“ท่านพ่อ!” ดวงตาทั้งสองข้างของเซียวโม่ล้วนแดงก่ำ
ในตอนนี้เองมู่เฉียนซีได้เอ่ยขึ้น “ท่านเจ้าตำหนักเซียว เกรงว่าข้าคงไม่สามารถตอบรับคำขอของท่านได้”
เจ้าตำหนักเซียวตะลึงงัน “แม่นางมู่ได้ช่วยเหลือพวกเรามามากมายแล้วจริง ๆ ข้าไม่ควรที่จะรบกวนเจ้าอีก”
มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “ท่านเจ้าตำหนักเซียว ท่านเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าไม่พาเซียวโม่ไปด้วยนั่นก็เพราะข้าได้นำเอาสิ่งล้ำค่าของพวกท่านตำหนักเซียวอวิ๋นไป แน่นอนว่าข้าจะไม่มองดูตำหนักเซียวอวิ๋นถูกล้อมโจมตีโดยมิทำอะไร”
เจ้าตำหนักเซียวมองไปทางมู่เฉียนซีอย่างตกตะลึง “ในตอนนี้ได้มีข่าวลือเช่นนั้นหลุดออกไป การช่วยเหลือพวกเราตำหนักเซียวอวิ๋นก็เท่ากับเป็นศัตรูกับกองกำลังใหญ่ทั่วทั้งแดนตะวันออก ความใจดีของแม่นางมู่นั้นข้ารับเอาไว้แล้ว แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเข้ามาในวังวนแห่งหายนะนี้”
“ผู้อื่นนั้นกลัวเหล่าพวกที่อยู่ด้านนอกนั่น แต่หอหมอปีศาจของข้ามิได้หวั่นกลัว!”
“ถึงแม้ว่าหอหมอปีศาจจะมีอิทธิพลค่อนข้างมากในแดนตะวันออก แต่ศัตรูก็มีจำนวนมากกว่าฝ่ายเรา อย่างไรเสียแม่นางมู่อย่าได้เสี่ยงเลย”
มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นหากมีนายน้อยอวิ๋นซิวแห่งตำหนักตงจี๋เพิ่มขึ้นมาก็จะมีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน”
เจ้าตำหนักเซียวกล่าว “ตามที่ข้ารู้มา นายน้อยอวิ๋นซิวก็ต้องการจะเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไปให้ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากนายน้อยอวิ๋นซิวรู้เข้า ข้าเกรงว่ามันจะไม่เป็นผลดีต่อเจ้า”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “เขารู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราไม่เคยปิดบังข่าวสารต่อฝ่ายตรงข้าม รอจนเมื่อหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์จนพบแล้ว ต่างฝ่ายต่างจะพึ่งพากำลังของตนเองเพื่อให้ได้มา”
ใบหน้าของเจ้าตำหนักเซียวสาดแววของความตกตะลึงออกมา นึกไม่ถึงว่ามู่เฉียนซีจะเชื่อมั่นในเฟิงอวิ๋นซิวขนาดนี้
นายน้อยอวิ๋นซิวแห่งตำหนักตงจี๋เป็นอัจฉริยะที่สูงส่งและลึกลับผู้หนึ่ง บางที่สวรรค์อาจจะมิได้อยากทำลายตำหนักเซียวอวิ๋นของพวกเขา
มู่เฉียนซีกล่าวต่อ “ถ้าหากมีหอปี้ลั่วเพิ่มเข้ามาอีกด้วยเล่า!”
“กองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสองครึ่งแห่งนั้น หอปี้ลั่ว!” เจ้าตำหนักเซียวยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่
“หากเจ้าตำหนักเซียวส่งคนไปละก็ แน่นอนว่าพวกเขาจะมาช่วยเหลือ เช่นนี้แล้วหากเพิ่มตำหนักเซียวอวิ๋นของพวกท่านเข้าไป ถึงให้พวกเขาอยากจะบุกเข้ามา มันก็คงจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น!”
เจ้าตำหนักเซียวกล่าว “ทั้งหมดนี้คงต้องฝากแม่นางมู่ด้วยแล้ว หากตำหนักเซียวอวิ๋นของข้าสามารถรอดคราวเคราะห์ในครั้งนี้ไปได้ จากนี้ไปพวกเราตำหนักเซียวอวิ๋นจะฟังคำสั่งจากหอหมอปีศาจ”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น แต่ว่าหลังจากนี้ไปสามารถเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกันได้ นั่นก็ไม่เลว!”
มู่เฉียนซีเดินออกไปและมองไปยังเงาร่างสีดำนั้นแล้วยิ้มพร้อมกล่าว “อวิ๋นซิว มีข่าวดีแล้วล่ะ!”
ดวงตาสีเหลืองอำพันที่สวยงามคู่นั้นของเฟิงอวิ๋นซิวส่องประกายออกมาแวบหนึ่ง “เป็นแผ่นเหล็ก!”
“นายน้อยอวิ๋นซิวช่างคาดคิดได้เหมือนดั่งเซียนจริง ๆ นี่ก็ถูกเจ้าเดาถูกเสียแล้ว มาตอนนี้มีแผ่นเหล็กสามแผ่น ไม่รู้ว่าจะสามารถหาสถานที่อยู่ของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้แล้วหรือไม่”
แผ่นเหล็กทั้งสามชิ้นได้ถูกนำขึ้นมาทั้งหมด ภายใต้แสงของต้นไม้วิญญาณที่ส่องลงมา มันได้ก่อตัวกลายเป็นรูปภาพขึ้นมา
พวกเขาได้จดบันทึกภาพทั้งสามนั้นเอาไว้ เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “แผนที่ทั้งหมดมีเพียงแค่สามส่วน หากจะคิดหาตำแหน่งที่ตั้งออกมานั้นก็ไม่ง่ายดายเลย”
“มีแผนที่ที่สมบูรณ์แบบแล้ว เช่นนั้นก็ค่อย ๆ ขบคิดกันไป สถานการณ์ของตำหนักเซียวอวิ๋นในตอนนี้เจ้าคิดกับมันเช่นไรเฟิงอวิ๋นซิว?” มู่เฉียนซีถามขึ้น
“เฉียนซีคิดที่จะช่วยเหลือพวกเขาหรือ?” เฟิงอวิ๋นซิวถาม
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนหน้านี้ ตำหนักเซียวอวิ๋นจะอยู่หรือตายนั้นเขาจะไม่สนใจมันอย่างแน่นอน
แต่ถ้าตอนนี้เฉียนซีอยากที่จะช่วยเหลือ แน่นอนว่าเขาจะต่อสู้อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับนาง
มู่เฉียนซีกล่าว “ตำหนักเซียวอวิ๋นเป็นสำนักหลอมอาวุธอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออก พวกเขามีทักษะการหลอมอาวุธที่กลุ่มกองกำลังอื่นไม่อาจเทียบเทียมได้ หากจะถูกทำลายล้างไปเพราะการวางแผนลอบทำลายของคนโฉดชั่วนั้นมันก็น่าเสียดายยิ่งนัก อีกทั้งข้ากับเซียวโม่ยังได้รู้จักกันไปแล้วคราหนึ่ง เจ้าตำหนักเซียวก็ได้มอบสิ่งของที่สำคัญเช่นนี้ให้แก่ข้า ข้าไม่อาจที่จะนิ่งดูดายได้”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “การได้แผนที่นี้มาข้าเองก็มีส่วนด้วยเช่นกัน เฉียนซีต้องการที่จะช่วยเหลือ แน่นอนว่าข้าก็จะไม่ยืนเก็บมือคอยยืนมองอยู่ด้านข้างแน่ แต่หากเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ มันก็มีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก”
“มีความเสี่ยงก็ต้องลองดู!”
ผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอกตำหนักเซียวอวิ๋นนั้นมากเข้าไปทุกทีแล้ว เฟิงอวิ๋นซิวได้ออกไปแล้วกล่าวด้วยปากตนเอง “เพื่อที่จะแย่งชิงสิ่งของที่พวกเจ้าไม่แน่ใจว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่และมาเผชิญหน้ากับตำหนักเซียวอวิ๋นเช่นนี้ พวกเจ้าจะสะเพร่าไปหน่อยหรือไม่? อะไรที่สามารถปราณีผู้อื่นได้ก็จงปราณี”
“นั่นนายน้อยอวิ๋นซิว!”
“นายน้อยอวิ๋นซิวก็มาด้วย”
“ตำหนักตงจี๋เองก็อดไม่ได้ลงมือเสียแล้ว”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “วันนี้มีข้าอยู่ พวกเจ้าอย่าได้คิดแตะต้องตำหนักเซียวอวิ๋น ถ้าหากไม่อยากเป็นศัตรูกับตำหนักตงจี๋ ขอให้พวกเจ้าจงจากไปโดยเร็ว”
ทันทีที่เฟิงอวิ๋นซิวได้ยกตำหนักตงจี๋ขึ้นมามันก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวไปอยู่หลายส่วน
แต่ความหวาดกลัวนี้ก็ไม่อาจต้านทานความล่อตาล่อใจของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้
“ที่นายน้อยอวิ๋นซิวกล่าวเช่นนี้เกรงว่าคงจะได้ประโยชน์อะไรจากที่ตำหนักเซียวอวิ๋นมอบให้กระมัง! พวกเราจะไม่จากไปง่ายดายเช่นนั้นแน่นอน นอกเสียจากเจ้าตำหนักเซียวจะนำกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ออกมามอบให้”
“ใช่! ส่งมอบกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มา”
“คิก ๆ!” เสียงหัวเราะเบา ๆ เสียงหนึ่งลอยออกมา
เด็กหนุ่มในชุดสีเขียวผู้หนึ่งได้พลันปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เด็กหนุ่มผู้นี้งดงามเสียจนไม่เหมือนมนุษย์ ดูเหมือนดั่งแสงวิญญาณที่พุ่งออกมาจากในป่าก็มิปาน
ดวงตาสีเขียวอ่อนของเด็กหนุ่มผู้นั้นกลอกกลิ้งไปมา จากนั้นมันก็ได้แผ่พลังจิตอันแข็งแกร่งกวาดตรงไปยังพวกเขาทั้งหมด ทำให้พวกเขานั้นหายใจไม่ทั่วท้อง
เป็นพลังจิตที่น่าหวั่นพรึงนัก สีหน้าของคนทั้งหมดซีดเผือด
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ เฟิงอวิ๋นซิวเองก็ตะลึงงันเช่นกัน
“หมอปีศาจมู่ซี!”
หัวหน้าหอหมอปีศาจมู่ซี มังกรเทพที่พบได้แต่หัวไม่เห็นหางผู้นี้กลับปรากฏตัวขึ้นที่นี่
“นั่นหมอปีศาจมู่ซี!”
“หัวหน้าหอหมอปีศาจมู่ซี อัจฉริยะนักปรุงยาอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออก แม้แต่ยาเม็ดขั้นสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมก็ยังสามารถสกัดออกมาได้”
“พลังวิญญาณแข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้ เขายังเป็นคนอยู่หรือไม่!”
ผู้แข็งแกร่งของกองกำลังอื่น ๆ เองก็สามารถจดจำสถานะตัวตนของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ได้ ทันใดนั้นก็ได้เกิดความโกลาหลขึ้นมา
พลังจิตแข็งแกร่งเสียจนเกินจริงไปเช่นนี้ เช่นนั้นพลังความสามารถของเขาก็ยิ่งยากที่จะจินตนาการได้เสียยิ่งกว่า
มู่เฉียนซีเอ่ยขึ้น “ตำหนักเซียวอวิ๋นมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับพวกเราหอหมอปีศาจ หากพวกเจ้าคิดที่จะมาก่อความวุ่นวายแก่ตำหนักเซียวอวิ๋น หอหมอปีศาจของข้าคงไม่อาจยอมรับได้”
“ล่วงเกินหอหมอปีศาจของข้า คาดว่าพวกเจ้าคงอยากจะลิ้มลองรสชาติพิษสุดพิเศษหลากชนิดของหอหมอปีศาจของข้า”
ดวงตาสีเขียวอ่อนคู่นั้นได้สาดประกายอันเย็นวาบออกมาทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บ
หากเป็นผู้แข็งแกร่งผู้อื่น พวกเขายังอยากที่จะออกมาโต้เถียงสักสองสามประโยค
แต่ด้วยการกดดันจากพลังวิญญาณของมู่เฉียนซีที่พุ่งกวาดออกไปเช่นนั้นพวกเขาจึงทำได้แต่ก้มหัว สีหน้าซีดเผือดแล้วไม่กล้ากล่าวอะไร
“หึ หึ หึ! เรื่องใหญ่โตเช่นนี้กลับไม่บอกกล่าวพวกเราหอปี้ลั่ว โชคดีที่ข้ามาได้ทันเวลา”
หลังจากที่เสียงอันเย้ายวนเสียงหนึ่งได้ดังลอยออกมา เงาร่างสีเขียวมืดเงาหนึ่งก็ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าของเหล่าผู้คน ยอดฝีมือทั้งหมดของหอปี้ลั่วนั้นราวกับว่าได้ยกกันออกมาทั้งรัง
“หอปี้ลั่วก็มาด้วยแล้ว!”
“อีกทั้งยังนำยอดฝีมือมาจำนวนมากเช่นนี้!”
“……”
สีหน้าของทุกคนได้เผยแววของความตกตะลึงออกมา ไม่คิดว่าหอปี้ลั่วที่มีกำลังเข้มแข็งนั้นจะมาร่วมแบ่งผลประโยชน์ด้วย
จื่อโยวกล่าว “ฮูหยินของนายท่านของพวกเราไม่อยากให้ตำหนักเซียวอวิ๋นถูกพวกกลุ่มกำลังผสมมั่วเช่นนี้ทำลายเสีย ดังนั้นแล้ว! หากพวกเจ้าคิดจะแตะต้องตำหนักเซียวอวิ๋นก็ต้องเอาชนะพวกเราให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
พวกเขากล่าวด้วยความตกตะลึง “หอปี้ลั่วนี่กินยาผิดไปแล้วกระมัง! พวกนั้นกลับมาเพื่อที่จะช่วยเหลือตำหนักเซียวอวิ๋น”
“ตำหนักเซียวอวิ๋นมีรูปการณ์ที่ดีเช่นนั้น นายน้อยอวิ๋นซิวยืนอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเขาก็ยังไม่ว่า หมอปีศาจเองก็ออกโรงช่วยเหลือ แล้วยังจะมีหอปี้ลั่วเพิ่มเข้ามาอีก”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนคนมากกว่า แต่ทั้งสามกลุ่มกองกำลังนั้นหากนำกองกำลังใดก็ได้ออกมาสักหนึ่งกองกำลัง ก็ล้วนแต่ไม่อาจที่จะรับมือได้อย่างง่ายดาย!
.
.