ปกปิดอำพรางเสียหน่อยและหลอกพวกเขาก็พอจะตบตาได้นิดหน่อย แต่ทว่าไม่สามารถที่จะทำยืดเยื้อต่อไปได้นาน จำต้องลงมือจัดการอย่างรวดเร็วดั่งพายุสายฟ้า
มิเช่นนั้นแล้วหากรอจนพวกเขาได้สติขึ้นมา บางทีพวกเขาอาจจะมองออกว่านางเป็นตัวปลอม
ทั้งสี่คนนั้นนึกไม่ถึงเลยว่าองค์หญิงที่พวกเขาปกป้องนั้นจะลงมือจากด้านหลังของพวกเขาเยี่ยงนี้
พรวด พรวด พรวด! ทุกคนล้วนแต่ต้องกระบวนท่าเข้ามิต่างกัน
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ! พวกเขาร่วงล้มลงไปบนพื้นอย่างอ้อนเปลี้ย ดวงตานั้นเบิกกว้างโพลงพร้อมกล่าว “พระนาง เพราะเหตุใด?” มู่เฉียนซีเองก็ประหลาดใจอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าสตรีผู้นั้นจะล้างสมองลูกสมุนของตนได้อย่างร้ายกาจเป็นยิ่งนัก
เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าจะถูกฆ่าอยู่แล้ว แต่ในสายตาของคนเหล่านี้กลับดูเหมือนมีแต่เพียงความไม่เข้าใจและไร้ซึ่งความเกลียดชังแม้แต่น้อย!
หัวหน้าผู้ที่กำลังต่อสู้ติดพันอยู่กับชิงอิ่งนั้นตะลึงงันเป็นการใหญ่ “แย่แล้ว! หญิงสาวผู้นั้นมิใช่พระนางท่าน แต่นางกลับกล้าปลอมตัวเป็นพระนาง บ้าจริง!”
และก็เป็นพวกเขาเองที่มองในตัวพระนางผิดพลาดไป โทษความผิดนี้ก็สมควรตายเป็นหมื่นหน!
ในตอนที่คนเหล่านั้นกำลังพุ่งเข้ามานี่เอง มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้น “อู๋ตี้ เสี่ยวหง กันท่าพวกเขาเอาไว้”
ในตอนที่อู๋ตี้และเสี่ยวหงกันพวกเขาเอาไว้ มู่เฉียนซีก็ได้พุ่งไปยังข้างกายของเหลิ่งหนิงจือ
ซึบ! เข็มยาทิ่มเข้าไปในร่างของนางและช่วยห้ามเลือดเอาไว้
จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้พาเหลิ่งหนิงจือจากไป โดยมีชิงอิ่ง เสี่ยวหงและอู๋ตี้คอยคุ้มกันด้านหลังเอาไว้ให้
กลุ่มคนชุดขาวที่ได้สูญเสียจำนวนสมาชิกไปมากกว่าครึ่งนั้นไม่อาจไล่ตามมู่เฉียนซีได้ทัน จึงทำให้พวกนางหนีเข้าไปในเทือกเขาว่านหานได้สำเร็จ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นยอดฝีมือขั้นสูงเต็มขั้น แต่หากจะให้ตามหาตัวคนในเทือกเขาอันกว้างใหญ่นี้แล้วก็คงจะต้องใช้เวลาอยู่ไม่น้อย
เมื่อได้สลัดศัตรูทิ้งไปแล้ว มู่เฉียนซีก็เดินไปพร้อมกับจัดการปากแผลของเหลิ่งหนิงจือไปด้วยพร้อมกัน
ในตอนนี้นับว่าเหลิ่งหนิงจือเป็นคนของนางแล้ว แน่นอนว่าก็จะไม่จัดการอย่างให้พอผ่านไปทีเหมือนดั่งคราวก่อนหน้านี้
มู่เฉียนซีกล่าว “อู๋ตี้ เสี่ยวหง ไปหาสถานที่พักผ่อนสักที่หนึ่ง”
“ได้!”
จากนั้นอู๋ตี้และเสี่ยวหงก็ได้พบกับถ้ำสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง โดยที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นถูกอู๋ตี้และเสี่ยวหงใช้กำลังขับไล่ไปเสียแล้ว
ในที่สุดเหลิ่งหนิงจือก็ได้พักผ่อนเสียที มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ในที่สุดก็สามารถเปลี่ยนสิ่งรุงรังทั้งตัวนี่ออกได้เสียที”
เหลิ่งหนิงจือมองที่มู่เฉียนซีอย่างพิจารณา ชุดคลุมเสื้อผ้าทั้งตัวนี้ดูไม่ธรรมดา มันดูไม่เหมือนสิ่งของในโลกทั้งสี่ทิศเลยแม้แต่น้อย
เมื่อมองดูแล้วก็คาดเดาได้ว่าคงจะเป็นสิ่งที่อยู่ในแดนซวนเทียน และก็มีแค่เพียงมู่หลินหลางเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่สามารถสวมใส่ได้
แต่หญิงสาวตรงหน้านี้กลับมีท่าทางที่ดูเหมือนว่ารังเกียจมัน หากเพียงแค่ว่านางนั้นมีหน้าตาที่เหมือนกับมู่หลินหลางก็ยังไม่พอที่จะทำให้องค์รักษ์ไป๋เหล่านั้นสับสนได้ แต่เมื่อได้สวมใส่อาภรณ์นี้เข้าแล้วมันก็ให้ผลที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง
เกิดความรู้สึกอันสูงส่งเพราะเสื้อผ้าอาภรณ์นั้นปกปิดเอาไว้ ในชั่วพริบตานั้นแม้แต่นางเองยังนึกว่าเป็นมู่หลินหลางจริงๆ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเหล่าองค์รักษ์ไป๋ที่ไม่เคยรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของมู่เฉียนซีมาก่อนเลย
ใบหน้าอันเย็นยะเยือกนั้นของเหลิ่งหนิงจือได้ละลายไปฉับพลัน นางยิ้มอย่างยั่วยวนแล้วกล่าว “คุณหนูใหญ่ นึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะใช้วิธีการเช่นนี้มาช่วยข้า”
“คนสองคนนั้นยกเอาข้าเป็นคนอีกคนหนึ่ง แน่นอนว่าข้าเองก็สามารถที่จะช่วยเหลือคนได้โดยการจ่ายในราคาที่น้อยที่สุด และพวกเขาก็ติดกับอย่างที่คิดเอาไว้” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเรียบเฉย
“ท่านเป็นใครกันแน่? ช่างเหมือนกันยิ่งนัก แม้แต่สุนัขของมู่หลินหลางก็ยังถูกหลอกเข้าเสียได้” สายตาของเหลิ่งหนิงจือมองมู่เฉียนซีอย่างเร่าร้อน
มู่เฉียนซีกล่าวบ่น “ปัญหานี้เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใครเล่า? ตั้งแต่เกิดมาพ่อของข้าก็ทำตัวเป็นเถ้าแก่ทิ้งร้าน แม่ของข้าก็หายสาบสูญไป อารองของข้าก็สูญเสียความทรงจำ”
“แม้ท่านอาเล็กจะกล่าวเอาไว้ว่าเมื่อข้าเป็นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้นแล้วจะบอกข้าทุกสิ่งอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อถึงตอนที่ข้าฝึกบำเพ็ญไปถึงขั้นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าแล้วเขาจะทำตามสัญญาหรือไม่”
มู่เฉียนซีกำหมัดเอาไว้แน่น “ถ้าหากว่าเขากล้าหลอกข้าละก็ ข้าจะไม่ปล่อยเขาไปแน่!”
มู่เฉียนซีเหลือบมองไปทางเหลิ่งหนิงจือแล้วกล่าว “สิ่งที่เจ้าต้องรู้ในตอนนี้คือข้าคือมู่เฉียนซี ผู้ที่เจ้าจะต้องทำตามคำสัญญาด้วย!”
เหลิ่งหนิงจือยิ้มแล้วกล่าว “ข้ารับทราบแล้ว!”
“แต่ทว่านี่เป็นครั้งที่สองที่ข้าช่วยเจ้าแล้ว! เจ้ามิควรจะแสดงอะไรหน่อยหรือ?”
เหลิ่งหนิงจือกล่าวอย่างมีพลัง เข้มแข็งจริงจัง “แม้ว่าจะเลยกำหนดเวลาไปแล้ว ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ข้าเหลิ่งหนิงจือจะไม่เป็นศัตรูกับท่านอย่างแน่นอน! หากท่านมีอันตราย ข้าจะไม่นั่งนิ่งดูดายอย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยท่าทางอย่างเกียจคร้าน “แสดงออกได้ไม่เลวนี่! แต่เรื่องวุ่นวายนี้มันมาถึงได้รวดเร็วเกินไปนะ”
ใช่แล้ว องค์รักษ์ไป๋เหล่านั้นตามมาแล้ว
มู่เฉียนซีมองกวาดไปทางเหลิ่งหนิงจือแล้วกล่าว “ไม่ถูกต้องสิ! บนตัวของเจ้าไม่มีของจำพวกกลิ่นเอาไว้ติดตาม ทำไมพวกนั้นถึงตามมาได้รวดเร็วเช่นนี้?”
เหลิ่งหนิงจือกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยสงสัยไปแล้ว แต่ตอนนี้ข้าสามารถมั่นใจได้แล้ว! มู่หลินหลางจะต้องทิ้งของจำพวกตราประทับวิญญาณเอาไว้บนตัวข้าอย่างแน่นอน เพื่อให้เป็นการสะดวกที่เหล่าสุนัขของนางไล่ตามฆ่าข้า”
“ตราประทับวิญญาณ!” มู่เฉียนซีดึงแขนของนางเอาไว้พร้อมกล่าวขึ้น
“หากมิรังเกียจละก็ให้ข้าดูเสียหน่อย แต่ทว่าเจ้าจงอย่าได้ดื้อดึงต้านทาน!”
การเปิดปล่อยวิญญาณของตนให้ผู้อื่นตรวจดูนั้น ถ้าหากว่ามีผู้ต้องการที่จะทำร้ายนางก็สามารถจะทำร้ายอย่างหนักหนาสาหัสได้โดยง่ายดายสบายมือ ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วก็มักจะไม่มีใครยอมเช่นนี้
แต่เหลิ่งหนิงจือกลับกล่าวอย่างสงบนิ่งนัก “แน่นอน ในตอนนี้ชีวิตข้าเป็นของคุณหนูใหญ่แล้ว”
เมื่อเหลิ่งหนิงจือเปิดปล่อยวิญญาณของตัวเองแล้ว มู่เฉียนซีก็พบตราประทับสีเหลืองทองอยู่ตราหนึ่ง
มู่เฉียนซีคิดอยากที่จะลูบลบมันอย่างหยาบกระด้าง เหลิ่งหนิงจือก็ตกตะลึงเป็นการใหญ่
“มิได้! พลังจิตของมู่หลินหลานนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก การฝืนบังคับลบมันมิเพียงแต่จะไม่เกิดประโยชน์เท่านั้น แต่ท่านยังจะถูกมันกลืนกินอีกด้วย”
เหลิ่งหนิงจือหวาดกลัวเป็นอย่างมาก การช่วยนางทั้งสองครั้งนั้นความสามารถช่างน่าตกตะลึงนัก และตอนนี้มันก็กำลังจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับหญิงสาวผู้ไม่ธรรมดาที่หาพบได้ยากเสียแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้เหลิ่งหนิงจือประหลาดใจก็คือ มิเพียงแต่มิเกิดอะไรขึ้นกับมู่เฉียนซี แต่กลับกันตราประทับวิญญาณนั้นได้ถูกมู่เฉียนซีลบออกไปเสียแล้ว
มู่เฉียนซีได้ดึงเอาพลังวิญญาณของตนเองกลับไป ถึงแม้ว่าท่าทางดูเหมือนจะสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมากเกินไปบ้าง แต่ก็มิได้มีเรื่องใหญ่แต่อย่างใด
“ท่าน…ท่าน…” เหลิ่งหนิงจือแทบที่จะเป็นหินสลักไปเสียแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “แม้ว่าระดับขั้นพลังวิญญาณของข้าจะต่ำ แต่พลังวิญญาณของข้าก็ยังนับได้ว่าไม่เลว ข้าจะไม่ทำเรื่องที่ไม่มั่นใจหรอก”
นี่เพียงแค่ไม่เลวหรือ? วิปริตน่า! เหลิ่งหนิงจือกล่าวโต้แย้งอยู่ภายในใจ
ถ้าหากมู่หลินหลางรู้เข้าว่าตราประทับวิญญาณของตนถูกจักรพรรดิแห่งภูตผู้หนึ่งลบล้างเข้าเสียง่ายดายเช่นนี้ คาดว่าคงจะกริ้วเสียจนพุ่งชนกำแพงไปแล้วกระมัง!
มู่เฉียนซีเอ่ยขึ้น “ชิงอิ่ง พวกนั้นเองก็มาถึงแล้ว เตรียมตัวลงมือ!”
ผู้เป็นหัวหน้าที่นำมานั้นถือหยกทองคำก้อนหนึ่งพร้อมเอ่ยขึ้น “มันควรที่จะอยู่ที่นี่สิ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
“รึว่า…”
ปัง! ยังไม่ทันได้รอให้พวกเขาคิดหาสาเหตุออกมาได้ ชิงอิ่งก็ได้ลงมือกับพวกเขาเสียแล้ว
พลังสองพลังปะทะเข้าด้วยกัน พวกเขาได้ถอยหลังออกไป
“พวกเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย ในที่สุดก็ถูกพวกเราหาเจอจนได้”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย้ยหยัน “พวกเจ้าหาตัวพวกเราพบแล้ว แต่ว่าจะสามารถทำอะไรพวกเราได้หรือ?”
เมื่อเห็นมู่เฉียนซี ดวงตาคู่นั้นของผู้เป็นหัวหน้าก็เกิดเพลิงพิโรธพุ่งขึ้นพลัน ล้วนแต่เป็นเพราะสตรีผู้นี้ ที่ทำร้ายให้ต้องสูญเสียเหล่าพี่น้องไปมากมายเช่นนั้น
“สมควรตายนัก! เจ้ายังใช้ใบหน้าของพระนางอยู่อีก เจ้าคิดว่าเจ้ายังสามารถใช้ใบหน้าของพระนางมาทำให้พวกเราสับสนได้อีกเป็นครั้งที่สองรึ?” เขากล่าวอย่างดุดัน และแทบอดไม่ได้ที่จะแยกร่างของมู่เฉียนซีออกเป็นแปดส่วน
มู่เฉียนซีกล่าว “เดิมทีข้าก็มีรูปลักษณ์เช่นนี้ มันเป็นธรรมชาติ มากล่าวว่าข้าใช้ใบหน้าพระนางของพวกเจ้า ทำไมพวกเจ้าถึงไม่พูดว่าพระนางของพวกเจ้าใช้ใบหน้าของข้าเล่า!”
.
.