ผู้อาวุโสสูงสุดนำกำลังคนมาถึงตำหนักของท่านหัวหน้าตำหนัก พลันนั้นเขาก็เห็นมู่เฉียนซีเดินมาด้วยท่าทีที่เกียจคร้าน
มู่เฉียนซีเหลือบมองพวกเขาและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสสูงสุด มีงานมากมายต้องทำเป็นหมื่น ๆ เรื่อง นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีเวลาแวะมาเที่ยวที่ตำหนักนี้ได้”
“ข้าไม่ได้มาเที่ยวเล่น ข้ามาหาประมุขน้อยเพื่อต้องการคนคนหนึ่ง”
“ใครล่ะ หากเป็นหลิงละก็ ข้าไม่ให้นะ ตราบใดที่พลังของข้ายังทะลวงไม่ถึงขั้นมหาจักรพรรดิ ข้ายังต้องการยอดฝีมืออย่างหลิงเป็นคู่ซ้อมของข้าอยู่”
“ไม่ใช่หลิงแน่นอน! คนที่ข้าต้องการก็คือนักพิษที่ประมุขน้อยเฉียนเยี่ยเอาตัวมาจากจุ้ยเมิ่งชวนผู้นั้น”
“ถึงแม้ว่าเซียวเหยาจะก่อเรื่องวุ่นวายอันใหญ่หลวงขึ้น แต่ท่านหัวหน้าตำหนักก็ยังไม่คิดเอาความอะไร ข้าว่า ท่านผู้อาวุโสสูงสุดอย่ายุ่งให้มากเรื่องจะดีกว่า!” มู่เฉียนซีหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ข้าไม่ได้คิดจะยุ่งเรื่องนั้น แต่ข้าตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว นักพิษผู้นั้นเป็นคนตระกูลเซียว หนึ่งในสามตระกูลยาโบราณ ข้าเพียงแค่อยากถามเรื่องบางอย่างจากปากเขาก็เท่านั้น”
ทันใดนั้นเอง ร่างในชุดสีชมพูร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาผู้อาวุโสสูงสุด
เมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ ก็พรวดไปข้างกายมู่เฉียนซีกล่าวด้วยท่าทางน่าสงสารว่า “ท่านประมุขน้อยเฉียนเยี่ย ท่าน…ท่านทิ้งข้าไปไม่ได้นะ!”
เขาหลบอยู่ด้านหลังมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีมองไปที่ผู้อาวุโสสูงสุดและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสสูงสุดต้องการจะถามสิ่งใด ก็ถามข้ามาได้เลย ทำให้คนงามตกอกตกใจเช่นนี้ไม่ดีนะ!”
มู่เฉียนซีเล่นกับเส้นผมของเซียวเหยา ทำท่าทางเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง
สีหน้าผู้อาวุโสสูงสุดดำคล้ำด้วยความไม่พอใจ “ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้ว ข้าเป็นคนถามจากปากเขาเองจะดีกว่า”
เซียวเหยายื่นหน้าออกมาพลางกล่าวว่า “ตาเฒ่าอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรกัน ข้าเป็นถึงชายคนโปรดของท่านประมุขน้อยเฉียนเยี่ย ไม่ใช่คนที่เจ้าอยากจะเอาตัวไปไหนก็ได้นะ”
“ข้าไม่ไปกับพวกเขานะ ท่านประมุขน้อย ท่านต้องปกป้องข้านะ” เซียวเหยาจับชายเสื้อมู่เฉียนซีไว้ พลางทำท่าทางหวาดกลัวราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่งก็มิปาน
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย ชายคนโปรด! เจ้าหมอนี่ก็กล้าพูดออกมา
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ผู้อาวุโสสูงสุดก็ได้ยินแล้ว คนงามไม่อยากไปกับเจ้า! ข้าเองก็ไม่อาจปล่อยไปได้”
แววตาของผู้อาวุโสสูงสุดเผยความโกรธเกรี้ยวออกมา “ทำเช่นนี้ได้ยังไง?”
มู่เฉียนซีเชิดหน้ามองเขาพลางกล่าวว่า “ทำไมจะไม่ได้ ผู้อาวุโสสูงสุดวางอำนาจบาตรใหญ่ในตำหนักเป่ยหานมานาน แม้แต่ข้าผู้เป็นประมุขน้อยก็ลืมไปแล้วอย่างนั้นเหรอ ในตำหนักเป่ยหาน นอกจากผู้ที่ใหญ่ที่สุดอย่างท่านหัวหน้าตำหนักแล้ว ไม่มีใครมีสิทธิ์มาชี้นิ้วสั่งข้าได้”
มู่เฉียนซีเหลือบตามองหน้าผู้อาวุโสสูงสุดแวบหนึ่งก่อนกล่าวต่อ “หากเจ้าต้องการตัวนาง ก็ได้นะ แต่เจ้าต้องไปหาท่านหัวหน้าตำหนัก หากท่านหัวหน้าตำหนักตอบตกลง ข้าจะส่งนางให้ผู้อาวุโสสูงสุดอย่างเจ้า”
“เพียงแต่ว่า…” มู่เฉียนซีมองผู้อาวุโสสูงสุดขึ้นลงอย่างพิจารณา “อายุของผู้อาวุโสสูงสุดก็แก่ปูนนี้แล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีอารมณ์อย่างว่าอยู่อีกหรือไม่?”
คำพูดของมู่เฉียนซีนั้นชัดเจนมาก เซียวเหยาได้ยินก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนแทบจะร้องไห้แล้ว
“ท่านประมุขน้อย ข้ามีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะท่าน หากจะตายข้าก็ขอเป็นวิญญาณปกป้องข้างกายท่าน เหตุใดท่าน…เหตุใดท่านถึงได้กล่าวเช่นนี้…”
ในตอนนี้พวกเขาสองคนกำลังเล่นตลกกันไปมา ทว่า สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดกลับดำคล้ำยิ่งกว่าก้นหม้อเสียอีก
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวเสียงขรึมว่า “เขาเป็นคนตระกูลเซียว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ประมุขน้อยอย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวายเลย”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดคนของสามตระกูลยาโบราณถึงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ล่ะ ก็แค่นักปรุงยาคนนึงก็เท่านั้นไม่ใช่เหรอ ต่อให้เป็นผู้สืบทอดของตระกูล แต่ก็คงจะไม่เก่งกาจเท่ากับนักปรุงยาของตำหนักเป่ยหานกระมัง! ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก”
“ข้ารู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดชื่นชอบในความงามของแม่นางเซียว อย่าได้พยายามหาข้ออ้างเลย ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะอายุแก่ปูนนี้แล้ว แต่อย่างไรเสียก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ข้าเข้าใจ!” มู่เฉียนซีกล่าวหยอกล้อ
ผู้อาวุโสสูงสุดได้ยินคำพูดนี้ของมู่เฉียนซีแล้วก็โกรธแค้นใจมาก อย่างไรเสีย คำสั่งจากเบื้องบนนั้นก็เป็นความลับของตำหนักเป่ยหาน
มู่หรงเฉียนเยี่ยเป็นเพียงแค่เด็กที่เพิ่งได้รับตำหนักประมุขน้อยไม่นาน ไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่เขาพูดเช่นนี้ออกมาได้ยังไงกัน
เขาเนี่ยนะ จะชื่นชอบชายใจหญิงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
“คนของข้า ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจมายุ่งเกี่ยวได้ แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดเองก็ตาม!”
“เด็ก ๆ ส่งแขก!” มู่เฉียนซีเรียกยอดฝีมือออกมาทันที
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางโหดร้ายว่า “ข้าจะไปขอจากท่านหัวหน้าตำหนัก”
ผลสุดท้าย กู้ไป๋อีไม่แม้แต่จะพบหน้าเขา!
ปัง! ผู้อาวุโสสูงสุดโกรธเกรี้ยวจนต่อยต้นไม้ในตำหนักท่านหัวหน้าตำหนักหักเป็นท่อน ๆ และกลับไปด้วยความโกรธที่ลุกเป็นไฟ
เขาไม่เชื่อว่ามู่หรงเฉียนเยี่ยคนเดียวจะสามารถปกป้องคนตระกูลเซียวผู้นั้นไปได้ตลอด
ทันทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดจากไป มู่เฉียนซีก็เดินไปกับเซียวเหยาทันที
เซียวเหยากล่าว “นายท่าน ผู้อาวุโสสูงสุดรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้าแล้ว จะให้ข้าหนีไปก่อนหรือไม่?”
“ในเมื่อตาเฒ่านั่นรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าแล้ว คาดว่าหากเจ้าไปจากอาณาเขตของข้า เจ้าจะต้องกลายเป็นอาหารของตาเฒ่านั่นเป็นแน่ ข้าว่าเจ้าอยู่รักษาตัวให้พลังของเจ้ากลับมาแข็งแกร่งดังเดิมก่อนจะดีกว่า”
เซียวเหยากล่าว “แต่หากหัวหน้าตำหนักรู้ว่าข้าเป็นใคร เขาจะอยู่ข้างพวกเรา ช่วยพวกเราหรือไม่?”
“เขาอยู่ข้างเราแน่นอน”
แสงสลัววาบผ่านดวงตาของเซียวเหยา เขากล่าว “นายท่าน ข้าจะบอกเรื่องบางอย่างกับนายท่านเรื่องหนึ่ง! และสิ่งที่ข้าพูดก็เป็นความจริงแน่นอน ต่อให้ภายนอกกู้ไป๋อีจะดีกับนายท่านมากเพียงใด แต่ตำหนักเป่ยหานก็ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยที่พวกเราจะอยู่นานได้”
มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวถามว่า “เรื่องอะไร?”
แววตาของเซียวเหยาพลันเย็นชาขึ้น เขากล่าว “ตระกูลเซียวของข้าไม่เหมือนกับตระกูลจวินและตระกูลเย่ เนื่องจากตระกูลเซียวของข้าเชี่ยวชาญในเรื่องพิษ ดังนั้นจึงทำลายได้ยากมากที่สุด! ต่อให้ตำหนักเป่ยหานจะแห่กันออกมาทั้งตำหนักก็ไม่เพียงพอที่จะทำลายตระกูลของพวกข้าได้!”
“หลังจากครั้งแรกที่พวกเขาทำพลาด หัวหน้าตำหนักเป่ยหานก็ปรากฏตัวขึ้น การปรากฏตัวของเขาทำให้ตระกูลเซียวของข้าถูกทำลาย! มันเป็นคำสั่งของเขา มันเป็นการฆ่าสังหารที่โหดร้ายอย่างน่าอนาถที่สุดของตระกูลเซียวของข้า”
มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “เป็นไปไม่ได้แน่นอน!”
เสี่ยวไป๋ไม่รู้เรื่องเหล่านั้นเลย!
เซียวเหยากล่าว “ถึงแม้ว่าตอนนั้นข้าจะยังเด็ก แต่ชายรูปงามอย่างหัวหน้าตำหนักเป่ยหานผู้นั้น ใบหน้านั้น ข้าไม่มีวันลืม! ฉะนั้นในวันนั้นหลังจากที่ข้าได้เห็นหน้าเขา ข้าจึงทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นเขา ฆ่าเขาให้ตาย แม้ว่าจะแลกด้วยชีวิตข้าก็ตาม”
ความแค้นที่มาจากการทำลายล้างตระกูล แม้แต่ท่านปู่ของเขาก็ต้องตายไปในกำมือของชายผู้นั้น เขาไม่มีทางจำผิดแน่นอน
ถึงแม้ว่าเซียวเหยาจะมั่นใจถึงเพียงนี้ แต่มู่เฉียนซีก็ยังคงไม่เชื่ออยู่ดี
“เซียวเหยา ไม่ว่าเจ้าจะจำผิดหรือไม่ แต่คนผู้นั้นไม่ใช่เขาแน่นอน!”
“ไม่ใช่เขาอย่างนั้นเหรอ หรือนายท่านจะบอกว่าในดินแดนสี่ทิศแห่งนี้มียอดฝีมือสองคนอย่างนั้นเหรอ ต่อให้ปลอมตัวแต่ก็คงไม่อาจปิดบังเหล่าผู้อาวุโสของตำหนักเป่ยหานไปได้แน่นอน”
แววตาของมู่เฉียนซีเคร่งขรึมลง “แล้วหากว่าใช่ เจ้าจะทำเช่นไร?”
ไม่แน่บางทีเสี่ยวไป๋อาจจะถูกบีบบังคับก็ได้ และเขากลัวว่านางจะโกรธก็เลยไม่ได้พูดอะไร
แต่มันก็จริงอย่างที่เซียวเหยาพูด หน้าตาสามารถปลอมกันได้ แต่พลังความแข็งแกร่งของเสี่ยวไป๋ จะมีผู้ใดสามารถเลียนแบบได้
แสงสลัววาบผ่านดวงตาของเซียวเหยา เขากล่าว “ข้าเป็นคนของนายท่าน ชีวิตของคนตระกูลเซียวล้วนแต่เป็นของนายท่าน! ถึงแม้ว่าจะมีความแค้นต่อเขา ข้าก็ไม่มีทางขัดคำสั่งของนายท่านลงมือกับเขาได้”
“ข้ารู้ว่านายท่านใส่ใจเขา ตระกูลเซียวของข้าไม่อาจเทียบกับคนที่นายท่านใส่ใจได้ เรื่องที่ข้าบอกนายท่านในวันนี้ ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้นายท่านถูกเขาหลอกก็เท่านั้น และข้าก็ไม่อยากให้นายท่านต้องตกอยู่ในอันตราย” เซียวเหยารู้สึกหดหู่ยิ่งนัก แต่หลักการที่ยึดถือทางสายเลือดของเขาทำให้เขาระงับอารมณ์และความรู้สึกอื่นเอาไว้
.