นับตั้งแต่ถูกมู่หลินหลางตามไล่ฆ่า ถึงแม้ว่าจะมีคนช่วยชีวิตนาง แต่นั่นก็เป็นเพราะเหตุผลต่าง ๆ นานามากมาย
เมื่อหมดประโยชน์กับตนเอง นางก็จะถูกทิ้ง ถูกขับไสไล่ส่งออกมา
แต่นางผู้นี้ที่ดูฉลาดหลักแหลมมากผู้หนึ่ง กลับไม่สนใจชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือนางเอาไว้…ไม่มีใครเคยปฏิบัติต่อนางเช่นนี้มาก่อนเลย
ร่างสีเขียวร่างหนึ่งเคลื่อนไหวออกมาจากควันธุลีเหล่านั้น และมู่เฉียนซีก็ออกมาพร้อมกับเขาอย่างปลอดภัย
มู่เฉียนซียกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกไปมาตรงหน้าเหลิ่งหนิงจือเพื่อเรียกสตินางให้กลับมา “เสี่ยวเหลิ่ง เจ้ายืนเหม่ออะไรอยู่เหรอ เจ้าคงจะไม่คิดว่าข้าจะสละชีวิตเพื่อช่วยหญิงงามอย่างเจ้าไว้หรอกกระมัง! ผู้นำตระกูลอย่างข้ามีค่ามากนะ จะไม่รู้จักเสียดายชีวิตได้ยังไงกัน”
หญิงสาวตรงหน้ายิ้มแย้มราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง แต่สีหน้าของเหลิ่งหนิงจือกลับยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ
นางรู้สึกว่าการที่นางจะเป็นห่วงนาง จะซาบซึ้งต่อคุณหนูใหญ่ผู้นี้นั้น นางคิดมากเกินไปจริง ๆ
ดวงตาอันเย็นชาคู่นั้นพลันโกรธเกรี้ยวลุกเป็นไฟขึ้น ชั่วครู่หนึ่งคมศรน้ำแข็งก็เคลื่อนไหว เหลิ่งหนิงจือตะโกนขึ้นว่า “มู่เฉียนซี ข้าจะฆ่าเจ้า…”
ปากบอกอยากจะฆ่านาง มีแต่ความโกรธแต่ไม่มีจิตสังหารใด ๆ มู่เฉียนซีจึงขวางชิงอิ่งที่จะลงมืออย่างกะทันหัน
“เสี่ยวเหลิ่ง! ข้าช่วยชีวิตเจ้าถึงสามครั้งนะ เจ้าไม่เชื่อฟังข้ายังไม่พอ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะฆ่าข้าอีก เจ้าไม่กลัวข้าจะเสียใจบ้างเหรอ”
“เจ้ามันคนไร้หัวใจ จะเสียใจได้ยังไง! คนโง่เท่านั้นที่จะเชื่อเจ้า”
เหลิ่งหนิงจืออยากจะไล่ตามตีมู่เฉียนซีสักครั้งจริง ๆ แต่มู่เฉียนซีไม่ให้โอกาสนางได้ทำสำเร็จเลย
สถานที่แห่งนี้อยู่นานไม่ได้ ถึงแม้ว่าวิญญาณประทับจะถูกกำจัดออกไปแล้ว แต่ใครก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีศัตรูไล่ตามมา
พวกเขาใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดเดินทางออกจากเทือกเขาว่านหาน จากนั้นก็มาถึงเมืองว่านหาน
เหลิ่งหนิงจือคิดไม่ถึงเลยว่าวันต่อมา เมื่อห้องนอนของมู่เฉียนซีถูกเปิดออก จะมีชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งเดินออกมา
พัดหยกในมือของเขายื่นออกมาแตะปลายคางอันประณีตของนาง ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มพลางกล่าวว่า “เสี่ยวเหลิ่งเอ๋อร์ ยังไม่รีบส่งยิ้มให้ข้าอีกเหรอ?”
สีหน้าของเหลิ่งหนิงจือดำคล้ำขึ้นด้วยความโกรธ ดังนั้นนางจึงเตะมู่เฉียนซีไปครั้งหนึ่ง
“มู่เฉียนซี นี่เจ้าคงจะไม่ได้เป็นผู้ชายจริง ๆ กระมัง?”
มู่เฉียนซีเอนตัวหลบหลีก นางกล่าวอย่างหยอกล้อว่า “เสี่ยวเหลิ่งเอ๋อร์ เราเข้าไปพิสูจน์กันในห้องสักครู่ก็ได้นะ!”
“พอได้แล้วน่า”
ในตอนนี้เอง ชายชุดคลุมยาวสีน้ำเงินผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา และกล่าวว่า “พี่ใหญ่! ในที่สุดท่านก็ออกมาสักที”
มู่เฉียนซีกล่าว “เยวี่ยเจ๋อ”
มู่เฉียนซีไม่ได้หยอกล้อกับเหลิ่งหนิงจืออีกต่อไป เพียงแต่สะกิดสาวงามผู้นี้เล็กน้อย นางอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
นับตั้งแต่ได้เผชิญกับเจ้าพิฆาตวิญญาณนั่น เกิดเรื่องราวมากมายที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของนาง
มู่เฉียนซีมองเยวี่ยเจ๋อและกล่าวว่า “เยวี่ยเจ๋อ ข้าจะไปเมืองเป่ยหานกับเจ้า”
“พี่ใหญ่! ในเมืองเป่ยหานมีหูตาของกองกำลังต่าง ๆ มากมายดั่งตาสับปะรด ถึงแม้ว่าคนที่แย่งชิงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในตอนนั้นจะตายไปไม่น้อย แต่ก็ยังมีคนที่รอดชีวิตมาได้ ข้ากลัวว่าจะมีคนจำพี่ใหญ่ได้”
มู่เฉียนซีกล่าว “ดังนั้น พี่ใหญ่ของเจ้าก็เลยต้องแปลงกายเป็นชายหนุ่มรูปงามอย่างนี้ไงเล่า จำเอาไว้! ตอนนี้ข้าชื่อมู่หรงเฉียนเยี่ย ไม่ใช่มู่เฉียนซี เป็นสหายรักกับพี่ใหญ่ของเจ้า! เรียกข้าว่าคุณชายมู่หรงก็พอแล้ว”
“ต้องการตอบโต้กับตำหนักตงจี๋ พวกเราต้องเติบโตในแดนเหนือให้ได้ก่อน ช้าไม่ได้!”
เยวี่ยเจ๋อกล่าวเสียงขรึมว่า “ทุกอย่างจะจัดการตามที่พี่ใหญ่วางแผนเอาไว้”
ไม่นานนัก มู่เฉียนซีและพวกก็เดินทางมาถึงเมืองเป่ยหาน การจัดการโดยรวมของหอหมอปีศาจในเมืองเป่ยหานนั้นเหมือนกันกับเมืองตงจี๋ ภายใต้การนำของเยวี่ยเจ๋อ มู่เฉียนซีเดินทางไปที่ฐานที่มั่นของตนเองอย่างราบรื่น
“รวบรวมข่าวในช่วงนี้ทั้งหมดมาให้ข้า อ่อ แล้วก็ข่าวของตำหนักเป่ยหานด้วยล่ะ”
“ขอรับ!”
กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ขึ้น และข่าวนี้ก็ไม่ได้เงียบหายไปง่าย ๆ
ทางด้านแดนตะวันออก โม่จิ่นและพวกได้ซ่อนตัวอยู่ และแน่นอนว่าก็มีคนบางส่วนที่สังเกตไปที่แดนเหนือ
เนื่องจากชื่อเสียงของหอหมอปีศาจอีกทั้งยังมีการช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ของตำหนักเป่ยหาน ดังนั้นจึงยังไม่มีผู้ใดกล้าผลีผลามลงมือ แต่ก็มีบางคนที่ทนไม่ได้แล้ว
มู่เฉียนซีมองเยวี่ยเจ๋ออย่างพิจารณาและยิ้มพลางกล่าวว่า “เยวี่ยเจ๋อ ต้องทำให้เจ้ากล้ำกลืนแล้วที่ให้เจ้ามาเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้ปลาติดเบ็ด”
อยากจะลงมือไม่ใช่เหรอ เช่นนั้นนางก็จะให้โอกาสพวกเขา ถึงเวลาที่หอหมอปีศาจของพวกนางจะผงาดขึ้นอีกครั้งแล้ว
ถึงแม้ว่าหมอปีศาจจะลงมือไม่ได้ แต่ก็ยังมียอดฝีมืออยู่คนหนึ่ง
เยวี่ยเจ๋อพยักหน้าพลางกล่าว “ขอรับ!”
“วันนี้หอหมอปีศาจปิดร้านเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมร้าน พวกเจ้าก็แสร้งแกล้งทำเป็นย้ายของไปนู้นไปนี่สักเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาเมืองเป่ยหาน ก็ควรจะแสดงอะไรดี ๆ ให้พวกเขาได้เห็นสักหน่อย!” มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้น
ไม่นานนัก ข่าวนี้ก็ถูกแพร่งพรายออกไป
“หอหมอปีศาจในเมืองเป่ยหานก็จะปิดลงแล้ว หากพวกมันหายตัวไป แล้วเราจะไปตามหาตัวมู่เฉียนซีได้จากที่ไหนกันล่ะ!”
“ข้าได้ยินมาว่าท่านรองหัวหน้าหอเยวี่ยผู้นั้นเป็นคนติดตามมู่เฉียนซีมาตั้งแต่นางก่อตั้งหอหมอปีศาจมาใหม่ ๆ เลยนะ อีกอย่างความสัมพันธ์ของเขากับมู่เฉียนซีก็ดูท่าว่าจะสนิทกันมากกว่าโม่จิ่นอีก จะต้องหาข่าวมู่เฉียนซีจากเขาได้แน่นอน”
“แล้วถ้าหากเขาหนีไปล่ะ พวกเราจะตามหามู่เฉียนซีได้จากที่ไหน! มู่เฉียนซีได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั่นไปแล้ว นางคงต้องใจจดใจจ่ออยู่กับการฝึกฝนแน่นอน ด้วยพรสวรรค์ของนางบวกกับกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั่นแล้ว หากนางปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งคาดว่าตอนนั้นเราคงทำอะไรนางไม่ได้แล้วล่ะ”
“จะปล่อยโอกาสนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด!”
ครั้นถึงยามรัตติกาล สายลมยามค่ำคืนพัดใบไม้ต้นหญ้าไหวไปมา เยวี่ยเจ๋อที่เพิ่งเดินออกมาจากหอหมอปีศาจ ภายในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นก็มีคนมาขวางหน้าเขาเสียแล้ว
“ท่านรองหัวหน้าเยวี่ย หัวหน้าวังของพวกเราต้องการเชิญท่านไปพบที่วังอวิ๋นซิงสักครู่”
“อย่าไปกับวังอวิ๋นซิงเลย! มากับข้าดีกว่า เจ้าสำนักของข้าเชิญท่านไปพบ”
“หัวหน้าหุบเขาของพวกเรา…”
ตำหนักเป่ยหานไม่ได้ลงมือ คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นกองกำลังระดับสอง ระดับสองครึ่งทั้งสิ้น กลับแห่กันมาเชิญตัวเขาอย่างพร้อมเพรียงกันเช่นนี้
เยวี่ยเจ๋อชะงักก้าวเท้าลง สายตาเหลือบมองพวกเขาและกล่าวว่า “แล้วหากว่าข้าไม่ไปล่ะ?”
“เช่นนั้นก็ต้องล่วงเกินท่านแล้ว!”
เยวี่ยเจ๋อผู้นี้ก็นับว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ มีความสามารถเช่นกัน อายุยังน้อยแต่กลับมีพลังความแข็งแกร่งเช่นนี้ได้ แต่ศัตรูมีจำนวนคนที่มากกว่า พวกเขาเพียงพอที่จะจัดการกับเขา
และในตอนนี้เอง น้ำเสียงอันหยอกล้อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“หอหมอปีศาจถูกหมาแมวเหล่านี้รังแกได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันแล้ว”
นี่เป็นน้ำเสียงอันกินใจเสียงหนึ่ง ใบหน้าของพวกเขาเคร่งขรึมขึ้น หรือว่าหมอปีศาจจะปรากฏตัวขึ้นแล้ว
เมื่อเขาได้เห็นชายหนุ่มในชุดขาวปรากฏตัวขึ้น ก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มผู้นี้จะมีหน้าตางดงาม แต่ก็ไม่เหมือนกับหมอปีศาจในตำนานผู้นั้น
ไม่ใช่หมอปีศาจ พวกเขาจึงโล่งใจ!
“พวกเราจะกล้ารังแกหอหมอปีศาจได้อย่างไรกันล่ะ ก็แค่จะเชิญท่านรองหัวหน้าเยวี่ยไปเป็นแขกก็เท่านั้น”
มู่เฉียนซีกล่าวเยาะเย้ยว่า “เชิญเหรอ! แต่ที่ข้าเห็นคือพวกเจ้ากำลังจะจับตัวเขานะ! รีบลงมือเร็ว ๆ เถอะ จะมัวแต่พูดจาไร้สาระกันอยู่ทำไม ข้าจะได้รีบกลับไปนอนพักผ่อน!”
ผู้อาวุโสของสำนักชิงอวี่กล่าวเย้ยหยันว่า “เจ้าเด็กหยิ่งยโส วันนี้ข้าจะจับตัวเจ้าไปด้วยให้ได้!”
กล่าวจบพวกเขาก็ลงมือทันที และมู่เฉียนซีก็กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายของพวกเขา
มู่เฉียนซีโคจรพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสี่หลบหลีก พลังอ่อนแอเช่นนี้ ขั้นมหาจักรพรรดิเห็นได้อย่างชัดเจน
“พลังอ่อนแอเช่นนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะกล้าเข้ามาหาเรื่อง ช่างไม่รู้จักความเป็นความตายจริง ๆ เลย!”
ใครจะรู้ว่าในขณะที่พวกเขาพุ่งจะเข้าไปจับมู่เฉียนซี ชายหนุ่มตรงหน้ากลับตะโกนขึ้นว่า “เสี่ยวเหลิ่งเอ๋อร์ ยังไม่รีบออกมาช่วยข้าอีก!”