ซวนอีกล่าว “เพราะนายน้อยฝืนใช้ทักษะลับ ร่างกายจึงรับไม่ไหวจนได้รับบาดเจ็บสาหัส! หากท่านหัวหน้าตำหนักไม่ลงมือยับยั้งก็คงจะไม่รอดมาจนถึงวันนี้ แต่อย่างไรอาการของนายน้อยในตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยจะดีนัก ร่างกายอ่อนแอมาก ยากที่จะไปต่อได้”
“นักปรุงยาทั่วทั้งแดนตะวันออกต่างก็ไร้หนทาง และคนที่ข้านึกออกมีเพียงแค่คนเดียวก็คือท่านหมอปีศาจ”
มู่เฉียนซีกล่าว “หากไม่ได้ดูอาการของเขาให้เห็นกับตาก็ไม่มีใครสั่งยาให้เขาได้ และต่อให้ข้าติดต่อกับหมอปีศาจได้ เจ้าจะให้เขาเอาตัวเองไปติดแหที่ตำหนักตงจี๋อย่างนั้นเหรอ?”
ตอนนี้ไป๋อู๋ห่ายตามหามู่เฉียนซีจนแทบจะพลิกดินแดนสี่ทิศอยู่แล้ว หากเขาจับตัวหมอปีศาจได้ เขาก็สามารถใช้หมอปีศาจมาเป็นตัวต่อรองแน่นอน
ซวนอีนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “แล้วจะทำเช่นไรดี?”
“จะทำเช่นไรได้ล่ะ ก็คงต้องให้อวิ๋นซิวมาที่ตำหนักเป่ยหานแล้ว! ในตำหนักเป่ยหาน คนของไป๋อู๋ห่ายไม่มีทางกล้าบุ่มบ่ามลงมือเป็นอันขาด”
ซวนอีกล่าว “นายน้อยไม่ยอมแน่!”
“ไม่ยอม! อาการของเขากำลังแย่ ไม่อยากรักษาเหรอ?”
“ใช่! นายน้อยไม่อยากรักษา เหมือนกับกำลังลงโทษตัวเองอยู่ พวกข้าเป็นลูกน้อง ไม่อาจโน้มน้าวนายน้อยได้”
มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจนิ่งอึ้งไป ลงโทษตัวเองเหรอ?
ยังดี ๆ อยู่เลย เหตุใดต้องลงโทษตัวเองด้วย หรือเป็นเพราะว่าเขาปล่อยนางมา ก็เลยรู้สึกผิดกับสตรีที่ตนเองรักอย่างนั้นเหรอ?
ตั้งแต่ได้รู้จากปากของเสี่ยวเหลิ่งว่าบทบาทของมู่หลินหลางนั้นไม่ธรรมดา การที่อวิ๋นซิวหลงรักนางนั้น ช่างเป็นเคราะห์หามยามร้ายของเขาจริง ๆ
“สมองกลวงไปแล้วหรือยังไง!” มู่เฉียนซีสบถด่าขึ้นด้วยความไม่พอใจ
ถึงแม้ว่าปากนางจะด่า แต่นางก็ไม่อาจปล่อยให้สหายของตนเองตายโดยที่ไม่ช่วยได้
“งั้นก็ตีหัวเขาแล้วลากตัวมาที่นี่! อย่ามาบอกข้าว่าเจ้าไม่อาจแหกกฎทำความผิดได้ นายน้อยของเจ้าสำคัญหรือว่ากฏเหล่านั้นสำคัญล่ะ?”
ซวนอีก้มหน้าลงพลางกล่าว “ถึงแม้ว่านายน้อยจะได้รับบาดเจ็บอยู่ แต่ด้วยพลังความแข็งแกร่งของพวกข้า การจะตีนายน้อยแล้วเอาตัวมามันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และหากลงมือหนัก ๆ เกรงว่า…”
“พอ ๆ ๆ! ดูท่าเรื่องนี้พวกเจ้าจะจัดการไม่ได้แล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวตัดบทเขา
มู่เฉียนซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าคิดจะแอบฟังไปถึงเมื่อไหร่?”
เสี่ยวไป๋? มีคนอยู่แถวนี้เหรอ นึกไม่ถึงว่าเขาจะรับรู้ไม่ได้
ซวนอีระมัดระวังตัวขึ้นแล้ว แต่เมื่อเขาได้เห็นร่างของบุรุษผู้ดุจดั่งเทพผู้นั้นปรากฏตัวขึ้น เขาก็ตกตะลึงพรึงเพริดจนตาค้าง!
“หะ หัว หัวหน้าตำหนักเป่ยหาน!”
“ซวนอีคารวะท่านหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน!”
ซวนอีนึกไม่ถึงเลยว่าชื่อเสี่ยวไป๋นี้จะมีความเกี่ยวข้องกับยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศอย่างหัวหน้าตำหนักเป่ยหานกู้ไป๋อี!
เจ้าเด็กผู้นี้ช่างไร้เหตุผลจริง ๆ เลย กล้าเรียกท่านหัวหน้าตำหนักเป่ยหานเช่นนี้ได้ยังไง
มู่เฉียนซีมองไปที่กู้ไป๋อี และกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ ช่วยข้าสักเรื่องได้หรือไม่ ตีเฟิงอวิ๋นซิวให้สลบแล้วส่งไปที่หอหมอปีศาจให้ข้าหน่อย”
ซวนอีและพวกจัดการไม่ได้ เสี่ยวไป๋เป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศ คงสามารถจัดการได้กระมัง!
ซวนอีตกตะลึงขึ้นอีกครั้ง นี่เขา…นี่เขาจะให้หัวหน้าตำหนักเป่ยหานไปตีหัวนายน้อยอย่างนั้นเหรอ
ถึงแม้ว่านายน้อยของพวกเขาจะไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศลงมือหรอกกระมัง!
เขาคิดว่ากู้ไป๋อีจะกล่าวปฏิเสธอย่างเย็นชาเสียอีก กลับนึกไม่ถึงเลยว่ากู้ไป๋อีจะพยักหน้าตอบรับอย่างง่ายดาย
กู้ไป๋อีมองมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “ข้าปิดบังเรื่องเฟิงอวิ๋นซิว เจ้าไม่โกรธข้าเหรอ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “โกรธเหรอ ข้าไม่โกรธเจ้าหรอกเสี่ยวไป๋ แต่ในเมื่อเจ้าสารภาพมาเช่นนี้แล้ว ก็บอกเหตุผลข้ามาสักหน่อยเถอะ!”
กู้ไป๋อีกล่าว “เพราะเฟิงอวิ๋นซิวเป็นคนตระกูลเฟิง”
สีหน้าซวนอีเคร่งขรึมขึ้น เขาก็รู้ด้วย
“ไม่ว่าเฟิงอวิ๋นซิวจะเป็นสหายที่ดีต่อเจ้ามากมายเพียงใด ตราบใดที่เขาเป็นคนตระกูลเฟิง เพียงแค่มีคำสั่งลงมา เขาก็จำต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง”
นั่นก็คือการแย่งชิงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เป็นศัตรูกับนาง แม้กระทั่งต้องการชีวิตของนาง
ตามหลักเหตุผลแล้ว ตอนนั้นเขาไม่ควรช่วยเฟิงอวิ๋นซิว และยังต้องฆ่าเขาด้วยซ้ำเพื่อกำจัดภัยคุกคามนี้
แต่เพราะนาง เขาจึงไม่ได้ลงมือฆ่าเฟิงอวิ๋นซิว!
ซวนอีกลัวมู่หรงเฉียนเยี่ยจะล้มเลิกความคิดที่จะช่วย แต่อย่างไรเสียเขาก็รู้ดีว่าเจ้าหนุ่มตรงหน้าผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับมู่เฉียนซี
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาขอร้องให้มู่หรงเฉียนเยี่ยช่วย มู่หรงเฉียนเยี่ยก็รีบไปเชิญมู่เฉียนซีในทันที
ส่วนมู่เฉียนซีในตอนนี้ยังไม่เข้าใจว่าการมีตระกูลนั้นแสดงให้เห็นถึงสิ่งใด มีความหมายใดแฝงอยู่ แต่นางกลับรู้ดีว่าสิ่งที่เสี่ยวไป๋กล่าวมานั้นเป็นความจริงแน่นอน
นางกล่าวเสียงขรึมว่า “ข้าเข้าใจ แต่ว่าตอนนี้เขากำลังลำบาก และข้าไม่อาจทำตัวเป็นคนหูหนวกตาบอดได้! ตอนที่สู้รบกันที่เมืองตงจี๋ เขายืนอยู่ฝ่ายข้า”
มู่เฉียนซีกล่าวกับพวกเขาว่า “เรื่องนี้จะรอชักช้าอยู่ไม่ได้ รีบไปเอาตัวเขามาเถอะ!”
“พวกเจ้ารอก่อน ข้าจะไปเตรียมของบางอย่างให้พวกเจ้า คงจะช่วยให้จัดการได้ง่ายไม่น้อย”
สีหน้าของซวนอีตกตะลึงขึ้น เห็น ๆ กันอยู่ว่ากู้ไป๋อีเล่าเรื่องราวให้เขาฟังอย่างชัดเจนแล้ว แต่เขายังตอบตกลงที่จะช่วย
กู้ไป๋อีกล่าวเสียงต่ำว่า “เพราะว่าเขามองเฟิงอวิ๋นซิวเป็นคนสำคัญเหมือนกับคนอื่น ไม่ว่าต่อไปภายภาคหน้าจะต้องเป็นศัตรูหรือสหายกันก็ตาม ตอนนี้เขาขอแค่ได้ช่วยด้วยใจจริง”
หลังจากที่มู่เฉียนซีเตรียมของบางอย่างให้พวกเขาเสร็จสิ้น กู้ไป๋อีก็ไปกับซวนอี
ทันทีที่พวกเขาออกไป เยวี่ยเจ๋อก็ส่งคนมาแจ้งข่าว มีข่าวของผลวิญญาณหัวใจซ่อนเร้นแล้ว เป็นหนึ่งในสามชนิดของสมุนไพรขั้นปฐพีที่จะหลอมยาหยินหยางอนันต์
เสี่ยวไป๋ไม่อยู่เช่นนี้ แน่นอนว่ามู่เฉียนซีไม่ออกไปอย่างโจ่งแจ้งแน่นอน
นางเอ่ยปากกล่าวว่า “สั่งออกไปว่าข้าจะเก็บตัวฝึกบำเพ็ญเป็นเวลาหนึ่งเดือน! ห้ามใครหน้าไหนมารบกวนข้าเป็นอันขาด!”
หลิงกล่าว “ซีเอ๋อร์ ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า!”
มู่เฉียนซีกล่าว “อารอง ประมุขน้อยเฉียนเยี่ยกำลังเก็บตัวฝึกบำเพ็ญอยู่นะ! ท่านเฝ้าที่นี่เอาไว้ให้ข้า ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
“ข้ายังมีชิงอิ่ง!” พลันนั้นร่างในชุดสีเขียวก็ปรากฏขึ้นข้างกายมู่เฉียนซี
ทันทีที่นึกได้ว่าเจ้าหมอนี่อยู่ข้างกายหลายสาวผู้เป็นที่รักของตนตลอดเวลา หลิงก็อดที่จะหวงไม่ได้
“เจ้าท่อนไม้ผู้นี้ดีกว่าอารองของเจ้าอย่างนั้นเหรอ?”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “อารองก็ดีมาก รอให้ข้ากำจัดสิ่งต้องห้ามในร่างอารองให้ได้ก่อน ต่อไปไม่ว่าอารองอยากทำสิ่งใดก็สามารถทำได้อย่างที่อารองต้องการ! แต่ตอนนี้อารองต้องเชื่อฟังข้านะ”
“ก็ได้ อารองเชื่อซีเอ๋อร์”
ชิงอิ่งพามู่เฉียนซีออกไปจากตำหนักเป่ยหานโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้เห็น จากนั้นพวกเขาก็ไปยังหอหมอปีศาจ
มู่เฉียนซีแปลงร่างแล้ว นานแล้วที่นางไม่ได้ใช้รูปร่างหน้าตาของตัวเอง
นางมองไปที่เยวี่ยเจ๋อพลางกล่าว “ผลวิญญาณหัวใจซ่อนเร้นอยู่ที่ใด?”
เยวี่ยเจ๋อตอบ “ผลวิญญาณหัวใจซ่อนเร้นอยู่ในหุบเขาปีกสวรรค์กองกำลังระดับสองครึ่ง ที่พวกเขาเผยแพร่ข่าวนี้ออกมาก็เพราะว่าต้องการเรียกรวมตัวนักปรุงยา หากสามารถรักษาคนสำคัญให้หายได้ ก็จะได้รับผลวิญญาณหัวใจซ่อนเร้นเป็นการตอบแทน”
มู่เฉียนซีกล่าว “ถึงแม้ว่าผลวิญญาณหัวใจซ่อนเร้นจะไม่ใช่สมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์ แต่มันก็มีค่าไม่ต่ำไปกว่าสมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์เลย การเอาผลวิญญาณหัวใจซ่อนเร้นมาเป็นสิ่งตอบแทนเช่นนี้ก็เท่ากับขูดเลือดขูดเนื้อตัวเองแล้ว ส่งข่าวไปที่พวกเขาว่าหอหมอปีศาจของเราก็จะส่งนักปรุงยาไป ผลวิญญาณหัวใจซ่อนเร้นนี้พวกเราจะต้องเอามาให้ได้!”
เยวี่ยเจ๋อกล่าว “พี่ใหญ่! แล้วเราจะส่งใครไป หรือว่าจะให้จวินโม่ซีกลับมาหรือไม่?”
ผลวิญญาณหัวใจซ่อนเร้นมีความสำคัญกับพี่ใหญ่มาก จะพลาดไปไม่ได้เด็ดขาด และหอหมอปีศาจของพวกเขาก็ต้องส่งผู้ที่ฝีมือเก่งกาจไปแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้านี่นะ จะไปเรียกตัวคนไกลทำไมล่ะ! หรือว่าเจ้าคิดว่าพี่ใหญ่ของเจ้าจะสู้เจ้าตะกละจวินโม่ซีนั่นไม่ได้”
“ไม่ได้เด็ดขาด! พี่ใหญ่จะไปไม่ได้เด็ดขาด! ตอนนี้คนพวกนั้นกำลังพลิกแผ่นดินตามหาตัวพี่ใหญ่อยู่ หากพี่ใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมันจะเป็นอันตรายไม่น้อย จะต้องมีพวกคนบ้าคลั่งมาแย่งชิงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เป็นแน่” สีหน้าของเยวี่ยเจ๋อพลันเปลี่ยนไป ตอนนี้พี่ใหญ่ของพวกเขาเป็นอาหารชั้นเลิศอันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศก็ว่าได้! เสน่ห์ของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั้นไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกแม้แต่น้อย