มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เยี่ยมไปเลย!”
ในขณะที่นางกำลังเขย่าลูกเต๋าอยู่นั้น จู่ ๆ ก็รับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งพลังหนึ่งพัดกระโชกเข้ามา
ครั้งนี้ดูเหมือนว่าอินรั่วเฉินจะทุ่มหมดหน้าตักแล้วจริง ๆ ดังนั้นมู่เฉียนซีจึงแผ่ซ่านพลังจิตออกมาเช่นกัน
นักพนันคนอื่น ๆ ที่เดิมทีจะลงพนัน แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว
สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนซีดเผือดและถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว ถอยไป ถอยไป และถอยไปเรื่อย ๆ!
มอบสนามรบนี้มอบให้กับมู่เฉียนซีและอินรั่วเฉินแล้ว
พลังจิตของทั้งสองปะทะกัน ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายขึ้น
สมกับที่เป็นโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นเทพฟ้านอินจริง ๆ พลังจิตนี้ต้องเป็นพลังจิตที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนสี่ทิศแน่นอน
พลังจิตของไป๋อู๋ห่ายก็สู้เขาไม่ได้ แม้แต่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศอย่างเสี่ยวไป๋ก็สู้เขาไม่ได้
หากไม่ใช่เพราะนางถูกบีบบังคับให้พลังเพิ่มขึ้นจากการอ่านคัมภีร์หมื่นคำสาปมาแล้วละก็ เกรงว่าการเผชิญหน้ากับเขาในวันนี้ นางต้องสู้เขาไม่ได้แน่นอน
หลังจากการต่อสู้ทางพลังจิตไปครั้งหนึ่ง สีหน้าของอินรั่วเฉินก็เริ่มซีดขาวขึ้นแล้ว!
ในท้ายที่สุดเขาก็เก็บพลังจิตกลับมา มู่เฉียนซีวางกล่องลูกเต๋าลงอย่างงดงาม ก่อนจะกล่าวถามว่า “หัวหรือก้อย?”
“หัว!” อินรั่วเฉินพนันหัว
ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายขึ้น และนางก็พบว่าหลังจากที่อินรั่วเฉินเอาพลังจิตกลับไปนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะยังมีพลังจิตส่วนหนึ่งเหลืออยู่บนกล่องลูกเต๋า
เพียงแต่ว่าการแอบซ่อนของเขามันยอดเยี่ยมเกินไปจริง ๆ นึกไม่ถึงเลยว่านางจะรับรู้ไม่ได้
แต่สำหรับการพนันแล้ว ก็ยังนับว่าอินรั่วเฉินนั้นอ่อนด้อยเกินไป
มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นนางก็ยกกล่องลูกเต๋าขึ้น
ทุกคนจ้องมองไปที่กล่องลูกเต๋านั้นอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขารู้สึกสงสัยมากว่าชายหนุ่มรูปงามผู้นี้จะสามารถเอาชนะในตาสุดท้ายได้หรือไม่?
สุดท้าย ในกล่องก็ไม่มีลูกเต๋าอยู่แล้ว แต่มีเศษผงบางส่วนอยู่!
มู่เฉียนซีกล่าว “เป็นศูนย์ เจ้าแพ้อีกแล้ว! ลูกประคำนี้เป็นของข้าแล้ว”
ทุกคนต่างก็เกิดความโกลาหลขึ้น นี่มัน…
“แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ!”
“ทำได้ยังไงกันนะ!”
“……”
ถึงแม้ว่าจะแพ้พนันจนหมดตัว แต่อินรั่วเฉินก็ยังไม่เผยความโกรธเกรี้ยวออกมาแม้แต่น้อย
เขามองมู่เฉียนซีและยิ้มราวกับดีใจกับมู่เฉียนซีที่ชนะพนันในครั้งนี้
มู่เฉียนซีกล่าว “ไปกันเถอะ!”
พวกเขาใช้เวลาไปกับการพนันไม่น้อย เมื่อออกมาจากโรงพนันก็พบว่าท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “วันนี้ข้าโชคดีมาก ชนะมาไม่น้อยเลย ไปกันเถอะ! ข้าจะพาเจ้าไปที่ที่มันเยี่ยมยอดกว่านี้”
อินรั่วเฉินพยักหน้าเล็กน้อย และเดินตามไป!
แสงไฟส่ายไปมาระยิบระยับ เต็มไปด้วยสีสันอันน่าหลงใหล!
เสียงเพลงบรรเลงไปอย่างครื้นเครง!
สีหน้าของอินรั่วเฉินยังคงเรียบนิ่งอยู่เฉกเช่นเคย มู่เฉียนซีเดินมาที่หออันเป็นที่นิยมนี้อย่างกับคนรู้ลู่ทางดี
จุ้ยเมิ่งชวน!
หญิงสาวที่ผ่านมือชายมาแล้วนับไม่ถ้วนเหล่านี้เมื่อเห็นคุณชายรูปงามทั้งสองเดินเข้ามาก็รีบเข้าไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว
มู่เฉียนซีผลักอินรั่วเฉินออกไป แต่ลำแสงบริเวณรอบตัวเขาได้กันผู้คนโดยรอบให้อยู่ห่างจากเขาอย่างฉับพลัน
แม่นางเหล่านี้ต่างก็ตกตะลึงขึ้น “คุณชาย เช่นนี้แล้วคุณชายมาหาพวกข้าทำไมล่ะ ช่างไม่รู้จักอะไรเอาซะเลย!”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ต้องเป็นแม่นางชั้นหมายเลขหนึ่งถึงจะได้! แม่นางอากัปกิริยาเช่นนี้ สหายข้าไม่อยากแตะต้อง เตรียมห้องที่ดีที่สุดให้ข้า ส่งแม่นางชั้นยอดทั้งหมดขึ้นไปด้วย ออ แล้วก็เหล้าเลิศรสชั้นดีด้วยล่ะ!”
“เข้าใจรึยัง?” มู่เฉียนซียัดห่อผ้าหยกวิญญาณห่อใหญ่ให้พวกนาง พวกนางหรี่ตายิ้มและรีบไปจัดการทันที
“เชิญด้านบนเจ้าค่ะ เชิญเจ้าค่ะ…”
ในขณะที่มู่เฉียนซีกับอินรั่วเฉินกำลังขึ้นไปชั้นบน ที่ชั้นบนนั้นก็มีสตรีชุดสีชมพูผู้หนึ่งกำลังมองไปที่พวกเขา
นางกล่าวกับคนข้างกายเสียงเบาว่า “ไปสืบมาหน่อยว่าสองคนนี้เป็นใคร?”
“เจ้าค่ะ!”
ขณะเดียวกันผู้อาวุโสสูงสุดก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นแล้วจริง ๆ “นี่เขา…เขา…ข้านึกไม่ถึงจริง ๆ เลยว่าเขาจะพาโอรสศักดิ์สิทธิ์ไปสถานที่เช่นนั้นได้”
อวี้ปิงชิงเองก็โกรธมากแล้วเช่นกัน “โอรสศักดิ์สิทธิ์ไปสถานที่เช่นนั้นได้ยังไงกัน หญิงต่ำต้อยพวกนั้นไม่มีสิทธิ์มองโอรสศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อย”
“อะไรนะ! เฉียนเยี่ยไปที่จุ้ยเมิ่งชวนเหรอ!”
เมื่อกู้ไป๋อีรู้เรื่องนี้เข้า ดวงตาของเขาก็เย็นยะเยือกขึ้นทันที
เดิมทีมู่เฉียนซีนั้นต้องการจะทรมานอินรั่วเฉิน เขาจึงปล่อยให้นางทำไปตามใจนาง!
กินเนื้อ พาไปเล่นพนัน นี่ยังพออยู่ในขอบเขตที่เขารับได้ แต่หากเข้าไปในหอคณิกาเช่นนี้…
“ท่านหัวหน้าตำหนัก จะให้ข้าน้อยไปตามท่านประมุขน้อยกลับมาหรือไม่ขอรับ?”
ประมุขน้อยของพวกเขาเป็นคนที่นอกลู่นอกทางมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักเป่ยหานแล้ว
ฐานะประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานนั้นสูงศักดิ์มากเพียงใดใคร ๆ ก็รู้
สตรีงามใต้หล้าล้วนแต่เป็นฝ่ายเสนอตัวมาให้ถึงที่ ไม่จำเป็นต้องย่างกรายเข้าไปในสถานที่เช่นนั้นด้วยซ้ำ!
ไปคนเดียวก็ช่าง แต่นี่ยังพาโอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องไปด้วย ไม่รู้จะเอาคำไหนมาบรรยายถึงความดื้อรั้นของประมุขน้อยผู้นี้ได้แล้วจริง ๆ
“เขารู้จักประเมินตนเองดี!” สุดท้ายกู้ไป๋อีก็ไม่ไปรบกวนความสนใจของมู่เฉียนซี
อย่างไรเสียที่นั่นก็มีแต่ผู้หญิง ซีเอ๋อร์เองก็เป็นผู้หญิง คนที่เสียหายก็มีเพียงแต่อินรั่วเฉินเท่านั้น
ทางด้านของมู่เฉียนซีนั้น ขณะนี้ได้เข้ามาอยู่ภายในห้องที่กว้างและใหญ่มาก ไม่นานหญิงสาวหน้าตางดงามที่เป็นนางโลมทั้งสี่คนก็เดินเข้ามา
สุราเลิศรสก็ยกมาแล้วไม่น้อย!
พวกนางพุ่งเข้าไปที่พวกเขาทั้งสองราวกับหมู่ภมรดมดอมดอกไม้ก็มิปาน มู่เฉียนซีหลีกเลี่ยงและกล่าวว่า “ไปปรนนิบัติสหายข้าเถอะ ไม่ต้องสนใจข้าหรอก ข้าชอบไม้ป่าเดียวกัน”
หน้าตาหล่อเหลาปานนี้ ไม่นึกเลยว่าจะชอบไม้ป่าเดียวกัน แม่นางเหล่านี้ต่างก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย!
จากนั้นพวกนางก็ไปห้อมล้อมอินรั่วเฉิน แต่ห่างกันถึงสามเมตรเช่นนี้ ไม่สามารถเข้าใกล้ชิดตัวเขาได้เลย
สาวงามเหล่านี้ต่างก็มองไปที่มู่เฉียนซีและส่งสายตาอย่างน่าสงสาร “คุณชาย นี่…”
“รั่วเฉิน ไม่ต้องเขินอายหรอกนะ!” มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว
“เฉียนเยี่ย เรากลับกันเถอะนะ! ที่นี่ไม่เหมาะกับพวกเรา”
“ไม่เหมาะที่ไหนกันล่ะ ข้าว่าเหมาะจะตายไป แม่นางคนสวย รินเหล้าก่อน!” มู่เฉียนซีโบกมือพลางกล่าวให้พวกนางรินเหล้า
หลังจากรินเหล้าเต็มจอก มู่เฉียนซีก็ยื่นจอกเหล้าให้อินรั่วเฉิน “นี่ของเจ้า!”
“ข้าไม่ดื่มเหล้า!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ไหน ๆ วันนี้ก็กินเนื้อไปแล้ว จะขาดสิ่งนี้ไปไม่ได้ ดื่มเถอะ ๆ!”
“หรือว่าจะให้ข้าป้อนให้!”
มู่เฉียนซียื่นจอกเหล้าไปที่ปากเขาจริง ๆ ลำแสงที่กางกั้นนั้นใช้ได้กับสตรีเท่านั้น แต่ไม่ใช่กับนางที่รูปลักษณ์เป็นชายในตอนนี้
หรือว่าอินรั่วเฉินจะไม่รู้ถึงตัวตนของนาง!
กลิ่นเหล้าอันหอมหวนพัดโชยเข้าจมูก และนิ้วมืออันเรียวยาวดุจดั่งหยกนั้นก็เอียงจอกเหล้าสีขาวเทเข้าปากเขา
ครั้นแล้วมู่เฉียนซีก็เทเหล้าเข้าปากเขาอย่างอันธพาล
อือ!
ค่อก ค่อก ค่อก! มู่เฉียนซีไม่ได้ลงมืออย่างอ่อนโยน อินรั่วเฉินจึงสำลักขึ้น
จากนั้นนางก็ยกจอกเหล้าของตัวเองดื่มอย่างช้า ๆ ก่อนจะยิ้มพลางกล่าวว่า “รสชาติไม่เลวเลย!”
นางเหลือบมองอินรั่วเฉินและกล่าวว่า “รั่วเฉิน มัวแต่นั่งเฉยอยู่ทำไมล่ะ ดื่มสิ! หรือจะต้องให้ข้าป้อนอีกสักจอก”
อินรั่วเฉินไม่อยากถูกปฏิบัติเช่นนั้นอีก เขาจึงยกจอกเหล้าขึ้นซดเอง!
แกร๊ง!
มู่เฉียนซีชนจอกเหล้ากับเขาหลายครั้ง และกล่าวว่า “หมดจอก!”
ชายหนุ่มตรงหน้าดูเลินเล่อไร้การควบคุม ทำทุกอย่างตามที่ใจต้องการ ดวงตาดุจดั่งดวงดาราคู่นั้นอินรั่วเฉินไม่เคยเห็นมาก่อน
อินรั่วเฉินกล่าว “หมดจอก!”
ในขณะที่มู่เฉียนซีกับอินรั่วเฉินกำลังดื่มด่ำสุราเลิศรสอยู่นั้น ก็มีคนคนหนึ่งเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่งของจุ่ยเมิ่งชวน จากนั้นคนผู้นั้นก็กล่าวว่า “แม่นาง ชายสองคนนั้นคือท่านประมุขน้อยเฉียนเยี่ยแห่งตำหนักเป่ยหาน ส่วนอีกคนคือโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นเทพฟ้านอินเจ้าค่ะ”
พรวด! สาวงามผู้นี้กำลังยกจอกเหล้าดื่มอยู่นั้นก็ก็สำลักทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ นางกล่าวถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าว่ายังไงนะ?”
.