แม้ว่าจางอี้และพวกจะมีความสุขที่ได้เห็นหลางเทียนเสียหน้า แต่ก็กลัวว่าเมืองฉู่นั้นจะโดนโจมตีจนแตก เมื่อถึงตอนนั้นเหล่าผู้คนในเมืองจะมีอันตราย เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงตั้งใจว่าจะนำเอาอาวุธเข้าไปช่วยต่อสู้
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “วางใจเถอะ พวกเราจะไม่ปล่อยให้พวกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดเหล่านั้นบุกเข้ามาในเมืองได้”
เมื่อนางกล่าวจบก็ไม่ได้เดินเข้าไปทางฝั่งซ้าย แต่กลับหันมากล่าวกับเหล่านักผจญภัยอิสระว่า “พวกเราไปป้องกันที่ด้านล่างกำแพงเมือง ถ้าหากว่ากลุ่มย่อยของนักผจญภัยอิสระสู้ไม่ไหว พวกเราค่อยเข้าไปเก็บส่วนที่ตกหล่น”
จางอี้ยิ้ม กล่าวว่า “นั่นเป็นวิธีที่ดี แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้พวกเขาสบายจนเกินไป”
หลางเทียนเห็นนักผจญภัยอิสระเหล่านี้ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขาไกล ๆ ส่วนด้านหน้าพวกเขานั้น สถานการณ์ยากลำบากไม่เบา จึงต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาอย่างมาก เช่นนี้แล้วจึงทำให้พวกหลางเทียนนั้นโกรธจนแทบจะช้ำใน
“บัดซบ! พวกนั้นเห็นเราลำบากแทบตายกลับไม่ช่วย แล้งน้ำใจ! ไร้น้ำยา!” มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวขึ้น “เห็นพวกเจ้าลำบากแต่ไม่ช่วยแล้วมีปัญหาอันใดรึ ? กลับกันหากเป็นพวกข้าไปอยู่ตรงนั้นบ้าง เกรงว่าพวกเจ้าก็คงจะไม่สนใจ”
มู่เฉียนซีโบกมือ นางกล่าวกับนักผจญภัยอิสระ “หากทุกคนเชื่อใจข้า จงฟังคำสั่งของข้าและจัดกระบวนทัพตามที่ข้าบอก เราจะไม่ปล่อยให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในเมืองแม้แต่ตัวเดียว”
จางอี้ยิ้ม “เจ้าหนุ่ม เจ้าคงไม่เอาชีวิตคนทั้งเมืองฉู่ไปล้อเล่นอย่างแน่นอน พวกเราเชื่อเจ้า”
“ดี ขอบคุณเหล่าพี่ใหญ่ที่เชื่อใจข้า”
ในเมือง กลุ่มนักผจญภัยที่นําโดยหลางเทียนกระอักเลือดออกมา แม้ว่าบางครั้งสัตว์อสูรวิญญาณจะพุ่งออกมาและถูกกําจัดโดยนักผจญภัยอิสระ แต่โดยภาพรวมจำนวนพวกมันก็ยังถือว่ามากอยู่
กลุ่มนักผจญภัยกลุ่มย่อยที่นำโดยหลางเทียนนั้นทำการรบต่อต้านด้วยเลือดเนื้อ ถึงแม้ว่าจะมีสัตว์วิญญาณบางตัวหลุดเข้าไปบ้าง แต่สัตว์วิญญาณที่หลุดเข้าไปเหล่านั้นก็ได้ถูกกลุ่มนักผจญภัยอิสระที่จัดกระบวนทัพไว้จัดการเรียบไม่หลุดรอดไปแม้สักตัว
— ปั่ก! ปั่ก! —
หลังจากการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า กลุ่มของสัตว์วิญญาณกลุ่มสุดท้ายนี้ก็ถูกป้องกันเอาไว้ได้ แต่ทว่ากลุ่มของนักผจญภัยกลุ่มย่อยกลับดูน่าเวทนาอยู่บ้าง
จนกระทั่งตอนนี้ พวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงมีสัตว์วิญญาณระดับสูงมากมายพุ่งไปทางพวกเขา ?
การอาละวาดของสัตว์วิญญาณยังไม่จบสิ้นลง แนวป่าแห่งเทือกเขาชีชงที่ล้อมรอบเมืองฉู่ไว้นั้น เวลานี้เสมือนกำลังซ่อนอะไรบางอย่างที่น่ากลัวและอันตรายมากกว่าเดิมเอาไว้ แต่ทว่าการโจมตีเมืองในวันนี้ ฝั่งของสัตว์วิญญาณเองก็บาดเจ็บล้มตายไปมาก ดูคล้ายว่าคงไม่อาจที่จะมีการจู่โจมรอบที่สองแล้ว
เจ้าเมืองยิ้ม กล่าวว่า “นักรบทุกท่านช่างลำบากยากเข็ญนัก วันนี้พักผ่อนก่อนเถิด หากมีการเคลื่อนไหวอันใดข้าจะรีบแจ้งพวกท่านในทันที”
คนส่วนมากเข้าไปพักผ่อนที่ค่าย โดยเฉพาะคนของพวกลุ่มนักผจญภัยกลุ่มย่อยเหล่านั้น กลุ่มนักผจญภัยอิสระแยกย้ายกันออกไป เหลือเพียงแต่มู่เฉียนซีผู้เดียวที่ยังอยู่ที่เดิม นางกำลังมองดูสัตว์วิญญาณที่โดนพิษและนอนสลบอยู่ทางด้านข้าง
“อู๋ตี้ เสี่ยวหง พวกเจ้าเฝ้ารอบ ๆ เอาไว้ อย่าให้ใครหรือสัตว์วิญญาณตัวใดเข้ามากรายใกล้ล่ะ”
มีแสงสองสามเส้นส่องประกายออกมาจากดวงตาเจ้าแมวอู๋ตี้ “วางใจเถอะนายท่าน ถ้าหากว่าใครกล้าเข้ามารบกวนท่าน ข้าจะเชือดมันให้มันต้องเสียใจที่กล้ามารบกวนนายท่านของข้า”
เสี่ยวหงกล่าวขึ้น “ส่วนข้า ข้าเผามันอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว”
มู่เฉียนซีพยักหน้า นางหันไปโรยผงบางอย่างลงไปที่ตัวของสัตว์วิญญาณที่นอนสลบอยู่เล็กน้อย จึงทำให้สัตว์วิญญาณชั่วร้ายตัวนั้นตื่นขึ้นมา ทว่าทั้งตัวของมันกลับไม่มีเรี่ยวแรงเลย
“โฮกกกก!”
มันคํารามใส่มู่เฉียนซีอย่างโกรธเกรี้ยว มองนางราวกับว่านางเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับมันได้
มู่เฉียนซีนึกถึงเรื่องการฝึกสัตว์ในครั้งนั้นขึ้นมาบางส่วน พลังวิญญาณของนางแผ่ออกไป ส่งแรงกดดันไปยังสัตว์วิญญาณตัวนั้น
สัตว์วิญญาณตัวนี้ แต่เดิมโดนพิษของมู่เฉียนซีเข้าไปอยู่แล้ว ยังจะต้องมาเจอกับการโจมตีทางวิญญาณของนางเข้าไปอีก ในชั่วพริบตาก็ได้ทำให้มันดูโง่ขึ้นมา
จากนั้นก็เข้าไปในทะเลวิญญาณของฝ่ายตรงข้าม ทว่ามู่เฉียนซีหาประตูหรือจุดอะไรใด ๆ ไม่เจอทั้งสิ้น
หากไม่สามารถเข้าไปที่ทะเลวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามได้ ก็จะไม่สามารถทำให้สัตว์วิญญาณตัวนี้เชื่อฟังได้
จิ่วเยี่ยมองสัตว์วิญญาณตัวนั้นที่มู่เฉียนซีพยายามจะฝึก สีหน้าท่าทางของมันแสดงถึงความกระอักกระอ่วนอย่างมาก เขาจึงไปปรากฏตัวที่ข้างกายมู่เฉียนซีอย่างไร้ซึ่งเสียง
มือที่เย็นเยียบค่อย ๆ วางลงบนไหล่ของนาง
มู่เฉียนซีตกใจเล็กน้อย จากนั้นพลังวิญญาณของนางก็เหมือนได้รับการชี้นำบางอย่าง พลังจิตของนางไหลลงไปสู่ใจกลางของทะเลวิญญาณ
เมื่อรู้สึกว่ามีผู้บุกรุกเข้ามา สัตว์วิญญาณตัวนั้นต่อต้าน และต่อมามันก็ได้เปิดฉากการต่อสู้ที่เอาเป็นเอาตายขึ้น
การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายด้วยพลังวิญญาณในครั้งนี้ จิ่วเยี่ยไม่ได้ช่วยเหลือมู่เฉียนซี สัตว์วิญญาณระดับห้าเพียงตัวเดียว เหตุใดมู่เฉียนซีจะทำให้เชื่องไม่ได้ ?
หลังจากการปะลองพลังวิญญาณ สัตว์วิญญาณตัวนั้นกลายเป็นสัตว์วิญญาณที่เชื่องขึ้นมาไม่น้อย และด้วยการกดดันโดยพลังวิญญาณ ท้ายที่สุดมันก็เชื่องอย่างสมบูรณ์
มู่เฉียนซีรู้ว่าความสำเร็จในการฝึกสัตว์ครั้งนี้ของนางนั้นได้มาจากการที่จิ่วเยี่ยชี้แนะ มิเช่นนั้นไม่รู้ว่านางจะต้องยืนทื่อไปอีกนานเท่าไร
มู่เฉียนซีหันย้อนมองบุรุษผู้เย็นชาที่อยู่ข้างกายนางก่อนจะกล่าวขึ้น “จิ่วเยี่ย เจ้าฝึกสัตว์ได้หรือ ?”
“ไม่ แต่มันง่ายมาก” จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยเสียงต่ำ
มู่เฉียนซีเบ้ปาก ทว่าจิ่วเยี่ยไม่ได้มองนางที่ทำอาการเช่นนั้น เขารู้ว่าเพียงแค่ช่วยชี้แนะนางเพียงเล็กน้อย นางก็จะสามารถฝึกสัตว์วิญญาณระดับห้าได้สำเร็จตัวหนึ่ง
หรือว่านางที่มีพลังแข็งแกร่ง จะยังมีพรสวรรค์ในการฝึกสัตว์ด้วย ?
หลังจากที่จัดการไปได้แล้วหนึ่งตัว มู่เฉียนซีจึงลองฝึกฝนการฝึกสัตว์ต่ออีกสักตัว ครั้งนี้นางจะจัดการมันด้วยตนเอง
เจอครั้งแรกอาจจะยังไม่คุ้นชินทว่าครั้งต่อไปอาจจะดีขึ้น หลังจากที่นางฝึกสำเร็จครั้งนี้แล้ว นางตั้งใจไว้ว่ายังจะฝึกต่อไป และก็ยังคงฝึกต่อไปเรื่อย ๆ…
มู่เฉียนซีพบว่าการสิ้นเปลืองพลังจิตของนางนั้นน้อยกว่าการสิ้นเปลืองพลังวิญญาณหลายเท่า เช่นนั้นแล้วนางจะฝึกสัตว์ต่อไปก็คงจะไม่มีปัญหาอันใด
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นก็คือเมื่อนางฝึกสัตว์วิญญาณจนเชื่องมากขึ้น พลังจิตของนางก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสามารถเป็นเช่นนี้ได้
จิ่วเยี่ยสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังจิตของมู่เฉียนซี ดวงตาสีฟ้าเย็นเยือกคู่นั้นฉายแววประหลาดใจ
ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ฝึกสัตว์วิญญาณเหล่านี้ทั้งหมดให้เชื่องได้อย่างรวดเร็ว ทว่านางก็ต้องกังวลกับสัตว์วิญญาณที่เชื่องแล้วมากมายเหล่านี้ ที่มิอาจจะพาไปได้ไหว อีกประการหนึ่ง สัตว์วิญญาณเหล่านี้มีความแข็งแกร่งไม่มากพอที่จะเป็นกองทัพขององครักษ์เงา
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญา “ข้าเป็นคนแรกแน่ ๆ ที่ได้รับสัตว์วิญญาณเชื่องมากมายถึงเพียงนี้”
จิ่วเยี่ย “ซี… เจ้ามีความสามารถในการฝึกสัตว์วิญญาณ ข้านึกขึ้นได้ มีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ชิ้นหนึ่งที่เหมาะกับเจ้ามาก”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน “มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อะไรรึ ? แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับการฝึกสัตว์วิญญาณให้เชื่อง ?”
“อา… หอคอยนิรันดร์ หอคอยหมื่นอสูร สามารถเก็บสัตว์วิญญาณนับพันและควบคุมสัตว์วิญญาณนับหมื่นตัวได้” น้ำเสียงของจิ่วเยี่ยสงบนิ่งอย่างมาก ต่อให้เขากำลังกล่าวถึงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ที่ทรงพลัง เขาก็มิได้สนใจนัก
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “หอคอยนิรันดร์อยู่ไกลจากข้ามาก เป้าหมายของข้าในเวลานี้คือการหาหม้อเทพนิรันดร์”
มู่เฉียนซีพึมพำกับตนเอง “ข้าต้องคิดหาวิธีมอบสัตว์วิญญาณเหล่านี้ให้กับเหล่าพี่ใหญ่นักผจญภัยเหล่านั้น หากมีโอกาสจะหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในเทือกเขาชีชง และมอบกองทัพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้กับองครักษ์เงาของตระกูลมู่”
หลังจากที่มู่เฉียนซีได้เรียนรู้การฝึกสัตว์วิญญาณอย่างเป็นทางการแล้ว นางจะต้องเริ่มแผนการต่อไปของนาง
กลางยามราตรี…
เวลานี้สัตว์วิญญาณฉวยโอกาสก่อความวุ่นวาย
เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง นักผจญภัยที่เข้าร่วมงานล่าสัตว์รีบมากันทันที เมื่อนักผจญภัยอิสระมาถึง พวกเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ทุกคน ข้าอยากมอบของขวัญให้ท่านสักเล็ก ๆ น้อย ๆ ครั้งนี้อย่าได้ปฏิเสธข้าเชียว”
จางอี้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้าคงไม่ได้จะมอบยาเม็ดให้พวกข้าอีกกระมัง ? ยาเม็ดเหล่านั้นที่เจ้าเพิ่งให้พวกข้ามา พวกข้ายังกินไม่หมดเลย เจ้าอย่าได้ฟุ่มเฟือยนักเลย”
“ใช่! เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าสิ้นเปลืองถึงเพียงนี้ ไม่กลัวว่านายท่านในจวนเจ้าจะโกรธเอารึ ?”
.
Related