การคัดเลือกประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหาน! มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง
เพิ่งจะพูดถึงเรื่องนี้เพียงไม่กี่วัน ตอนนี้ก็จะเริ่มขึ้นแล้วเหรอ ตาเฒ่าพวกนั้นรวดเร็วจริง ๆ
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าเข้าร่วมแน่นอน”
กู้ไป๋อีได้ยินเช่นนี้ก็หันไปมองมู่เฉียนซี “ซีเอ๋อร์อยากเป็นประมุขน้อยของตำหนัก แค่บอกข้า ข้าประกาศออกไปก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นเลย”
มู่เฉียนซี “นี่เป็นคำสั่งของเบื้องบนคนที่เหนือกว่าเจ้า หากเจ้าไม่ฟัง เกรงว่าเจ้าจะมีปัญหาได้! ตาเฒ่าพวกนั้นต้องการให้ศิษย์ของพวกเขามาร่วมการคัดเลือกนี้เพื่อที่จะได้เป็นประมุขน้อยของตำหนักไม่ใช่เหรอ?”
“ข้าไม่ยอมให้ตาเฒ่าพวกนั้นสมปรารถนาหรอก คนพวกนั้นต้องการตำแหน่ง เสี่ยวไป๋ เจ้ามันช่างไม่รู้จักความสนุกเอาซะเลย หากแย่งชิงมามันจะสนุกกว่าไม่ใช่เหรอ?” มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้น
กู้ไป๋อี้มองดูท่าทางดื้อรั้นนั้นของนางและกล่าวว่า “อีกห้าคนที่เหลือนั่นพลังแข็งแกร่งกว่าสามคนนั้นมาก ตอนนี้พลังของเจ้ายังฟื้นฟูกลับมาไม่หมด ข้ากลัวว่าเจ้าจะเป็นอันตราย”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นได้โปรดท่านหัวหน้าตำหนักชี้แนะทักษะกระบี่ให้ข้าด้วย อย่างไรเสียกระบี่มังกรเพลิงของข้าก็เอาออกมาใช้ไม่ได้แล้ว”
“ตกลง!”
“แต่จะว่าไปแล้ว ต่อให้พลังวิญญาณจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ข้าก็จะเล่นงานพวกนั้นให้หมดหนทางได้อย่างแน่นอน”
จนกระทั่งตอนนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดและพวกก็ล้วนแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาการของนายน้อยห้า
พวกเขาครุ่นคิดจนสมองแตกก็คิดไม่ออกว่าหลังจากที่นางรู้ว่าเจ้าหมอนั่นใช้ยาน้ำพุโลหิตเข้าไป ในขณะที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นนางได้ใช้ยาชนิดหนึ่งที่ทำให้ยาน้ำพุโลหิตเสียการควบคุม จากนั้นก็ใช้ทักษะวิญญาณพลังธาตุวารีสาดกระทบร่างของเขา
เป็นผลทำให้นายน้อยห้ากลายเป็นคนไร้ประโยชน์เช่นนี้!
หญิงสาวตรงหน้ามีท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยมที่จะชนะ กู้ไป๋อีกล่าว “ซีเอ๋อร์ สู้ ๆ ล่ะ!”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!” มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว
ข่าวที่มู่เฉียนซีได้ลงสมัครก็แพร่สะพัดออกไปแล้ว “มู่หรงเฉียนเยี่ยก็ลงสมัครเข้าร่วมการคัดเลือกในครั้งนี้ด้วย”
“เขาเป็นถึงคนที่ทำให้นายน้อยห้าพ่ายแพ้เชียวนะ! อาจจะมีโอกาสคว้าตำแหน่งประมุขน้อยของตำหนักไปก็ได้”
“ที่เอาชนะพวกเขาได้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญก็เท่านั้น เมื่อเทียบกับนายน้อยสามและพวกแล้ว ยังห่างชั้นกันมาก!”
หลังจากสมัครเสร็จ มู่เฉียนซีก็ไปฝึกทักษะกระบี่กับกู้ไป๋อี
จากนั้นพลังก็ถึงขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับหก อีกเพียงเล็กน้อยก็สามารถทะลวงระดับเจ็ดและฟื้นฟูพลังวิญญาณกลับมาดังเดิมได้แล้ว
ในวันที่การคัดเลือกเริ่มขึ้น ท่านหัวหน้าตำหนักผู้ที่หาตัวได้ยากท่านนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาร่วมชมการคัดเลือกในครั้งนี้ด้วยตัวเอง ทุกคนต่างก็ตกตะลึงจนเกิดความโกลาหลขึ้น!
“พระเจ้าช่วย! นึกไม่ถึงเลยว่าท่านหัวหน้าตำหนักจะมาชมการคัดเลือกนี้ด้วย”
“ท่านหัวหน้าตำหนักไม่เคยเข้าชมการคัดเลือกอะไรมาก่อนเชียวนะ!”
“……”
อวี้ปิงชิงที่อยู่ไม่ไกลกับพวกเขามองไปทางกู้ไป๋อี ท่านหัวหน้าตำหนักก็มาแล้ว!
ครั้งนี้นางจะทำให้ท่านหัวหน้าตำหนักเห็นว่าฝีมือของนางนั้นเก่งกาจเพียงใด เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะไม่มีทางมองคนอื่นแน่นอน
เมื่อการคัดเลือกเริ่มขึ้น บรรดานายน้อยกับอดีตธิดาศักดิ์สิทธิ์อวี้ปิงชิงในฐานะที่เป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสก็ได้เข้าสู่รอบชิง แต่มู่เฉียนซีกลับต้องเข้าร่วมการประลองรอบก่อนตัดสิน
ผู้อาวุโสสูงสุดรับรู้ได้ถึงสายตาอันเย็นยะเยือกที่จ้องมองมาที่ตน เขาจึงกล่าวถาม “ท่านหัวหน้าตำหนัก ไม่ทราบว่าจะมีคำสั่งใดหรือไม่?”
“ยกเว้นการประลองรอบก่อนตัดสินซะ!”
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “หากทำเช่นนี้มันจะเป็นการทำผิดกฎนะขอรับ! หากมู่หรงเฉียนเยี่ยเป็นศิษย์สายตรงของท่าน เขาก็ไม่ต้องเข้าร่วมการประลองรอบก่อนการตัดสินก็ได้! แต่ท่านหัวหน้าตำหนักไม่เคยประกาศมาก่อนว่าเขาเป็นศิษย์สายตรงของท่าน”
กู้ไป๋อีไม่อยากให้ระหว่างเขากับนางเป็นอาจารย์เป็นลูกศิษย์กันแม้แต่น้อย จะเป็นปลอม ๆ ก็ไม่ได้ เขาจึงไม่ได้ประกาศความสัมพันธ์ออกไป
“วิชากระบี่ของเขา ข้าเป็นคนสอนเอง เจ้าคิดว่ายังจำเป็นต้องเข้าร่วมการประลองเช่นนี้อีกอย่างนั้นเหรอ?”
“เอ่อ…ท่านหัวหน้าตำหนักเป็นคนสอนทักษะกระบี่ด้วยตัวเอง ทักษะกระบี่ของมู่หรงเฉียนเยี่ยจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน คนธรรมดาทั่วไปก็ไม่สามารถเทียบได้ แต่กฎ…”
“ไม่ได้ การคัดเลือกนี้ก็ยกเลิกเสีย! ไม่ต้องประลองแล้ว” ดวงตาของกู้ไป๋อีเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก
ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกปวดหัวแทบจะระเบิดเพราะปัญหาที่ยากจะแก้ได้นี้ ถึงแม้ว่ากู้ไป๋อีจะไม่มีอำนาจที่แท้จริง แต่เขาก็เป็นหัวหน้าตำหนัก!
เมื่อท่านหัวหน้าตำหนักวุ่นวายเช่นนี้ ทำให้เขารับมือไม่ถูกเลยจริง ๆ
ฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของเขานี้ก็ไม่ได้เหนือกว่าท่านหัวหน้าตำหนัก พลังก็แข็งแกร่งสู้ท่านหัวหน้าตำหนักไม่ได้ เช่นนี้จะทำเช่นไรดี?
ผู้อาวุโสสูงสุดทำได้เพียงแค่ต้องยอม เขากล่าว “ลูกน้องไม่อาจขัดคำสั่งได้ ข้าน้อยจะออกคำสั่งลงไปว่ามู่หรงเฉียนเยี่ยไม่จำเป็นต้องเข้าประลองในรอบก่อนตัดสิน!”
ผู้อาวุโสสูงสุดจากไปด้วยความรีบร้อน มู่เฉียนซีกล่าวหยอกล้อว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้านี่ช่างเป็นหัวหน้าตำหนักที่ทำให้คนอื่นไม่มีทางเลือกจริง ๆ เลยนะ! เจ้าดูผู้อาวุโสสูงสุดสิ จะร้องไห้แล้ว”
กู้ไป๋อีกล่าวอย่างจริงจังว่า “ต้องขอบคุณคุณหนูใหญ่มากที่แนะนำ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม”
“เสี่ยวไป๋ เจ้านี่นะ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเยาะเย้ยข้า” มู่เฉียนซีจ้องเขาเขม็งพลางกล่าว
“ก็ข้าพูดความจริงหนิ!”
มู่เฉียนซีมองเขาอย่างพิจารณา ก็จริงอย่างที่เขาว่า!
เสี่ยวไป๋ในเมื่อก่อนเป็นบุรุษที่เย็นชามากผู้หนึ่ง เคลื่อนไหวดุจดั่งภูเขาน้ำแข็ง ราวกับบุปผาบนยอดเขาสูงที่ทำให้ผู้คนต้องเงยหน้ามอง
สิ่งใดคือการวุ่นวาย! สิ่งใดคือการทำตามอำเภอใจ! ไร้เหตุผล! ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย ทว่าในตอนนี้…
มู่เฉียนซีเอามือกุมหน้าผากพลางกล่าว “นี่ข้ากระทำบาปร้ายแรงอยู่หรือไม่?”
กู้ไป๋อียิ้มเล็กน้อย “ก็เพราะว่าข้าพบว่าการกระทำของซีเอ๋อร์มีผลต่อตาเฒ่าเหล่านั้นมากยังไงล่ะ”
รอยยิ้มของบุรุษรูปงามนั้นสามารถล่มบ้านล่มเมืองได้เลย ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็หลงใหลเป็นอย่างยิ่ง
“ขะ ข้า เหมือนจะเห็นว่าท่านหัวหน้าตำหนักยิ้มนะ”
“พระเจ้าช่วย! นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าท่านหัวหน้าตำหนักจะยิ้มเป็นด้วย นี่ข้ากำลังฝันไปหรือไม่”
“ท่านหัวหน้าตำหนักยิ้มกับมู่หรงเฉียนเยี่ยเหรอ! ท่านหัวหน้าตำหนักกับมู่หรงเฉียนเยี่ยคงจะสนิทกันมาก”
รอยยิ้มนั้นทำให้ผู้คนต่างหลงใหล!
อวี้ปิงชิงก็ไม่อาจปิดบังความอิจฉาริษยาในใจเอาไว้ได้ เมื่อคิดว่ามู่หรงเฉียนเยี่ยสามารถพูดเล่นหัวเราะสนุกสนานกับท่านหัวหน้าตำหนักได้ เมื่อคิดว่าเขาสามารถอยู่ใกล้รอยยิ้มนั้นของท่านหัวหน้าตำหนักได้ นางก็เริ่มอิจฉาริษยาอย่างบ้าคลั่ง!
นางจะต้องทำให้เจ้ามู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นี้หายสาบสูญไปให้จงได้ ยิ่งเห็นเขาอยู่ใกล้ท่านหัวหน้าตำหนักมากเท่าไร นางก็แทบจะทนไม่ไหวมากขึ้นเท่านั้น
การประลองได้เริ่มขึ้นแล้ว ศิษย์ธรรมดาทั่วไปในตำหนักเป่ยหานล้วนแต่ลงสมัครเข้าร่วมกันทั้งสิ้น และการคัดเลือกเป็นไปอย่างดุเดือดมาก
หลังจากการประลองผ่านไปเป็นครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็คัดเลือกผู้เข้ารอบทั้งสิบคนออกมาได้
มู่เฉียนซีกวาดสายตามอง นายน้อยทั้งเจ็ดของตำหนักเป่ยหาน ตกอับไปแล้วสามคน ถูกกักขังและไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการคัดเลือกในครั้งนี้ ฉะนั้นยังมีอีกสี่คน แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ปรากฏตัวออกมา
ดูท่า การประลองในรอบตัดสินของวันพรุ่ง พวกเขาถึงจะปรากฏตัว
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “การประลองวันนี้จบลงแล้ว เสี่ยวไป๋ เรากลับกันเถอะ!”
“อืม!” พลันนั้นพวกเขาก็อันตรธานหายไปจากสถานที่ประลองอย่างรวดเร็วที่สุด
เมื่อเห็นร่างในชุดขาวนั้นหายไป อวี้ปิงชิงก็กำหมัดแน่นขึ้น
อีกไม่นาน มู่หรงเฉียนเยี่ยจะต้องหายสาบสูญไป เมื่อนั้นนางก็จะสามารถอยู่ในตำหนักของท่านหัวหน้าตำหนัก และได้อยู่ด้วยกัน ไปไหนด้วยกันกับท่านหัวหน้าตำหนักได้แล้ว
วันรุ่งขึ้นถึงจะเป็นการประลองสนามสำคัญของการคัดเลือกประมุขน้อยแห่งตำหนักที่แท้จริง มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อียังมาไม่ถึง นายน้อยทั้งสี่ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างงดงาม
เสื้อผ้าอาภรณ์สีขาวที่ดูคล้ายกัน แต่ละคนล้วนแต่เย็นชาราวกับกระบี่ที่ไร้ซึ่งความปรานีก็มิปาน
“นายน้อยใหญ่ นายน้อยรอง นายน้อยสาม นายน้อยสี่มาถึงแล้ว ช่างดูมีสง่าราศียิ่งนัก”
“แค่พวกเขายืนอยู่ตรงนั้นเฉย ๆ ก็ทำให้คนอื่นหวาดกลัวจนตัวสั่นได้แล้ว! แข็งแกร่งกว่านายน้อยห้าเสียอีก”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหากมู่หรงเฉียนเยี่ยรับมือกับพวกเขาแล้วจะมีโอกาสชนะมากเพียงใด!”
เมื่อได้ยินคำพูดของคนเหล่านั้นแล้ว นายน้อยสี่ก็กล่าวอย่างเย้ยหยันขึ้นว่า “เจ้ามู่หรงเฉียนเยี่ยนั่นเอาชนะพวกไร้ประโยชน์ เจ้าห้า เจ้าหกนั่นได้ก็คิดจะครองตำแหน่งประมุขน้อยของตำหนักเป่ยหานแล้วงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!”
ในตอนนี้เอง อวี้ปิงชิงก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาและกล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์คารวะศิษย์พี่ทั้งสี่”
.
.