นายน้อยเจ็ดกล่าว “งั้นเจ้าก็ว่ามา หากเจ้าชนะเจ้าต้องการสิ่งใด?”
ตอนนี้เขาคิดเพียงแค่อยากประลองเต็มทีแล้ว!
มู่เฉียนซีกล่าว “หากข้าชนะ เจ้าต้องมอบแหวนมิติของเจ้าให้ข้า”
“เจ้ามันโลภมากจริง ๆ!”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “หรือว่านายน้อยเจ็ดจะคิดว่าแหวนมิติของของนายน้อยสำคัญกว่าไขกระดูกน้ำแข็งหมื่นปี”
“ไม่ใช่เช่นนั้นแน่นอน!” หากชิงเอ๋อร์ต้องตาสิ่งของที่อยู่ในแหวนมิติของเขา เขาคงไม่ต้องตามจีบนางนานถึงเพียงนี้
“ข้าตกลง! จะประลองกันเมื่อไหร่ล่ะ”
มู่เฉียนซีกล่าว “ตอนนี้!”
“ดี!” นายน้อยเจ็ดดีใจมาก
สนามการประลองของตำหนักเป่ยหานในตอนนี้มีคนจำนวนมาก พวกเขาต่างก็พากันมาชมการประลองนี้ นี่เป็นถึงการประลองของนายน้อยเจ็ดเชียวนะ
แม้ว่าคู่ต่อสู้ของนายน้อยเจ็ดจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก ไม่มีอะไรน่าดู และผลลัพธ์ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่พวกเขาก็ไม่อยากพลาด
บนลานประลอง นายน้อยเจ็ดมองไปที่มู่เฉียนซี “เจ้าหนุ่ม ข้าขอเตือนเจ้า รีบยอมแพ้แล้วส่งของมาให้ข้าแต่โดยดีเถอะ! เจ้าจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้าไม่ต้องพูดจาไร้สาระให้มากความหรอกนะ จะประลองก็รีบประลองเถอะ!”
“เจ้ารนหาที่ตายเองนะ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจล่ะ”
ทันทีที่คำพูดอันโหดร้ายนั้นของนายน้อยเจ็ดสิ้นเสียงลง ร่างของเขาก็เคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว ลมพายุอันหนาวเหน็บพุ่งตัดผ่านอากาศไปที่คอ หัวใจ และโจมตีไปที่จุดอันตรายต่อชีวิตของมู่เฉียนซี
นายน้อยเจ็ดเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวายุ หากไม่มีพรสวรรค์ผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุแล้วละก็ จะเป็นหนึ่งในเจ็ดของนายน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานได้อย่างไรกันล่ะ
การโจมตีของเขารวดเร็วมาก แต่ก็รวดเร็วเทียบเท่าทักษะย่างเท้าพันเทวาของมู่เฉียนซีไม่ได้
ภาพตรงหน้าคือเขาทำสำเร็จแล้ว แต่ฉับพลันมันก็กลับกลายเป็นเพียงแค่อากาศเท่านั้น
“ที่โจมตีถูกเป้าเมื่อครู่ก็เป็นเพียงแค่เงาเท่านั้น!”
“มู่เฉียนหรงเยี่ยผู้นี้ช่างรวดเร็วยิ่งนัก”
“……”
“เจ้าบ้า นี่เจ้าทำได้แค่หลบอย่างนั้นเหรอ?”
การโจมตีไม่เป็นผล นายน้อยเจ็ดจึงโคจรพลังธาตุวายุขึ้นและโจมตีไปอีกครั้ง
ลมพายุนั้นพลันเปลี่ยนเป็นเหยี่ยววายุที่ดุร้าย มันพุ่งเข้าหามู่เฉียนซีอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
“เหยี่ยววายุกระพือปีก นี่เป็นทักษะเฉพาะของนายน้อยเจ็ดเลยนะ!”
“เจ้าหนุ่มนั่นต้องมีจุดจบที่น่าสังเวชเป็นแน่”
“……”
และในตอนนี้เอง มู่เฉียนซีก็ตอบโต้แล้ว
“มังกรวารีพิฆาต!”
มังกรวารีสีฟ้าเย็นยะเยือกพุ่งออกไปรับมือกับเหยี่ยววายุนั้น
พลังธาตุวารีกับวายุต่อสู้ปะทะกันขึ้น
ตูม! เสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอย่างรุนแรง และนึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะเห็นร่างของนายน้อยเจ็ดกำลังร่นตัวถอยหลังไปหลายก้าว
การเผชิญหน้าต่อสู้กันครั้งนี้ นึกไม่ถึงเลยว่ามู่เฉียนหรงเยี่ยผู้ที่มีพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับห้าจะเหนือกว่า เป็นไปได้ยังไง?
เดิมทีนายน้อยเจ็ดตั้งใจจะไปเพิ่มพลังวิญญาณที่สระหานซิน แต่ทำไม่สำเร็จ ต่อมาเขาจึงให้ยาลูกกลอนบีบบังคับให้พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่ง
มหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่งผู้นี้ ไม่สมชื่อเลยจริง ๆ!
ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายขึ้น นางลงมือโจมตีเขาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “บุปผาหลั่งสายฝน”
เมื่อครู่ถูกมู่เฉียนซีโจมตีจนต้องถอยหลังไป ช่างเป็นความอับอายของเขายิ่งนัก นายน้อยเจ็ดจึงกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “มู่หรงเฉียนเยี่ย เจ้าอย่าได้ลำพองใจเร็วไปหน่อยเลย”
พลังวิญญาณในร่างเขาพรั่งพรูออกมาอย่างบ้าคลั่ง พลังนี้เป็นพลังที่กดขี่ข่มเหงยิ่งนัก!
“นี่นายน้อยเจ็ดจะเอาจริงแล้วเหรอ?”
“เมื่อครู่ที่ถูกมู่หรงเฉียนเยี่ยโจมตีจนถอยหลังไป ที่แท้ก็ยังยั้งมือเอาไว้นี่เอง!”
นายน้อยเจ็ดกล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า “วันนี้ ข้าจะทำให้เจ้าต้องคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนข้าให้ได้”
มีดวายุนับไม่ถ้วนพุ่งไปห้อมล้อมมู่เฉียนซีอย่างบ้าคลั่ง
“มีดวายุร่ายระบำ”
มีดวายุตกลงมาบนลานประลองจนเกิดร่องรอยขึ้นนับไม่ถ้วน
วัสดุที่ใช้สร้างลานประลองนี้เป็นวัสดุพิเศษ มีความแข็งและทนทานมาก แต่เมื่อโดนมีดวายุนี้กระหน่ำลงมายังเกิดรอยได้ เช่นนั้นแล้วถ้าหากการโจมตีนี้โดนร่างคนเข้าแล้วละก็ ต้องเกิดบาดแผลลึกจนเห็นกระดูกเป็นแน่
ฝีมือคนผู้นี้ที่ตำหนักเป่ยหานกองกำลังระดับสามอบรมเลี้ยงดูออกมานั้นไม่ได้อ่อนหัดเลย ร่างของมู่เฉียนซีเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลบหลีกการโจมตีนี้ของเขาได้
ความเร็วนี้ของนางเหนือกว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวายุมาก สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ
บัดซบ! เช่นนี้แล้วยังไม่ตายอีก
นายน้อยเจ็ดแอบสบถด่าอยู่ในใจ และตอนนี้มู่เฉียนซีก็พุ่งเข้ามาใกล้เขาแล้ว
“นายน้อยเจ็ด! ฝีมือก็งั้น ๆ !”
มู่เฉียนซีง้างมือขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำว่า “ทักษะตี้ซวน!”
ปัง! ร่างของนายน้อยเจ็ดถูกการโจมตีนี้จนกระเด็นลอยออกไป
ในขณะที่ร่างของเขากระเด็นลอยไปนั้น บนลานประลองรอบบริเวณที่เขายืนอยู่เมื่อครู่ก็เกิดรอยแตกร้าวราวกับใยแมงมุมขึ้น
“ซื้ด! ทักษะวิญญาณเมื่อครู่มีพลังการทำลายล้างที่แข็งแกร่งมากจริง ๆ!”
“เพียงแค่ทักษะวิญญาณนั้นครั้งเดียว ก็ทำให้นายน้อยเจ็ดที่มีพลังขั้นมหาจักรพรรดิกระเด็นลอยออกไปได้”
ประเมินศัตรูต่ำไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ชั่วครู่หนึ่ง นายน้อยเจ็ดพยายามลุกยืนขึ้นพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก ก่อนจะกล่าวว่า “ดูท่า ข้าจะประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว แต่ข้าไม่มีทางแพ้แน่!”
นายน้อยเจ็ดพุ่งไปปะทะกับมู่เฉียนซีอีกครั้ง ภายในชั่วพริบตาเดียว ทักษะวิญญาณของพลังธาตุวายุและธาตุวารีก็โจมตีใส่กันไม่ยั้งจนคนที่ดูอยู่ตาลายไปตาม ๆ กัน
ทั้งสองต่อสู้ปะทะกันอย่างดุเดือด นายน้อยเจ็ดมีพลังระดับสูง มู่หรงเฉียนเยี่ยก็มีความเร็วที่เร็วมาก ภายในชั่วพริบตาเดียวไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้!
“มังกรวารีพิฆาต!” มู่เฉียนซีลงมืออีกครั้ง
ทักษะวิญญาณขั้นจักรพรรดิกวาดล้างไป แม้แต่นายน้อยเจ็ดที่มีพลังขั้นมหาจักรพรรดิก็จำต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง!
ทว่า เขาหลบการโจมตีของมังกรวารีได้ แต่มู่เฉียนซีกลับปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเขาราวกับภูตผีอย่างที่เขาไม่รู้ตัวเลย
น้ำเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูเขา “ทักษะตี้ซวน!”
ตูม! นายน้อยเจ็ดถูกโจมตีจนกระเด็นลอยออกไปจากลานประลอง
ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แพ้แล้ว นายน้อยเจ็ดแพ้แล้ว!
นายน้อยหกกับนายน้อยห้าที่เดิมทีจะมาชมการประลองเพื่อความสนุก ในตอนนี้สีหน้าของพวกเขาเขียวคล้ำขึ้นด้วยความโกรธแล้ว แพ้แล้วจริง ๆ ด้วย แถมยังแพ้เด็กใหม่ที่เพิ่งจะเข้าตำหนักเป่ยหานได้ไม่ถึงเดือนอีกด้วย
พวกเขาที่เป็นนายน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานต้องมาอับอายขายหน้าเพราะสวะไร้ประโยชน์ผู้นี้!
มู่เฉียนซีเดินไปตรงหน้านายน้อยเจ็ดและกล่าวว่า “เจ้าต้องทำตามข้อตกลงแล้วล่ะ”
นายน้อยเจ็ดในตอนนี้อับอายขายหน้าจนแทบจะมุดแผ่นดินหนีแล้ว เขาเอาแหวนมิติของตัวเองออกมา และกล่าวว่า “ข้าแพ้ก็คือแพ้”
เขารู้สึกไม่สบายใจมาก จากนั้นก็มองไปที่นายน้อยหกและนายน้อยห้าก่อนจะกล่าวออกมาว่า “พี่หก พี่ห้า…”
นายน้อยหกก็รู้ดีว่าไม่อาจรอต่อไปได้ ต้องรีบเอาไขกระดูกน้ำแข็งหมื่นปีมาให้ได้
นายน้อยหกเดินมาและกล่าวว่า “เห็นเจ้าต่อสู้กับน้องเจ็ดแล้วน่าสนุกดี ข้าเองก็คันไม้คันมืออยู่เหมือนกัน! ข้าขอท้าประลองกับเจ้า เจ้าจะรับคำท้าหรือไม่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อนายน้อยหกท้าประลองข้า ข้าก็ไม่กล้าปฏิเสธ! เชิญ!”
มู่เฉียนซีเดินขึ้นไปบนลานประลองด้วยท่าทีที่สงบ
“บ้าไปแล้ว! มู่หรงเฉียนเยี่ยบ้าไปแล้ว รับคำท้านายน้อยเจ็ดยังไม่พอ นี่ยังมารับคำท้านายน้อยหกอีก”
“พลังของนายน้อยหกถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามเชียวนะ! เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของนายน้อยหกได้ยังไง”
“……”
สีหน้าของมู่เฉียนซีนิ่งมาก ถึงแม้ว่าเพิ่งจะเข้ามาในตำหนักเป่ยหานไม่นาน ยังวิเคราะห์สถานการณ์ไม่ชัดเจนมากนัก เพราะตลอดเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมานางใจจดใจจ่อกับการฝึกฝนมาก
ที่ผ่านมานางไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจของตำหนักเป่ยหานมาโดยตลอด
หากไม่เป็นจุดสนใจเช่นนี้ต่อไป ด้วยพลังขั้นจักรพรรดิแห่งภูตของนาง ไม่มีทางเข้าใกล้ตัวผู้อาวุโสสูงสุดและหัวหน้าตำหนักเป่ยหานได้แน่นอน อีกทั้งไม่มีทางเข้าใกล้องครักษ์ฝ่ายซ้ายอย่างอารองได้แน่
นายน้อยทั้งเจ็ดของตำหนักเป่ยหานมอบโอกาสดี ๆ ให้นางได้เล่นใหญ่เช่นนี้แล้ว นางก็จะใช้โอกาสนี้ให้เต็มที่
หากพลาดโอกาสดีนี้ไป ก็น่าเสียดายมาก
นายน้อยหกเดินมาที่ลานประลองและกล่าวว่า “มู่หรงเฉียนเยี่ย งั้นเจ้าก็แสดงให้ข้าดูหน่อยสิ ว่าเจ้ามีไพ่เด็ดมากแค่ไหน”