หลังจากที่ไป๋อู๋ห่ายตามมาทันแล้ว ต่อมาหรงเหรินและพวกก็ตามมาถึงแล้วเช่นกัน
มู่เฉียนซีถูกพวกเขาห้อมล้อมอย่างสมบูรณ์ และครั้งนี้ก็ยากที่จะหนีได้จริง ๆ แล้ว
หรงเหรินกล่าวด้วยอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าหนีไม่พ้นหรอก! เจ้าคิดว่าพิษเหล่านั้นของเจ้าจะสามารถขวางพวกข้าได้อย่างนั้นเหรอ?”
ถึงแม้ว่าเขาจะพูดเช่นนี้ แต่ตอนที่ลงมาหากไม่ใช่เพราะเขาเอายาแก้พิษติดตัวมาด้วยละก็ คาดว่าร่างกายของเขาตอนนี้คงจะรับไม่ได้แน่
หรงเหรินกล่าว “ลงมือ! รีบจับตัวนางมาให้ได้”
ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขานั้นสูงกว่าขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในดินแดนสี่ทิศ พลังความแข็งแกร่งจึงถูกยับยั้งลงก็เท่านั้น
ตอนที่ถูกมู่เฉียนซีโจมตีด้วยกระบวนท่าอย่างคาดไม่ถึงที่ตำหนักตงจี๋พวกเขาวิ่งหนี แต่ตอนนี้รับมือกับมู่เฉียนซีเพียงคนเดียว พวกเขาทำได้สบายมาก!
ฝ่ามือวายุ หมัดวายุ และกระบี่พุ่งตัดผ่านอากาศตรงไปที่มู่เฉียนซี
“โล่วิญญาณน้ำแข็ง!” ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่านี้ มู่เฉียนซีก็ไม่ยอมยืนเฉยให้จับแน่นอน
กระบี่มังกรเพลิงกวัดแกว่งตัดผ่านอากาศ นางตะโกนขึ้นอย่างเย็นชาว่า “บัวแดงพิฆาต!”
บัวอัคคีสีแดงฉานปะทะกับยอดฝีมือขั้นสูงสุดหลายคน เสียง ตูม! ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นจนพื้นดินเกิดหลุมลึกขนาดใหญ่!
แม้แต่กำแพงเมืองตงจี๋ก็เกิดรอยแตกร้าวขึ้นแล้ว!
คนชุดขาวถอยหลังไปหลายก้าว ส่วนสีหน้าของมู่เฉียนซีในตอนนี้ไม่ค่อยจะดีนักแล้ว
หรงเหรินกล่าว “พลังของนางกำลังจะหมดแล้ว รีบโจมตีต่อ!”
หรงเหรินเข้าไปใกล้มู่เฉียนซี เขายิ้มพลางกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะใช้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาโจมตีเหล่าพี่น้องของข้า แต่ต้องบอกเลยนะว่าเจ้ามันช่างมีความสามารถมากจริง ๆ แต่มันก็ได้แค่เท่านี้แหละนะ…”
กล่าวจบ เขาก็บีบคอมู่เฉียนซีทันที
ในขณะที่เขากำลังจะทำสำเร็จ จู่ ๆ เขาก็ถูกลมมีดห่อหุ้มไว้ พายุเพลิงพุ่งโจมตีไปที่เขาทันที
การโจมตีของพลังธาตุคู่ พลังธาตุวารีกับพลังธาตุอัคคีเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องมองก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ใด
ร่างในชุดดำแดงปรากฏขึ้นตรงหน้ามู่เฉียนซี สองมือของเขาในตอนนี้ยังคงพันไปด้วยผ้าพันแผลสีขาว สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ!
มู่เฉียนซีตกตะลึงขึ้น “อวิ๋นซิว!”
เฟิงอวิ๋นซิวมองมู่เฉียนซีและกล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า “เฉียนซี ข้ามาช้าไป! เจ้าเป็นอะไรหรือไม่!”
มู่เฉียนซีส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไรมาก แต่ว่าเจ้า…”
เมื่อครู่กำลังจะสำเร็จอยู่แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเฟิงอวิ๋นซิวจะออกมาขวางทางเช่นนี้ได้
หรงเหรินกล่าวเสียงขรึมว่า “เฟิงอวิ๋นซิว นี่เจ้ารักถนอมสตรีจนไม่สนใจหน้าที่ของตัวเเองแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
ดวงตาสีอำพันคู่นั้นของเฟิงอวิ๋นซิวกวาดมองไปที่เขา ก่อนจะกล่าวว่า “กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ข้าจะเป็นคนเอามันไปมอบให้นางเอง ไม่จำเป็นต้องให้คนอย่างเจ้าเข้ามาแทรก! เจ้าไสหัวออกไปจากดินแดนสี่ทิศเดี๋ยวนี้!”
หรงเหรินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะขึ้น “ฮ่า ๆ ๆ! เฟิงอวิ๋นซิว นี่เจ้ากำลังสั่งข้า! ใช่ เจ้าเป็นนายน้อยแห่งตระกูลเฟิง แต่ตระกูลเฟิงที่เหลือเจ้าเพียงแค่คนเดียวมันจะนับว่าเป็นสิ่งใดกันล่ะ! เหตุใดข้าต้องฟังเจ้าด้วย!”
“หากเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งข้า เช่นนั้น ข้าก็จะเป็นคนส่งเจ้าไปเอง!”
กล่าวจบ เฟิงอวิ๋นซิวก็ลงมือกับเขาทันที
“เจ้าบ้าไปแล้ว นี่เจ้าจะทรยศหักหลังพระนางอย่างนั้นเหรอ นี่เจ้าจะทำอะไรกันแน่?”
“ตราบใดที่ข้าได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มา ข้าไม่มีทางทรยศหักหลังแน่นอน” เขาไม่อยากทรยศหักหลัง และเขาก็ไม่อยากให้เฉียนซีได้รับบาดเจ็บด้วย
เฟิงอวิ๋นซิวรับมือกับหรงเหริน มู่เฉียนซีรู้สึกเป็นกังวลมาก ในฐานะที่เป็นนักปรุงยา นางรู้ดีว่าร่างกายของอวิ๋นซิวนั้นแย่มาก
ตอนนี้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะใช้วิธีใดที่จะทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะรับมือกับหรงเหรินได้ ร่างกายของเขาต้องได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าหรงเหรินจะถูกเฟิงอวิ๋นซิวขวาง แต่ไป๋อู๋ห่ายและคนอื่น ๆ ก็ไม่คิดที่จะยืนนิ่งเฉยแน่!
ฟึ่บ! คมศรนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา ซวนอีและพวกลงมือแล้ว
ซวนอีมองมู่เฉียนซีด้วยสายตาสับสน และกล่าวว่า “แม่นางมู่ รีบหนีไปก่อนเถอะ!”
ไป๋อู๋ห่ายโกรธเกรี้ยวขึ้น “องครักษ์ซวนของพวกเจ้าคิดจะก่อกบฏเหรอ?”
ซวนอีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พวกข้าองครักษ์ซวน ฟังเพียงแค่คำสั่งของนายน้อยเท่านั้น”
“เจ้าพวกมดปลวกเหล่านี้ยังคิดจะขวางทางอีก!” คนชุดขาวผู้หนึ่งกล่าวอย่างโหดเหี้ยม
พลังขององครักษ์ซวนเมื่ออยู่ในดินแดนสี่ทิศแล้วนับว่าไม่เลวเลย แต่หากรับมือกับคนชุดขาวเหล่านี้เข้า พวกเขาก็คือคนอ่อนแอ!
ปัง ปัง ปัง!
ต่อสู้กันไปมาไม่กี่กระบวนท่า ซวนอีและพวกก็รับมือไม่ไหวแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “ซวนอี พวกเจ้าถอยไปก่อน! รีบพานายน้อยของพวกเจ้าออกไปจากที่นี่เร็วเข้า”
แต่ก็ไร้ประโยชน์ องครักษ์ซวนฟังเพียงแค่คำสั่งของเฟิงอวิ๋นซิวเท่านั้น
ในตอนนี้ไป๋อู๋ห่ายเข้ามาใกล้มู่เฉียนซีแล้ว มู่เฉียนซีง้างมือขึ้น “ทักษะโยวหลัว!”
“มังกรเพลิงสังหาร!”
นางเองก็รู้ดีว่าฤทธิ์ยาใกล้จะหมดลงแล้ว จึงใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายนี้โจมตีไปอย่างสุดกำลัง
ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง!
ไป๋อู๋ห่ายเองก็คิดไม่ถึงเลยว่ามู่เฉียนซีจะเพิ่มพลังได้อย่างแปลกประหลาดจนจัดการยากเช่นนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังคงไล่ตามมู่เฉียนซีอย่างไม่ยอมเลิกรา
“บัวแดงพิฆาต!”
บัวอัคคีสีแดงฉานนั้นควบแน่นขึ้นคล้ายกับว่าสูดพลังวิญญาณของมู่เฉียนซีจนหมดสิ้นแล้วก็มิปาน
ตูม! บัวอัคคีนั้นพุ่งโจมตีไป๋อู๋ห่ายดุจดั่งดวงอาทิตย์ตกลงมาบนผืนโลก
ถึงแม้ว่าไป๋อู๋ห่ายจะใช้พลังทั้งหมดต้านทาน แต่ก็ยังคงถูกบัวอัคคีนั้นโจมตีจนร่างกระเด็นไปติดกำแพงเมืองจนกำแพงเมืองยุบลงไปเป็นเป็นรอยประทับรูปร่างของเขา
พรวด! ไป๋อู๋ห่ายกระอักเลือดคำโตออกมา ร่างของเขาติดอยู่ในกำแพงเมือง สีหน้าซีดเผือดลง
ไป๋เหยียนเอ๋อร์เห็นเช่นนี้สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนไปทันที “ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง!”
พรวด! มู่เฉียนซีเองก็กระอักเลือดคำโตออกมาแล้วเช่นกัน และพลังวิญญาณของนางก็ถดถอยลงไปถึงขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่งแล้ว
ส่วนคนชุดขาวเหล่านั้นในเวลานี้ได้พุ่งเข้ามาหามู่เฉียนซีแล้ว ด้วยพลังของนางในตอนนี้ไม่สามารถหลบหนีได้
สีหน้าของมู่เฉียนซีเคร่งขรึมลง ทำได้เพียงแค่หนีแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสเปิดเผยสุ่ยจิงอิ๋งก็ตาม นางจำเป็นต้องไป!
และในขณะที่คนเหล่านั้นจะเข้าถึงตัวมู่เฉียนซี ลำแสงสีเขียวอ่อนก็ได้เปล่งประกายขึ้นและห่อหุ้มร่างมู่เฉียนซีไว้
มู่เฉียนซีรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวที่อยู่ในแหวนมังกรเทพวารีนั้น สีหน้าของนางเผยความดีใจออกมา
ชิงอิ่งตื่นขึ้นมาแล้ว
คราก่อนเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดนั้นขึ้น ถึงแม้ว่านางจะศึกษาตำราหุ่นเชิดนั้นมากมายหลายอย่างแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าต้องช่วยชิงอิ่งเช่นไร และชิงอิ่งมาจากไหน
ร่างสีเขียวร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้ามู่เฉียนซี เส้นผมดำขลับดุจดั่งแพรไหมสยายยาวลงไป ใบหน้านั้นน่าทึ่งประดุจภาพวาดหมึกก็มิปาน
ดวงตาที่สงบคู่นั้นพลันลึกล้ำขึ้นมา เขามองไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวว่า “เฉียน!”
สามารถเรียกชื่อนางได้ นั่นหมายความว่าชิงอิ่งในตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ชิงอิ่ง เจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว!”
“อืม!”
คนชุดขาวเหล่านั้นเห็นชิงอิ่งปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ก็มองเขาด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง “ท่าน ได้โปรดอย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวเลย!”
ชิงอิ่งไม่รู้ว่าสิ่งใดคือยุ่งเกี่ยว แต่คนเหล่านี้มีเจตนาเป็นศัตรูกับเฉียน แน่นอนว่าต้องตาย!
ร่างในชุดเขียวเคลื่อนไหวไปลงมือโจมตีทันที
ความรวดเร็วขึ้นนี้ทำให้พวกเขาตกใจกลัวจนเหงื่อท่วมตัว!
“ไร้ซึ่งพลังปราณและพลังวิญญาณ แต่กลับแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ เจ้านี่เป็นใครกันแน่?”
“โผล่มาจากไหนกันแน่ รวมค่ายกล!”
จากประสบการณ์การต่อสู้ของพวกเขา หากต่อสู้กันตัวต่อตัว ยากมากที่จะจัดการกับคนผู้นี้ได้ ความเร็วของคนผู้นี้รวดเร็วมาก แต่หากร่วมมือกันลงมือ พวกเขาไม่เชื่อว่าจะจัดการไม่ได้
.