ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง! สายฟ้ายังคงฟาดลงมายังสถานที่ที่ซากปรักหักพังของสุสานมังกรปรากฏอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งฟาดแยกส่วนเป็นเก้าสิบเก้าสายถึงจะหยุดลง การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ทำให้คนของแดนมังกรสนใจซากปรักหักพังของสุสานมังกรนี้แล้ว
“เก้าสิบเก้าสาย นี่แดนมังกรของพวกเราไปล่วงเกินผู้ใดเข้าแล้ว?” หัวหน้าเผ่ามังกรอัคคีกล่าวอย่างกลัดกลุ้มใจ
“เกรงว่าของสิ่งนั้นที่อยู่ในคลังเก็บของล้ำค่าของเผ่ามังกรจะแผลงฤทธิ์เข้าแล้ว” สุ่ยอู๋ซินกล่าวเสียงขรึม
สามารถทำให้เกิดสายฟ้าฟาดได้อย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ได้ นอกจากของที่พวกเขาพยายามรักษาเอาไว้อย่างสุดชีวิตนั้นแล้ว ของอย่างอื่นไฉนเลยจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ได้!
หลังจากที่สายฟ้าได้หยุดลง มู่เฉียนซีก็กล่าวว่า “พวกเราจะไปที่ซากปรักหักพังของสุสานมังกรนั่น”
หัวหน้าเผ่ามังกรไม้กล่าว “การที่ซากปรักหักพังของสุสานมังกรปรากฏขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ต้องเตรียมความพร้อมเอาไว้ให้พร้อมในทุก ๆ ด้าน มิเช่นนั้นเกรงว่าจะมีอันตรายขึ้นได้”
จิ่วเยี่ยกล่าว “เผ่ามังกรของพวกเจ้าจะตัดสินใจเช่นไรก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า ข้ากับซีจะไปที่นั่นก่อน”
อาการหงุดหงิดกระสับกระส่ายของคำสาปในร่างจิ่วเยี่ยไม่รู้ว่าจะยับยั้งไปได้ถึงเมื่อใด ต้องรีบลงมือรีบจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดถึงจะได้
สุ่ยอู๋ซินกล่าว “เช่นนั้นท่านมู่กับพวกก็มุ่งหน้านำไปก่อนเถอะ! พวกเราเผ่ามังกรจะสนับสนุนท่านอย่างสุดความสามารถ”
หัวหน้าเผ่ามังกรอัคคีกล่าว “มนุษย์อย่างพวกเจ้าเข้าไปในซากปรักหักพังของสุสานมังกรพวกเรามันจะยิ่งเป็นอันตราย พวกเจ้าแน่ใจแล้วเหรอว่าจะไปจริง ๆ ?”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ใช่ ต่อให้อันตรายมากเพียงใดก็ต้องลองดู”
จิ่วเยี่ยกับมู่เฉียนซีไม่ได้เสียเวลาพูดจาอยู่กับพวกเขานานนัก พวกนางใช้ความเร็วอย่างรวดเร็วที่สุดมุ่งหน้าไปที่ซากปรักหักพังของสุสานมังกรนั้น
ซากปรักหักพังของสุสานมังกรก็เป็นเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่ง
เพียงแต่ว่าเกาะแห่งนี้นำไปสู่มิติอีกมิติหนึ่ง
ตาข่ายสายฟ้าได้ปกคลุมโดยรอบบริเวณ ตอนนี้คิดจะเข้าไปมันไม่ใช่เรื่องง่าย
แววตาของจิ่วเยี่ยมืดสลัวลง
มู่เฉียนซีคว้าแขนของเขาเอาไว้ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย นับตั้งแต่ตอนนี้ไป เจ้าต้องฟังข้าทุกอย่าง หากข้าไม่ให้เจ้าลงมือ เจ้าก็สงบจิตสงบใจเอาไว้อย่าได้ใช้พลังให้สิ้นเปลืองเป็นอันขาด เอาพลังทั้งหมดของเจ้ายับยั้งคำสาปเอาไว้ เจ้าต้องยืนหยัดยับยั้งให้ได้!”
จิ่วเยี่ยตอบ “ตกลง ข้าจะเชื่อฟังซีทุกอย่าง”
เมื่อตาข่ายสายฟ้าได้กระจายหายไป บริเวณรอบเกาะซากปรักหักพังของสุสานมังกรกลับมีมิติพายุ
หากยิ่งช้ามันก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น จะมัวรอช้าต่อไปไม่ได้แล้ว มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย เราไปกันเถอะ!”
จิ่วเยี่ยไม่ได้ลงมือ พลังของสุ่ยจิงอิ๋งทำให้พวกเขาทั้งสองไม่ถูกมิติพายุนั้นโจมตี
พวกเขาเข้าไปในเกาะซากปรักหักพังของสุสานมังกรได้อย่างราบรื่น
เมื่อพวกเขาได้ย่างกรายเข้าไปก็ราวกับได้เข้าไปในป่าอันกว้างใหญ่ก็มิปาน
พวกเขาคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าสถานที่ซากปรักหักพังของสุสานมังกรนี้จะเป็นป่าอันกว้างใหญ่ที่ไร้ขอบเขตเช่นนี้
บริเวณรอบ ๆ เต็มไปด้วยต้นไม้อันหนาแน่น และสิ่งที่ทำให้มู่เฉียนซีประหลาดใจไปมากกว่านั้นก็คือที่แห่งนี้มีสมุนไพรวิญญาณที่มีอายุหมื่นปีอยู่เป็นจำนวนมาก
ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายขึ้น แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้ลงมือเก็บแต่อย่างใด
ในตอนนี้มีเรื่องสำคัญมากที่ต้องทำ
จิ่วเยี่ยเห็นแววตาและสีหน้านี้ของมู่เฉียนซี เมื่อก่อนในสายตาของซีนอกจากสมุนไพรวิญญาณแล้วนางก็ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย
แต่ในตอนนี้ในหัวใจของซีดูเหมือนว่าเขาจะมีความสำคัญมากกว่าสมุนไพรวิญญาณแล้ว
พวกเขาเดินอยู่ในป่าไม้นั้น แต่ดูเหมือนจะถูกต้นไม้เหล่านี้กักขังเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
ไม่นานนักต้นไม้เหล่านี้ก็เริ่มโจมตีพวกเขา
ราวกับว่าพวกมันเป็นผู้เฝ้าสุสาน
มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย เจ้าซ่อนตัวเอาไว้ให้ดี อย่าลงมือเด็ดขาด”
“มังกรเพลิงสังหาร!”
ต้นไม้เฝ้าสุสานเหล่านี้เก่งกาจมาก แต่เปลวไฟของกระบี่มังกรเพลิงนั้นสามารถยับยั้งพวกมันเอาไว้ได้
มิเช่นนั้นมู่เฉียนซีต้องเป็นอันตรายแน่นอน
จิ่วเยี่ยแอบซ่อนกลิ่นอายของตัวเองเอาไว้ ต้นไม้ผู้พิทักษ์เหล่านี้ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของเขา ดังนั้นจึงโจมตีแต่มู่เฉียนซีเท่านั้น
พรึบ พรึบ พรึบ! ต้นไม้พุ่งเข้าหามู่เฉียนซีมาจากทุกทิศทาง พวกมันห้อมล้อมมู่เฉียนซีเอาไว้ และมู่เฉียนซีก็ตอบโต้อย่างทันท่วงที
“บัวแดงพิฆาต!”
บัวอัคคีสีแดงฉานได้ระเบิดออกมาแผดเผาต้นไม้พิทักษ์เหล่านี้ได้
หากขืนต่อสู้และพัวพันอยู่กับต้นไม้พิทักษ์เหล่านี้ต่อไป มีหวังต้องถึงทางตันเป็นแน่
ตอนนี้ทำได้เพียงแค่หลบหลีกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย เรารีบไปกันเถอะ!”
จิ่วเยี่ยพามู่เฉียนซีจากไปอย่างรวดเร็วที่สุด ทำให้ต้นไม้พิทักษ์เหล่านั้นแตะต้องตัวพวกเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีกล่าว “ความเร็วเร็วเช่นนี้เจ้าจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!”
จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ซี ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าได้จินตนาการเอาไว้นะ ความเร็วเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านี้ไม่ได้ใช้พลังเยอะเลย”
พวกเขามุ่งหน้าหนีต่อไป และต้นไม้พิทักษ์เหล่านั้นก็ไล่ตามหลังพวกเขาอย่างไม่ยอมเลิกรา
ภายในเทือกเขาอันไร้ขอบเขตนี้ มีต้นไม้นับไม่ถ้วนเป็นศัตรูกับพวกเขา
มู่เฉียนซีกล่าว “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่เราจะหาคลังเก็บของล้ำค่าของเผ่ามังกรไม่เจอ เกรงว่าเราจะเหนื่อยจนต้องมาตายที่นี่อีกด้วย บัดซบจริง ๆ เมื่อไหร่พวกมันจะยอมหยุดสักที”
จิ่วเยี่ยกล่าว “บางทีซีอาจจะใช้วิธีผิดไป! ถึงแม้ว่าเปลวไฟของกระบี่มังกรเพลิงจะยับยั้งพวกมันได้ สามารถแผดเผาพวกมันได้ แต่หากใช้พลังธาตุวารี บางที…”
“สามารถเพิ่มพลังในการต่อสู้ได้ ทำให้พวกมันหยุดโจมตีได้”
มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นข้าจะลองดู!”
“ผนึกมังกรวารี!”
มังกรวารีตัวหนึ่งพุ่งทะยานออกไป และได้พัวพันกับต้นไม้เหล่านั้น
ทันใดนั้นต้นไม้เหล่านั้นก็ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแล้ว ราวกับว่าเป็นผู้ศรัทธาด้วยใจจริงก็มิปาน ยอมรับการล้างบาปอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
สีหน้าของมู่เฉียนซีเผยความดีใจขึ้น “จิ่วเยี่ย เป็นอย่างที่เจ้าพูดเอาไว้จริง ๆ ด้วย”
“ข้าได้แหวนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มานานหลายปี ข้าย่อมรู้ดีว่าพลังธาตุวารีของมันเก่งกาจที่สุดในโลกนี้แล้ว และเป็นที่ชื่นชอบของพืชทุกชนิดอีกด้วย” จิ่วเยี่ยตอบ
เห็นได้ชัดว่ามู่เฉียนซีผู้ที่ได้มอบน้ำให้กับต้นไม้เหล่านี้ก็ไม่ถูกพวกมันโจมตีแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “ต่อไปข้าก็ต้องแผ่ซ่านพลังธาตุวารีเท่านั้นแล้ว และพวกมันก็คงจะไม่โจมตีพวกเราแล้วล่ะ”
หากเป็นคนอื่นก็คงจะเดินไปพลางแผ่ซ่านพลังวิญญาณออกมา และคาดว่าเดินไปได้ไม่ถึงไหนพลังวิญญาณก็คงจะใช้หมดไปเป็นแน่
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าตนเองนั้นสามารถยืนหยัดได้นานหน่อย เนื่องจากนางมียาลูกกลอนอยู่เป็นจำนวนมาก
มู่เฉียนซียื่นมือไปจับจิ่วเยี่ย และกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย เราไปกันเถอะ!”
และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังธาตุวารีที่มู่เฉียนซีทำให้พวกมันรู้สึกสบายนั้นแล้ว ต้นไม้เหล่านี้ไม่เพียงแต่จะไม่โจมตีพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเปิดทางให้กับมู่เฉียนซีอีกด้วย ตลอดทางเดินไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง
เมื่อรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว มู่เฉียนซีจึงกินยาลูกกลอน หรือไม่ก็หยุดพัก
ซากปรักหักพังของสุสานมังกรนี้มันช่างกว้างใหญ่ไพศาลจริง ๆ ที่แห่งนี้ไม่มีกลางวันไม่มีกลางคืน มู่เฉียนซีกับจิ่วเยี่ยไม่รู้ว่าตนเองได้เดินหาอยู่ในที่แห่งนี้นานเพียงใดแล้ว แต่ก็ยังคงหาไม่เจอเบาะแสใด ๆ เลย
มู่เฉียนซีเอากุญแจเทพเผ่ามังกรออกมา แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นกุญแจเทพที่เอาไว้เปิดคลังเก็บของล้ำค่าที่ไร้เดียงสาดอกหนึ่งเท่านั้น มันไม่ยอมบอกพวกเขาว่าคลังเก็บของล้ำค่านั้นอยู่ที่ใด
มู่เฉียนซีมองจิ่วเยี่ยและกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย เจ้ารู้สึกมีการตอบสนองเช่นไรบ้างหรือไม่?”
จิ่วเยี่ยตอบ “คำสาปในร่างกายข้ามีแต่ทำร้ายข้าและให้โทษแก่ข้าเท่านั้น มันไม่ได้ใจดีถึงเพียงนั้นที่จะบอกข้าว่าของที่จะกำจัดมันอยู่ที่ใด ดูท่าแล้วเราคงทำได้เพียงแค่ค่อย ๆ ตามหาเท่านั้น”
พวกเขาที่ตามเสาะหามาช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในตอนนี้ก็พบว่ามีกลิ่นอายอื่นใกล้เข้ามา
มู่เฉียนซีเห็นเงาร่างหลายร่างกำลังมา และพวกเขาก็ไม่ได้ถูกต้นไม้พิทักษ์โจมตี
“นี่มันเป็นการเลือกปฏิบัติที่แตกต่างกันอย่างนั้นเหรอ?” มู่เฉียนซีพึมพำเสียงเบา
ไม่นานนักมู่เฉียนซีก็ได้รู้ถึงสาเหตุ
เพราะว่าพวกเขาคือเผ่ามังกร ที่แห่งนี้คือสุสานของเผ่ามังกร สำหรับคนเผ่าเดียวกันแน่นอนว่าพวกมันมีน้ำใจเป็นพิเศษต่อพวกเขา
ส่วนมนุษย์ที่บุกเข้ามาอย่างมู่เฉียนซีนั้น แน่นอนว่าต้องถูกพวกมันโจมตีอย่างบ้าคลั่ง “เอ๊ะ! ที่นี่ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย”
มู่เฉียนซีกับจิ่วเยี่ยไม่ได้ตั้งใจจะเก็บซ่อนกลิ่นอาย แน่นอนว่าย่อมถูกคนของเผ่ามังกรเหล่านี้ค้นพบเข้าแล้ว