แม้ว่ามู่เฉียนซีจะวิ่งไปได้อย่างไหลลื่น แต่ด้วยพลังความสามารถของอินรั่วเฉินแล้ว หากคิดจะไล่ตามนางไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก
นางรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของอินรั่วเฉินที่ไล่ตามมาอยู่ด้านหลัง นางตกตะลึงเล็กน้อย เจ้าหมอนี่จะไล่ตามนางมาทำไมกัน?
ต้องการที่จะแก้แค้น? พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ดีจะทำเพียงแต่เอาความเมตตาเข้าสู้กับความอาฆาตแค้น แล้วนี่จะมาเข้าใจการแก้แค้นได้อย่างไร?
ชั่วเวลาเพียงพริบตา อินรั่วเฉินก็ได้ปรากฏกายที่ด้านหน้าของมู่เฉียนซี
ราวกับว่าเขาปรากฏขึ้นจากฝุ่นผง บนร่างของเขานั้นราวกับอาบไปด้วยแสงแห่งการล้างบาปทั้งมวลก็มิปาน
มู่เฉียนซีมองผู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างสงบนิ่งแล้วกล่าว “ท่านบุตรแห่งพระศาสนา เจ้าตามข้ามาทำไม? รึว่าเจ้าชอบข้าเข้าเสียแล้วและเตรียมตัวที่จะหวนคืนสู่ทางโลก”
อินรั่วเฉินกล่าวอย่างอ่อนโยน “แม่นางเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่เพียงรู้สึกว่าต้องชะตากับแม่นาง เช่นนั้นแล้วจึงคิดที่จะคุ้มกันส่งแม่นางสักช่วงระยะทางหนึ่ง! เพื่อมิให้แม่นางพบเจอกับอันตราย”
“ต้องชะตากับเจ้า?” มุมปากของมู่เฉียนซียิ้มอย่างเย้ยหยัน
สายตาของมู่เฉียนซีมองพิจารณาอินรั่วเฉินอย่างโอหัง “พวกเจ้าที่เป็นพระแห่งแคว้นเทพฟ้านอินเกี้ยวพาราสีสตรีกันเช่นนี้หรือ? แต่ขอโทษด้วย ถึงแม้ว่าเจ้าจะหน้าตาดูดี แต่ข้านั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว อีกทั้งเขายังหน้าตาดีกว่าเจ้าเสียอีก”
“แม่นางเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่มีเจตนาอื่นต่อแม่นาง ด้วยพระเมตตาแห่งพระพุทธองค์ ข้ามิอาจกลั้นใจปล่อยแม่นางพบให้เจออันตรายในที่แห่งนี้ได้”
“แต่ว่าข้าไม่ต้องการ อีกทั้งถ้าหากผู้ชายของข้ารู้เข้าละก็ เขาจะโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เจ้าสามารถไสหัวไปให้ไกลเท่าไรก็ไสหัวไปให้ไกลเท่านั้น”
“ไม่ว่าแม่นางจะว่ากล่าวอะไรข้าก็จะไม่ห่างจากแม่นางไปแม้แต่ครึ่งก้าว!”
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผู้ที่เขาล่ำลือกันว่าเป็นประหนึ่งดั่งพระพุทธเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มิปานนี้ จะเป็นผู้ที่ไร้ยางอายผู้หนึ่ง
หากรู้ตั้งแต่แรก เมื่อครู่นี้ก็คงจะไม่ไปทดสอบเจ้าหมอนี่หรอก
เมื่อมือของมู่เฉียนซีขยับ นางก็ได้นำเข็มยาเข็มหนึ่งออกมา
“อินรั่วเฉิน อย่าได้คิดว่าเจ้าเป็นพระบุตรของพระศาสนาแห่งแคว้นเทพฟ้านอินแล้วข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้า! เจ้าไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ว่าข้านั้นไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ที่ดี!”
เข็มยาของมู่เฉียนซีได้พุ่งออกไปจากในมือ ถึงแม้ว่าความเร็วของมันจะเร็วเป็นอย่างมาก แต่ทันทีที่เงาร่างสีเหลืองนั้นขยับตัวก็สามารถที่จะหลบมันไปได้ในทันใด
มู่เฉียนซีต้องการที่จะทำร้ายเขาจริง ๆ แววตาของพระผู้นี้เบาบางราวกับว่ามิได้เกิดโทสะเลยแม้แต่น้อย
“ด้วยพลังความสามารถของแม่นาง การอยู่ในที่แห่งนี้นั้นอันตรายยิ่งนัก อย่างไรเสียให้ข้าคุ้มกันนำส่งเจ้าเถิด!”
“ข้ากับเจ้านั้นเป็นคนแปลกหน้ากันโดยสิ้นเชิง จะอยู่หรือตายไม่ต้องให้เจ้ามาสนใจ” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก
“ชีวิตของแม่นางนั้นพิเศษ พระพุทธองค์ของข้าไม่อาจกลั้นใจให้เจ้าได้รับบาดเจ็บในที่แห่งนี้แม้แต่น้อย ดังนั้น…”
“เจ้าหุบปากได้แล้ว!”
หลังจากพูดจบ มู่เฉียนซีก็ได้พุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว
“ข้ายังคงยืนยันคำเดิม เจ้าสามารถไสหัวไปได้ไกลเท่าไรก็จงไปให้ไกลเท่านั้น อินรั่วเฉิน ข้าไม่มีความสนใจในเจ้า เจ้าก็จงอย่ามาสนใจในข้า”
มู่เฉียนซีมีแผนที่ของพื้นที่แห่งนี้ นางจึงได้ไปทางเส้นทางลัดในทันที แต่ทว่าเจ้าหนอนที่ตามติดก้นนั้นไม่ว่าจะสลัดอย่างไรก็สลัดไม่พ้น
มู่เฉียนซีกล่าวเสียดสี “ผู้คนทางโลกต่างพากันกล่าวว่าเจ้านั้นเหมือนดั่งกระดูกพระพุทธ์องค์และมีจิตใจที่ศักดิ์สิทธิ์ สามารถช่วยเหลือทุกสรรพชีวิตได้ แต่ข้าดูแล้วไม่คล้ายเลยสักนิด เจ้านั้นเป็นหนอนตามก้นที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน”
อินรั่วเฉินทำเพียงแค่ยิ้มอย่างเบาบางและไม่สนใจกับคำกล่าวโจมตีของมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีเองก็ยอมแพ้ในการวิ่งหนีแล้ว นางรู้ว่านางสลัดเจ้าหมอนี่ไม่พ้น แต่จะมาเสียเวลาจัดการเรื่องหลักเพียงเพราะเขาไม่ได้
หลังจากที่ได้วิ่งมาแล้วทั้งวัน มู่เฉียนซีเองก็หิวแล้ว เดิมทีนางคิดที่จะกินอาหารแห้งเสีย แต่ทว่าที่ข้างตัวนางนั้นมีพระอยู่องค์หนึ่ง สายตาของมู่เฉียนซีจึงส่องประกายอันมืดมนออกมา
นางนำเนื้อสัตว์ออกมาย่าง กลิ่นเนื้อย่างนั้นยิ่งหอมเข้าไปทุกที
สิ่งที่ทำให้มู่เฉียนซีประหลาดใจก็คือ พระผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นกลับไร้ซึ่งอาการแม้แต่น้อยเมื่อได้กลิ่นเนื้อย่างนี้
ดูเหมือนว่าอาหารอันโอชะจะไม่มีแรงดึงดูดต่อเขาเลยแม้แต่น้อย มู่เฉียนซีแอบกล่าวกับตนเอง “ก็มิใช่ว่าทุกคนนั้นจะเหมือนกับจวินโม่ซีที่เป็นตัวตะกละผู้ไม่มีการควบคุมตนในการกินแม้แต่น้อย”
อินรั่วเฉินไร้ปฏิกิริยาแม้แต่น้อย แต่ทว่าเจ้าตัวน้อยนี่กลับหิวเสียแล้ว
มันค่อย ๆ เลื้อยออกมาจากแขนเสื้อของมู่เฉียนซีและจ้องมองเนื้อย่างนั้นตากลมแป๋ว นี่เป็นอาหารของมนุษย์ แต่ดูแล้วก็น่าอร่อยเป็นอย่างมาก
เมื่อเจ้าตัวเล็กพบว่าสายตาของอินรั่วเฉินเหลือบมองมา
สายตาของเขานั้นไม่มีความเป็นอันตรายเลยแม้แต่น้อย เจ้าตัวเล็กจึงได้นำความสนใจทั้งหมดมุ่งไปที่เนื้อย่างและไม่ได้สนใจสิ่งอื่นแต่อย่างใด
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าเองก็อยากกินด้วย? นี่ให้เจ้า!”
เจ้าตัวน้อยกินเนื้อย่างเข้าไปแค่เพียงคำเล็ก ๆ ก็ปรากฏท่าทางอันเจ็บปวดขึ้นมา
มันเกิดอะไรขึ้น? เนื้อย่างของนางก็มิได้เหมือนกับอาหารอันดำมืดของท่านปู่ตงหวงและจิ่วเยี่ยที่ถึงแก่ชีวิตเสียหน่อย ทำไมถึงได้เกิดปัญหาขึ้นกับเจ้าตัวน้อยเล่า!
หลังจากที่มู่เฉียนซีได้ตรวจดูร่างกายของมันแล้วก็จนปัญญา “ตอนนี้ตัวเจ้านั้นเล็กกระจ้อยไม่อาจที่จะกินอาหารพวกเนื้อสัตว์ที่ย่อยยากได้เลย เจ้าเองก็รู้แต่ยังกล้ากินโดยไม่กลัวตายอีก”
“ฟ่อ…ฟ่อ…” เจ้างูน้อยที่เจ็บปวดนั้นได้บิดม้วนจนตัวเป็นขนมเกลียว น้ำตาของมันไหลออกมาแล้วมองไปยังมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “อดทนสักหน่อย ข้าจะเตรียมยาให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
มู่เฉียนซีนำสมุนไพรวิญญาณออกมาเตรียมทำยา วิธีการของนางนั้นทำให้อินรั่วเฉินรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
หลังจากที่กินยาเข้าไปแล้ว ในที่สุดเจ้าตัวน้อยก็ไม่ได้ทรมานเช่นนั้นแล้ว
ส่วนอินรั่วเฉินนั้นก็พลันปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้ามู่เฉียนซี
“สาวน้อย ข้าต้องชะตากับงูตัวนี้ ไม่ทราบว่าแม่นางจะสามารถมอบให้ข้าได้หรือไม่?”
แสงอันเย็นวาบสาดออกมาพลัน มู่เฉียนซีได้ชักกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาวาดเป็นวงโค้ง นางลงมือต่ออินรั่วเฉินอย่างมิเชื่องช้า
ความรวดเร็วในการใช้กระบี่ของมู่เฉียนซีนั้นร้ายกาจเป็นอย่างมาก แต่ทว่าอินรั่วเฉินก็ยังคงสามารถหลบไปได้อย่างสบายอยู่เช่นเคย
พลังความสามารถเพียงเท่านั้นของมู่เฉียนซีไม่สามารถที่จะก่อให้เกิดความคุกคามแก่เขาได้แม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีได้นำเจ้าตัวเล็กซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ จากนั้นก็กล่าวกับมันด้วยเสียงต่ำ “เจ้าตัวน้อยซ่อนตัวให้ดีละ! ถ้าหากว่าสถานการณ์ไม่ดี เจ้าจงรีบหนีไปเข้าใจหรือไม่?”
อินรั่วเฉินผู้มีจิตใจศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นเทพฟ้านอิน ใจดวงหนึ่งที่แสร้งทำเพื่อใต้หล้าและมาตามติดนางโดยไร้เรื่องราว มันจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
ในตอนนี้นางสงสัยว่าจะเป็นเพราะเจ้าตัวน้อยนี่
เจ้าตัวน้อยนี้อ่อนแอเสียยิ่งกว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่หนึ่ง กินเนื้อย่างเข้าไปยังไม่สามารถที่จะย่อยสลายได้ดี แต่ว่ามันสามารถที่จะฆ่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหกได้ภายในเวลาเพียงพริบตา มันจะต้องไม่ธรรมดาง่ายดายแน่
อินรั่วเฉินมองไปยังมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “ผู้ออกบวชไม่เคยพูดปด ข้ามีชะตาต้องกันกับงูอัคคีตัวน้อยนั้นจริง ๆ”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “พระบุตรแห่งพระศาสนาหากเพียงกล่าวว่ามีชะตาต้องกับสิ่งใดแล้ว เช่นนั้นก็ต้องยกให้เจ้าหมด เจ้าจงอย่าได้มาเป็นพระเลย จงไปเป็นโจรปล้นชิงเสีย”
เจ้าตัวน้อยซ่อนตัวอย่างดี มันเองก็ไม่อยากไปกับพระที่ว่ามีชะตาต้องกันนั้น มันชอบที่จะอยู่ข้างกายสตรีผู้นี้
“งูอัคคีตัวนี้ แม่นางไม่สามารถที่จะปกป้องมันได้ มันจะทำได้เพียงแต่นำหายนะมาสู่แม่นาง เหตุใดแม่นางจึงต้องฝืนเก็บเอาไว้” อินรั่วเฉินกล่าวพร้อมถอนหายใจ
“ถึงต่อให้เป็นเช่นนั้น เหตุใดข้าต้องมอบให้เจ้า!” มู่เฉียนซีจะไม่ยอมง่าย ๆ
กระบี่เล่มยาวของนางชี้ไปยังอินรั่วเฉินพร้อมกล่าว “อินรั่วเฉิน เจ้าอย่าได้กล่าวเรื่องจอมปลอมเหล่านี้เลย ต้องการที่จะแย่งชิงไปก็ลงมือเถอะ! ที่จริงแล้วข้าเองก็สงสัยว่าพลังความสามารถของพระบุตรแห่งแคว้นเทพฟ้านอินนั้นเป็นเช่นไร”
“ข้าไม่อยากที่จะประมือกับแม่นาง” สายตาของเขามองไปทางมู่เฉียนซีอย่างอ่อนโยน
“เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยงูอัคคีตัวนี้และให้ข้าไปจากที่นี่โดยอย่าตามติดข้า มิเช่นนั้นแม้เจ้าจะพูดกล่าวจนลิ้นแตก ข้าก็จะไม่มอบเจ้าตัวน้อยให้เจ้า! เป็นบุรุษก็จงตรงไปตรงมาเสียหน่อย”
อินรั่วเฉินกล่าว “ถ้าหากเป็นสิ่งของอื่นข้าจะไม่แย่งชิงกับผู้ใดแน่ แต่ว่ามันนั้นจะตกไปอยู่ในมือของผู้ใดมิได้”