“เจ้าว่าอะไรนะ?” ทันทีที่ผู้มารายงานกล่าวจบ ชายชุดขาวผู้ดุจดั่งเทพเซียนผู้หนึ่งก็ยืนขึ้นตรงหน้าเขาและกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
ใบหน้าอันประณีตประหนึ่งจิตรกรรมหิมะหมื่นปีนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะแสดงความตื่นเต้นออกมา นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
ผู้เข้ามารายงานกล่าวว่า “ท่านหัวหน้าตำหนัก มีคนถือป้ายคำสั่งของท่าน…”
“พาข้าไป!” คนผู้นั้นยังไม่ทันกล่าวจบก็ถูกตัดบทเสียก่อนแล้ว
เขาได้ยินแม้กระทั่งคำพูดที่เต็มไปด้วยความร้อนใจของท่านหัวหน้าตำหนัก
เขาดึงสติกลับมาและรีบนำทางไปอย่างรวดเร็วที่สุด ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย
นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้ามู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นั้นจะทำให้ท่านหัวหน้าตำหนักสนใจได้ถึงเพียงนี้
เมื่อพวกเขาเห็นร่างในชุดขาวอันคุ้นเคยปรากฏขึ้น ต่างก็กล่าวด้วยความเคารพว่า “คารวะท่านหัวหน้าตำหนัก!”
กู้ไป๋อีกวาดสายตามองกลับไปก็ไม่เห็นร่างอันคุ้นเคยนั้นในหมู่ของคนเหล่านี้ เขาจึงกล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไหนล่ะ?”
อวี้ปิงชิงเดินมาด้านหน้าและตอบกลับไปว่า “รายงานท่านหัวหน้าตำหนัก มู่หรงเฉียนเยี่ยไปพักผ่อนแล้ว ไม่ได้อยู่รอท่านหัวหน้าตำหนักที่นี่เจ้าค่ะ”
“ที่ไหน?” น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกถูกพ่นออกมาสองคำ
อวี้ปิงชิงตกใจนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง นี่ท่านหัวหน้าตำหนักหมายความว่าจะเป็นคนเดินไปหามู่หรงเฉียนเยี่ยด้วยตัวเองเหรอ
ในความคิดของนาง เทพที่สูงส่งอย่างไม่อาจที่จะเอื้อมถึงได้ไม่มีทางลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับมนุษย์ผู้ต่ำต้อยเป็นอันขาด ในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดที่ควรค่าที่จะอยู่ในสายตาของเขา นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะสนใจเจ้าหนุ่มผู้นั้น
“อยู่ที่…”
อวี้ปิงชิงไม่ทันกล่าวจบ กู้ไป๋อีก็อันตรธานหายไปแล้ว
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนแต่ตกอกตกใจอ้าปากค้าง นั่นใช่ท่านหัวหน้าตำหนักแน่หรือ คงจะไม่โดนคุณไสยไปแล้วกระมัง!
ในตอนนี้ ในใจของอวี้ปิงชิงเย็นยะเยือกอย่างถึงที่สุด
สนใจเจ้าคนผู้นั้นถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดอยู่ในสายตาเขาแล้ว
เมื่อก่อนเขาไม่เคยสนใจเรื่องใดเลยนอกจากการฝึกบำเพ็ญ นั่นเพราะเขายังไม่ได้พบเจอ แต่ตอนนี้ได้พบเจอแล้ว และความสนใจที่เขามีให้นั้นช่างทำให้ผู้อื่นตกตะลึงเสียเหลือเกิน
มู่หรงเฉียนเยี่ยทำได้ หากหัวใจอันเย็นชาราวกับน้ำแข็งหิมะหมื่นปีนั้นละลายไปเล็กน้อยแล้ว เช่นนั้นนางก็สามารถทำได้
แววตาของอวี้ปิงชิงเปล่งประกายขึ้น
ขณะเดียวกันมู่เฉียนซีก็กำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ หลังจากกินยาเสร็จนางก็พันแผลด้วยตัวเอง
แผลฉีกกว้างมาก มู่เฉียนซีสูดลมหายใจเย็นเข้าปอดลึกเพื่ออดทนกับความเจ็บนั้น
ทันทีที่กู้ไป๋อีมาถึงก็ได้ยินเสียงนี้ ในใจรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก อยากจะพรวดเข้าไป และตอนนี้เองมู่เฉียนซีก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยแล้ว
นางเอ่ยปากกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องเข้ามา คิดทบทวนพิจารณาตัวเองอยู่ข้างนอกให้ดีเสียก่อน”
กู้ไป๋อีชะงักก้าวเท้าลงทันที และเขาก็หยุดยืนอยู่ด้านนอกไม่ได้เข้าไปจริง ๆ
เมื่ออวี้ปิงชิงและพวกมาถึงก็เห็นท่านหัวหน้าตำหนักของพวกเขายืนเฝ้าอยู่หน้าประตูไม่ได้เข้าไปข้างใน นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ดวงตาที่ไร้ซึ่งอุณหภูมิคู่นั้นกวาดมองไปที่พวกเขาและกล่าวว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เห็น ๆ กันอยู่ว่าพวกเขารีบตามเขามา แต่ก็ต้องรีบกล่าวออกมาด้วยความตื่นตระหนกว่า “ท่านหัวหน้าตำหนัก ข้าน้อยขอลา!”
“ข้าน้อยก็ขอลาเช่นกัน!”
อวี้ปิงชิงกำหมัดแน่น ก่อนจะกล่าวเบา ๆ ว่า “ชิงเอ๋อร์ขอลาเจ้าค่ะ!”
ในที่สุดพวกคนที่ขวางหูขวางตาก็ไปกันหมดแล้ว ทันใดนั้นแววตาของกู้ไป๋อีก็อ่อนโยนขึ้น
เขามองดูประตูตรงหน้า แทบอยากจะใช้พลังมองทะลุประตูบานนี้จริง ๆ!
เขาอยากเจอนางมากเกินไปแล้ว
มู่เฉียนซีพันแผลอย่างรวดเร็วที่สุด แต่กลับไม่ได้ให้กู้ไป๋อีเข้ามาในทันที
วันนี้ได้รู้เรื่องที่น่าตกใจเรื่องหนึ่ง นางไม่รู้จริง ๆ ว่าจะเผชิญหน้ากับเสี่ยวไป๋เช่นไร
ทว่า เสี่ยวไป๋ยืนรออยู่ด้านนอกฟังคำสั่งของนางอย่างเชื่อฟัง ดูเหมือนว่าเขาจะย้อนเวลากลับไปในวันที่เอ่ยปากเรียกนางว่าคุณหนูใหญ่ ครั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “เข้ามาเถอะ!”
ทันทีที่เปิดประตู ร่างในชุดขาวที่สง่างามอย่างไร้ที่เปรียบร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้ามู่เฉียนซีทันที
กู้ไป๋อีมองดูชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไป แต่เขาก็รู้ดีว่าคนตรงหน้าผู้นี้คือคนที่เขาอยากจะพบ
มู่เฉียนซีละสายตาไปจากใบหน้าอันสมบูรณ์แบบนั้นและกล่าวว่า “อืม! คารวะท่านหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน”
ตัวตนถูกเปิดเผยเช่นนี้แล้วก็ทำให้กู้ไป๋อีตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน เขาทำได้แค่กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ซีเอ๋อร์…”
มู่เฉียนซีเอามือลูบคางตนเองพลางกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าตอนนั้นคนที่ใช้คนอื่นตามใจชอบราวกับคนอื่นเป็นทาสก็คือหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน ตอนนี้ข้ามาอยู่ในฐานที่มั่นของเจ้าแล้ว คิด ๆ ดูแล้วก็น่ากลัวมาก! เจ้ารอโอกาสนี้เพื่อที่จะแก้แค้นใช่หรือไม่ ท่านหัวหน้าตำหนัก!”
กู้ไป๋อีตอบ “ไม่!”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะโกหกเจ้า” กู้ไป๋อีอธิบาย
“แต่นั่นก็เป็นความตั้งใจของเจ้า” มู่เฉียนซีแย้ง
“เจ้าไม่ชอบตำหนักเป่ยหาน ข้าก็เลย…” โกหกก็คือโกหก กู้ไป๋อีก็เป็นคนที่อธิบายไม่เก่ง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว กู้ไป๋อีก็ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม “แล้วแต่เจ้าจะลงโทษก็แล้วกัน”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “เหอะ ๆ ๆ! แล้วแต่ข้าจะลงโทษ เจ้าเป็นถึงหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศเชียวนะ ข้าจะกล้าได้ยังไง”
“ตราบใดที่เจ้าต้องการก็ได้ทั้งนั้น!”
มู่เฉียนซีขยับเข้าไปใกล้เขาและกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าก็เชื่อฟังข้าเกินไปแล้วกระมัง! เจ้าทำเช่นนี้ ข้าจะโกรธก็โกรธเจ้าไม่ลง”
ได้ยินคำเรียกนี้ของมู่เฉียนซี นี่เป็นคำเรียกที่มีประวัติที่ไม่อยากให้มีใครรู้ของเขา แต่กู้ไป๋อีกลับยิ้มขึ้นแล้ว
มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ดูน่าหลงใหลงดงามราวกับดอกบัวหิมะที่เบ่งบานสะพรั่งอยู่บนยอดเขาสูงภายใต้แสงสุริยาก็มิปาน
“เจ้ายิ้มอะไรของเจ้า ข้ายังโกรธเจ้าอยู่นะ!”
นางคิดได้แล้ว เสี่ยวไป๋ก็ยังคงเป็นเสี่ยวไป๋คนเดิม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวตนที่เป็นหัวหน้าตำหนักเป่ยหานนั่น!
นางเข้าใจเขา เรื่องชั่วร้ายเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแน่นอน ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน แต่เรื่องของอารองคาดว่าเขาก็คงไม่รู้เรื่อง
ใบหน้าของกู้ไป๋อีสงบลง ได้เจอนางอีกครั้งเขารู้สึกตื่นเต้นมาก แต่ตอนนี้สีหน้าของคนตรงหน้าไม่ค่อยจะปกตินัก อีกทั้งเมื่อครู่…
หากไม่เกิดเรื่องขึ้น ต่อให้นางเข้ามาอยู่ในตำหนักเป่ยหานก็ไม่มีทางเอาป้ายคำสั่งออกมาง่าย ๆ แน่
กู้ไป๋อีกล่าวถามว่า “ซีเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บเหรอ”
มู่เฉียนซีพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่! บาดเจ็บนิดหน่อย อีกอย่างตาเฒ่านั่นก็จะฆ่าข้า ตอนแรกข้าก็แค่เอาป้ายคำสั่งของเจ้าออกมาเพื่อรักษาชีวิตเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะทำให้ข้าประหลาดใจได้ถึงเพียงนี้ ท่านหัวหน้าตำหนัก”
“ไปรักษาตัวในตำหนักข้าก่อน อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย!”
ภายในชั่วพริบตาเดียวกู้ไป๋อีก็พามู่เฉียนซีไปทันที
เขารู้ว่านางไม่เห็นนักปรุงยาของตำหนักเป่ยหานอยู่ในสายตา ดังนั้นจึงสั่งคนให้เอาสมุนไพรวิญญาณมาให้นางเลือก
ทุกคนรู้ว่าท่านหัวหน้าตำหนักที่เก็บตัวฝึกบำเพ็ญอยู่ออกจากการบำเพ็ญแล้ว แต่พลังความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมานั้นกลับทำให้พวกเขาสั่นเทาขึ้น ทุกคนในตำหนักเป่ยหานล้วนแต่รู้สึกได้ถึงอันตราย
ถึงแม้ว่าสีหน้าของกู้ไป๋อีจะดูเหมือนไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึก แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าหัวหน้าตำหนักตอนนี้โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่ากู้ไป๋อีจะไม่สนใจเรื่องต่าง ๆ แต่ในฐานะที่เป็นหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน หากต้องการรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ง่ายมากที่จะรู้
นายน้อยเจ็ด นายน้อยหก และนายน้อยห้าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ธิดาศักดิ์สิทธิ์อวี้ปิงชิง ผู้อาวุโสห้า พวกเขาคุกเข่าลงอยู่ด้านหน้าสุด
ส่วนผู้อาวุโสอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นทั้งหมดก็คุกเข่าลงเช่นกัน
กู้ไป๋อีเป็นหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน แต่ไม่เคยมีผู้ใดเหยียบหัวเขามาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยจัดการลงโทษผู้ใดมาก่อน
วันนี้เป็นครั้งแรกเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตเช่นนี้!
กู้ไป๋อีเหลือบมองผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่ข้าง ๆ “ผู้อาวุโสสูงสุด จะจัดการเช่นไรกับคนเหล่านี้!”
“เจ้าเจ็ด เจ้าหกก็ทำไปเพื่อการประลองยุทธ์เท่านั้น ไม่ได้มีความผิดอันใด เจ้าห้าใช้ยาลูกกลอนเพิ่มพลังวิญญาณในการประลองยุทธ์ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ตอนนี้เขาก็ได้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้ว ขังเขาไว้ให้ทบทวนความผิดเป็นเวลาสามปี”
“แค่นี้เหรอ?” แสงเย็นวาบผ่านดวงตาของกู้ไป๋อี
“พวกเจ้าทั้งสอง ไปขังตัวเองที่ผาเฮยหานเป็นเวลายี่สิบปี ส่วนเจ้าห้าสิบปี” นายน้อยเจ็ด นายน้อยหก และนายน้อยห้าได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจแทบจะเป็นลมหมดสติไป
.