวผู้นี้ เกรงว่าจะมีของที่ปกป้องตัวอยู่ไม่น้อย แต่สถานการณ์ของนางในตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะเผชิญหน้าต่อสู้!
รอโอกาสเหมาะสมกว่านี้ นางจะคิดหาวิธีใช้ประโยชน์จากหญิงสาวผู้นี้ทำให้หวงจิ่วเยี่ยไม่มีทางที่จะฟืนคืนได้อีกต่อไป!
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กัดริมฝีปากและกล่าวอย่างเคารพว่า “ท่านหมิงจี ข้าเข้าใจแล้ว”
คำพูดของหมิงจี นางไม่อาจขัดได้ ทำได้เพียงแค่อดทนและทำตาม!
ทุกคนก็รู้สึกได้ว่าไป๋เหยียนเอ๋อร์นั้นมีเจตนาร้ายต่อมู่เฉียนซี นึกไม่ถึงเลยว่าท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้อ่อนโยนและบริสุทธิ์ท่านนี้จะมีเจตนาร้ายและจิตสังหารเช่นนี้ด้วย คนเราดูแต่รูปร่างภายนอกไม่ได้จริง ๆ!
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “ปรมาจารย์จาง ถึงเวลาประลองแล้ว เหตุใดยังมัวแต่ยืนอึ้งอยู่ล่ะ!”
ปรมาจารย์จางกล่าว “เรามาเริ่มการประลองกันเถอะ เชิญนักปรุงยาทุกท่านขึ้นบนแท่นปรุงยาเพื่อเตรียมเริ่มการประลอง!”
มู่เฉียนซีเดินไปที่แท่นปรุงยา นางรับรู้ได้ถึงสายตาที่ลุกเป็นไฟคู่นั้นของไป๋เหยียนเอ๋อร์ที่จับจ้องมาที่นางได้อย่างชัดเจน
จากนั้น ปรมาจารย์จางเริ่มประกาศรายละเอียดในการประลอง “การประลองในด่านที่สอง ยาลูกกลอนที่หลอมในด่านนี้ไม่มีข้อกำหนด เพียงแต่ว่า พวกเจ้าต้องหลอมยาในระดับที่ตนเองคิดว่าดีที่สุด ระดับของยาลูกกลอนที่หลอมออกมาต้องมีระดับสูงที่สุด และแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพวกเจ้าได้ดีที่สุดก็พอแล้ว!”
“สุดท้าย เราจะมาตัดสินกันที่ระดับของยาและคุณภาพของยา!”
“พวกเจ้าเข้าใจตรงกันแล้วใช่หรือไม่?”
“เข้าใจแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ” ผู้เข้าประลองในด่านที่สองตอบ
“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าขอประกาศเริ่มการประลองได้ การประลองครั้งนี้มีเวลาทั้งหมดหกชั่วยาม!”
เวลาของการประลองเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และระดับของยาลูกกลอนที่ต้องหลอมก็สูงขึ้นเช่นกัน
มู่เฉียนซีรั้งทัพรอจังหวะบุกโจมตี สังเกตผู้เข้าประลองคนอื่น ๆ ก่อนว่าพวกเขาหลอมยาลูกกลอนชนิดใดแล้วค่อยว่ากันอีกที ตราบใดที่หลอมยาลูกกลอนที่มีระดับสูงกว่าคนอื่น ๆ ออกมาได้ถึงจะคว้าอันดับหนึ่งได้
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “ท่านพ่อ นึกไม่ถึงว่ามู่เฉียนซีจะกล้าเข้าร่วมประลองการปรุงยาในแดนตะวันออกนี้ด้วย ท่านพ่อว่านางจะคว้าอันดับใดไปได้เจ้าคะ?”
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “พรสวรรค์ในการปรุงยาของมู่เฉียนซีนั้นแข็งแกร่งมาก หลาย ๆ คนคาดเอาไว้ว่านางสามารถเข้าสิบอันดับแรกได้ สาวน้อยที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีสามารถเข้าสิบอันดับแรกได้ แม้ว่าพ่อจะฟังแล้วไม่อยากเชื่อ แต่นางก็มักจะทำเรื่องที่เกินความคาดหมายของทุกคนออกมาได้เสมอ และครั้งนี้พ่อก็ไม่อาจแน่ใจได้เหมือนกัน!”
อายุเพียงแค่สิบเจ็ดปีก็ติดสิบอันดับแรกของการประลองปรุงยาอายุร้อยปีได้ ตัวนางเองก็เป็นนักปรุงยาเหมือนกัน นางจะไม่รู้ได้อย่างไรกันเล่า
เนื่องจากนางป่วย จึงเข้าร่วมการประลองการปรุงยาในครั้งนี้ไม่ทัน แต่นางรู้ดี ด้วยความแข็งแกร่งของนางแล้ว ต่อให้เข้าร่วมก็สามารถฝืนได้แค่เข้าสู่ร้อยอันดับแรกเท่านั้น แต่คนอื่นกลับบอกว่ามู่เฉียนซีสามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกได้
บัดซบ! นางไม่อยากให้มู่เฉียนซีได้อันดับที่ดีและโดดเด่นเช่นนั้น
ในตอนนี้เอง เสียงของหมิงจีก็ดังขึ้น “การฆ่านางมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากจะทำให้นางหลอมยาล้มเหลวและอับอายขายขี้หน้านั้น ข้าทำได้ เจ้าจะให้ข้าช่วยหรือไม่?”