จักรพรรดิแห่งภูตระดับห้า ระดับห้า!
จักรพรรดิแห่งภูตระดับห้าคนเดียวจะฆ่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหกได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้!
“ชิงเอ๋อร์ นี่มันผิดปกติแล้ว”
อวี้ปิงชิงครุ่นคิดวิเคราะห์อย่างใจเย็น นางกล่าว “พลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหกตัวนั้นข้ารู้ดี และเขาที่มีพลังเพียงแค่ขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับห้า นั่นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวแล้ว! เขาแอบซ่อนพลังเอาไว้ พลังที่แท้จริงไม่ใช่เพียงแค่นี้แน่!”
“มีความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือเขาอาจจะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหกเป็นสัตว์พันธสัญญา”
นายน้อยหกกล่าว “หากเป็นอย่างหลัง เจ้าหมอนี่ก็จัดการได้ง่าย! ก็แค่สัตว์พันธสัญญาเท่านั้นที่แข็งแกร่ง ส่วนเขา อ่อนหัดยิ่งนัก!”
แสงสลัววาบผ่านดวงตาของนายน้อยห้า “แต่หากเป็นอย่างแรก การเข้าตำหนักเป่ยหานโดยการแอบซ่อนพลังความแข็งแกร่งที่แท้จริงเช่นนี้ จะต้องมีแผนการใหญ่แน่นอน จับตาดูมันเอาไว้ให้ดี! หากพบเจอพิรุธ ข้าจะทำให้มันต้องตายทั้งเป็นอย่างแน่นอน”
บนลานประลอง มู่เฉียนซีไม่ได้เป็นคนริเริ่มโจมตีผู้อื่น
แต่หากมีคนโจมตีนาง นางก็จะต่อสู้กลับให้คนผู้นั้นกระเด็นลงไปจากลานประลองอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน
“ผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวารี!” อวี้ปิงชิงจับตาสังเกตมู่เฉียนซีอยู่ตลอดเวลา
ด้วยสายตาของนางนั้น แน่นอนว่านางสังเกตเห็นแล้วว่าทักษะวิญญาณนี้แข็งแกร่งมาก
บนลานประลองที่คนหนึ่งร้อยคนต่อสู้กันด้วยความโกลาหลก่อนหน้านี้นั้น ตอนนี้มีคนเหลืออยู่เพียงแค่สิบคนเท่านั้น และแน่นอนว่ามู่เฉียนซีเองก็เป็นหนึ่งในสิบคนที่เหลือ
โชคของมู่เฉียนซีนับว่าไม่เลวเลย คนที่อยู่บนลานประลองนี้มีพลังสูงสุดเพียงแค่ขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดเท่านั้น รับมือได้ไม่ยากเลย
“บุปผาหลั่งสายฝน!”
“มังกรวารีสะท้านสวรรค์!”
“มังกรวารีพิฆาต!”
ทักษะวิญญาณพลังธาตุวารีมากมายหลากหลายชนิดที่ดูเหมือนว่าจะใช้อย่างไรพลังวิญญาณก็ไม่มีวันหมดนี้ ทำให้มู่เฉียนซีโจมตีคนเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้านี่มันช่างกล้าหาญจริง ๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะรับมือต่อสู้กับพวกเราทั้งเก้าคนได้ กำจัดมันก่อนก็แล้วกัน!”
“กำจัดเจ้าหนุ่มนี่ก่อน!”
ในขณะที่พวกเขาพุ่งเข้าไปนั้น มู่เฉียนซีก็หลบหลีกไปได้อย่างสบายราวกับนกนางแอ่น ความเร็วของคนเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะกล่าวถึงเลย!
ทันทีที่มือของมู่เฉียนซีขยับก็สามารถผลักพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
ปัง ปัง ปัง! หลาย ๆ คนถูกนางโจมตีจนกระเด็นลอยออกไปจากลานประลอง
นายน้อยห้ากล่าว “เจ้านี่ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่จักรพรรดิแห่งภูตระดับห้า แต่ทักษะวิญญาณของมันแข็งแกร่งมาก คนเหล่านี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ด่านนี้มันต้องชนะแน่นอน”
นายน้อยเจ็ดกล่าวเสียงขรึมว่า “ให้มันชนะก็ดีเหมือนกัน ยิ่งได้เข้าตำหนักเป่ยหานได้ก็ยิ่งดี ถึงเวลานั้นคอยดูก็แล้วกันว่าข้าจะจัดการมันเช่นไร”
ครั้นแล้วก็เป็นอย่างที่นายน้อยห้ากล่าวเอาไว้จริง ๆ การประลองยุทธ์ในด่านนี้มู่เฉียนซีชนะอย่างไม่ต้องสงสัย
การประลองยุทธ์ทั้งสามสิบลานประลองได้สิ้นสุดลงแล้ว และต่อจากนี้ก็เป็นการประลองแบบตัวต่อตัว
นายน้อยห้ากล่าว “การประลองครั้งนี้เป็นการจับฉลากเลือกคู่ต่อสู้! ครั้งนี้ตำหนักเป่ยหานของพวกเราให้สิทธิ์เพียงแค่สิบห้าคนเท่านั้น! นั่นก็หมายความว่า เพียงแค่พวกเจ้าสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ก็จะมีสิทธิ์เข้าร่วมตำหนักเป่ยหานของพวกเรา”
หากเอาชนะคู่ต่อสู้คนหนึ่งได้ก็จะได้เข้าร่วมอยู่ในตำหนักเป่ยหานกองกำลังระดับสาม พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมาก
จากนั้นก็เริ่มจับฉลาก
คู่ต่อสู้ของมู่เฉียนซีก็เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวารีเช่นกัน และยังมีพลังขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับแปดอีกด้วย เป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในสามสิบคนนี้
นายน้อยหกกล่าว “เจ้าหมอนี่ช่างโชคร้ายจริง ๆ! นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นนี้ การประลองครั้งนี้สนุกแล้วสิ”
“การประลองยุทธ์ครั้งนี้จะเรียกสัตว์พันธสัญญาออกมาช่วยไม่ได้ หากมันได้ไขกระดูกน้ำแข็งหมื่นปีไปเพราะสัตว์พันธสัญญาแล้วละก็ มันจะต้องแพ้การประลองนี้อย่างแน่นอน! แต่หากว่ามันแอบซ่อนพลังวิญญาณที่แท้จริงเอาไว้ การประลองในครั้งนี้ก็จะเปิดโปงตัวมันเอง”
“ก็จริง! มันสามารถต่อสู้ข้ามระดับถึงสองระดับได้ก็อาจจะเป็นเพราะพลังธาตุวารีของมัน แต่นี่เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีพลังธาตุเดียวกัน ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่ามันจะต่อสู้ข้ามขั้นถึงสามระดับได้” นายน้อยเจ็ดกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีน้ำเงินกล่าว “สหายร่วมประลอง โปรดให้คำชี้แนะด้วย”
มู่เฉียนซีกล่าว “ได้สิ!”
ทันทีที่ลงมือ ทักษะวิญญาณพลังธาตุวารีก็ปะทะกันทันที
รูม่านตาของชายชุดคลุมยาวสีน้ำเงินหดตัวลงด้วยความตกใจ ทักษะวิญญาณพลังธาตุวารีนี้แข็งแกร่งมาก
หากไม่ใช่เพราะว่าเขามีพลังที่เหนือกว่าถึงสามระดับ และอยู่ในสถานการณ์ที่คู่ต่อสู้อยู่ในระดับเดียวกัน ภายในสามกระบวนท่าเขาต้องพ่ายแพ้ไปแล้วเป็นแน่!
ตูม!
ชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีน้ำเงินผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวารีที่ฝีมือไม่เลวเลย มู่เฉียนซีมีความสุขมากที่ได้ต่อสู้กับเขา
ชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีน้ำเงินก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้าจะต่อสู้กับเขาอย่างเอาจริงเอาจังจนเกิดผลลัพธ์สุดท้ายก็คือ พลังวิญญาณของเขาจะหมดแล้ว
เนื่องจากพวกเขาต่อสู้กันมานานมาก คนอื่นล้วนแต่ประลองกันเสร็จสิ้นแล้วแต่พวกเขายังประลองกันไม่เสร็จ
พลังของเขากำลังจะหมดลงแล้ว แต่คู่ต่อสู้ตรงหน้าดูเหมือนว่าจะมีพลังวิญญาณเต็มเปี่ยมอยู่
มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย เป็นเช่นนี้ไปได้ยังไง
มู่เฉียนซีกล่าว “ทุกคนรอเรานานแล้ว เรารีบจบการประลองกันเร็ว ๆ ดีกว่านะ!”
มู่เฉียนซีโจมตีเขาด้วยกระบวนท่ามังกรวารีพิฆาตอันอ่อนโยนไปหนึ่งกระบวนท่า และเขาก็ถูกบีบให้ลงไปจากลานประลอง
เขามองมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะเสียดายที่ถูกคัดออก แต่การที่ได้เจอกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ก็นับว่าคุ้มค่ามาก”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าก็ฝีมือไม่เลวเลย อันที่จริงต่อให้เจ้าไม่ได้เข้าตำหนักเป่ยหาน เจ้าก็สามารถไปได้ไกลแน่นอน”
“ขอบใจสำหรับคำปลอบใจของเจ้ามาก”
และหลังจากเสร็จสิ้นการประลองในครั้งนี้แล้ว มู่เฉียนซีก็ได้เป็นเด็กใหม่ของตำหนักเป่ยหาน
ตำหนักเป่ยหานเป็นอาณาเขตของพวกเขา เพื่อต้อนรับเด็กใหม่ผู้นี้อย่างเป็นทางการ นายน้อยเจ็ดและพวกถึงกับต้องขูดเลือดขูดเนื้อตัวเองเลยทีเดียว
ทว่า คนเหล่านั้นที่ถูกส่งไปก่อกวนมู่เฉียนซีล้วนแต่ถูกนางโจมตีกลับออกมาทุกคน
มู่เฉียนซีส่ายหน้าไปมาอย่างเบื่อหน่าย นี่มันเป็นการดูถูกนางมากเกินไปแล้ว อยากจะหาเรื่องแน่จริงก็ส่งคนที่มีฝีมือขั้นมหาจักรพรรดิมาสิ!
ส่งคนมีพลังขั้นจักรพรรดิเหล่านี้มา นางคร้านที่จะลงมือ แค่ใช้ยาพิษเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำให้พวกเขานอนหงายหลังกันไปได้แล้ว
นอกจากการที่ต้องจัดการกับพวกที่มาก่อกวนสร้างความรำคาญแล้ว มู่เฉียนซีก็ใช้เวลาไปกับการฝึกบำเพ็ญ
สถานที่ฝึกบำเพ็ญที่ดี ๆ ของตำหนักเป่ยหานนั้นมีไม่น้อยเลย มู่เฉียนซีใช้ทุกอย่างให้เกิดประโยชน์มากที่สุด จนกระทั่งสามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณกลับมาเต็มเปี่ยมของขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับห้าได้แล้ว
การจะฟื้นฟูพลังให้กลับมาอยู่ในระดับเดิมนั้น อยู่ไม่ไกลแล้ว
ทางด้านอวี้ปิงชิงก็รีบร้อนที่จะใช้ไขกระดูกน้ำแข็งหมื่นปีมาทะลวงพลังวิญญาณเช่นกัน นางเคยส่งคนมาเจรจาพูดคุยกับมู่เฉียนซีแล้ว แต่มู่เฉียนซีไม่ตอบตกลง
เมื่อเห็นว่าเวลาเกือบจะครบหนึ่งเดือนแล้ว มู่เฉียนซีก็จะออกจากตำหนักเป่ยหานกลับไปพักผ่อนได้
หากเขาเอาไขกระดูกน้ำแข็งหมื่นปีนั้นไปให้สาวใช้ชั้นต่ำใช้แล้วละก็ นางจะต้องทนไม่ไหวแน่นอน
ในฐานะผู้ที่ชื่นชอบธิดาศักดิ์สิทธิ์ นายน้อยเจ็ดและพวกก็กำลังครุ่นคิดหาวิธี นายน้อยเจ็ดกล่าวว่า “เพื่อชิงเอ๋อร์ ข้ายอมทุ่มหมดหน้าตัก”
นายน้อยทั้งเจ็ดแห่งตำหนักเป่ยหานแต่ละคนล้วนแต่มีตำแหน่งฐานะสูงส่ง แต่ตอนนี้นายน้อยเจ็ดกลับมาเยือนที่พักของศิษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง
ไม่เพียงแค่มาเยือนเท่านั้น แต่เขายังทำเรื่องที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดอีกด้วย
“มู่หรงเฉียนเยี่ย ข้าต้องการท้าประลองกับเจ้า”
ทุกคนล้วนแต่ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น ถึงแม้ว่านายน้อยเจ็ดจะเป็นหนึ่งในเจ็ดของนายน้อยที่มีพลังอ่อนแอที่สุด แต่เขาก็ไม่น่าลดตัวลงมาท้าประลองกับศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าตำหนัก!
ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เห็นและได้ยินนี้ แต่นายน้อยเจ็ดก็แบกหน้ามาท้าประลองกับมู่เฉียนซีแล้ว ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็เพราะว่าเขาทำเพื่อน้องชิงเอ๋อร์
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “ท้าประลองเหรอ ได้สิ! ข้ารับคำท้า”
พวกเขาล้วนแต่รู้สึกว่ามู่เฉียนซีบ้าไปแล้ว เป็นเพียงแค่จักรพรรดิแห่งภูตระดับห้ากลับไปรับคำท้าประลองกับมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่ง นั่นไม่ใช่เป็นการดูถูกนายน้อยเจ็ดไปหน่อยเหรอ
นายน้อยเจ็ดกล่าว “ข้าท้าประลองกับเจ้า แต่ก็ต้องมีการเดิมพัน”
“เดิมพันสิ่งใดก็ว่ามา” มู่เฉียนซีกล่าว
“หากว่าข้าชนะ เจ้าต้องเอาไขกระดูกน้ำแข็งหมื่นปีให้ข้า”
“แล้วหากว่าข้าเป็นฝ่ายชนะล่ะ!” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“เจ้าจะชนะข้าได้ยังไง” นายน้อยเจ็ดกล่าว
“ในเมื่อข้าตอบรับคำท้าประลองแล้ว ข้าไม่มีทางแพ้แน่! เกมยังไม่ทันเริ่ม นายน้อยเจ็ดก็มั่นใจแล้วเหรอว่าตัวเองจะชนะได้จริง ๆ?” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเชื่องช้า คนอื่นได้ยินเช่นนี้ต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง เจ้าหนุ่มผู้นี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน คิดว่าตัวเองจะเอาชนะนายน้อยเจ็ดได้
.