กู้ไป๋อียอมรับอย่างไม่ลังเล เขาพยักหน้าพลางกล่าว “อืม!”
“หม้อเทพจะตกไปอยู่ในมือของเจ้าเฒ่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผู้นั้นไม่ได้เด็ดขาด ฉะนั้นข้าคิดว่าข้าจะไปด้วย! ข้าไป เซียวเหยาไป งั้นเราก็ไปด้วยกันทั้งหมดก็สิ้นเรื่อง!” มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว
“ข้าไปเอง เจ้ารออยู่ที่นี่!” กู้ไป๋อีมองมู่เฉียนซีพลางกล่าวปฏิเสธ
“หม้อเลียนแบบหม้อเทพนิรันดร์ หากข้าไป การจะคว้าเอามาได้นั้นง่ายมาก” มู่เฉียนซียังคงไม่ยอมแพ้
ถึงกระนั้น กู้ไป๋อีก็ยังคงไม่เห็นด้วยอยู่ดี!
“ไม่ได้!”
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ทางด้านผู้อาวุโสสูงสุดต้องพายอดฝีมือไปไม่น้อยแน่นอน และหากพวกเขาลงมืออย่างลับ ๆ นางจะมีอันตรายได้
พูดด้วยเหตุผลไม่ได้ มู่เฉียนซีจึงคิดจะใช้วิธีอย่างไร้เหตุผลแล้ว
“ไม่ยอมให้ข้าไป หรือเจ้าจะให้ข้าสะกดรอยตามเจ้าไปอย่างนั้นเหรอ ทักษะการสะกดรอยตามของข้าก็ดีเยี่ยมซะด้วยสิ”
สีหน้าของกู้ไป๋อีเคร่งขรึมลงทันใด สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ยอมจำนน “ก็ได้ ไปด้วยกันก็ได้!”
ให้นางสะกดรอยตามไป มิสู้ให้นางอยู่ข้างกายเขาดีกว่า
กู้ไป๋อีจะพามู่เฉียนซีไปด้วย ผู้อาวุโสสูงสุดยิ้มพลางกล่าวว่า “ตั้งแต่ประมุขน้อยเฉียนเยี่ยเข้ามาในตำหนักเป่ยหานก็ไม่เคยออกไปฝึกฝนประสบการณ์ข้างนอกเลย นี่เป็นโอกาสที่ดีแล้ว”
“ไปสถานที่มีพิษครั้งนี้ ชิงเอ๋อร์และพวกก็ไปด้วย พวกเจ้าวัยหนุ่มสาวไปด้วยกัน จะได้แลกเปลี่ยนทักษะความรู้กันได้ เมื่อถึงตอนนั้น โปรดประมุขน้อยชี้แนะพวกไม่ได้เรื่องพวกนี้ด้วย”
มุมปากของมู่เฉียนซียิ้มอย่างเย้ยหยันขึ้น “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
เมื่อทุกคนเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหกก็บินออกไปจากเมืองเป่ยหาน มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก ที่นั่นก็คือทางไปยังตระกูลเซียว
ในตอนนี้ เรื่องที่ตระกูลเซียวมีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เพียงแค่ตำหนักเป่ยหานเท่านั้นที่รู้ กองกำลังอื่นในแดนเหนือก็รู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน
กองกำลังระดับสอง ระดับสองครึ่งต่างมุ่งหน้าไปที่นั่นไม่น้อย อย่างเช่น วังอวิ๋นซิง สำนักหลิงเซียว สำนักจันทราแดง เป็นต้น
หลังจากที่ผ่านทะเลทรายอันแห้งแล้งในทางตะวันตกของแดนเหนือมาแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้เห็นไม่ใช่ป่าไม้เขียวชอุ่ม แต่กลับเป็นป่าไม้สีเขียวเข้มผืนหนึ่ง
บนท้องฟ้าในเขตผืนป่าแห่งนี้ทั้งหมดไม่สามารถบินได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงต้องลงมายังผืนดินเท่านั้น
เมื่อเซียวเหยาเห็นผืนป่าตรงหน้า แววตาของเขาก็หดหู่ลง เขารู้สึกเสียใจและเจ็บปวดมาก
มาที่นี่ มันทำให้เขานึกถึงอดีตที่น่าเศร้าสลดที่เขาไม่อยากจะนึกถึง
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวอย่างเย็นชาว่า “นายน้อยเซียว คงยังจำเส้นทางปลอดภัยของป่ามรณะได้กระมัง รีบนำทางไปเถอะ” ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวข่มขู่
เซียวเหยากล่าว “เจ้าก็รู้ดีว่าป่ามรณะจะเปลี่ยนไปในทุก ๆ เจ็ดวัน ในตอนที่เจ้าฆ่าทำลายล้างตระกูลข้า ตอนนั้นข้ายังเด็กมาก ข้าไม่เข้าใจกฏในการควบคุมป่ามรณะหรอก”
“แต่ต่อให้จำได้ไม่หมด อย่างน้อยก็ต้องรู้บ้างกระมัง! หากเกิดการบาดเจ็บขึ้น ข้าจะไม่ให้เจ้าอยู่เป็นสุขแน่” ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวข่มขู่
“ใช้ยาลูกกลอนแก้พิษเข้าไปในป่ามรณะ” ผู้อาวุโสสูงสุดออกคำสั่ง
“ขอรับ!”
ในขณะที่คนของตำหนักเป่ยหานกลุ่มนี้เข้าไปในป่ามรณะ หลังจากนั้นคนของสำนักอื่นก็ตามเข้าไป
ถึงแม้ว่าเซียวเหยาจะจำได้ไม่ค่อยชัดเจน แต่เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงทางอันตรายที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรเสียนายท่านของเขาก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
สุดท้าย เดินไปเดินมานานมาก พวกเขาก็ยังเดินวนอยู่ที่เดิม
“เซียวเหยา นี่เจ้าจงใจใช่ไหม!” ผู้อาวุโสสูงสุดอยากจะตบเซียวเหยา
หากเซียวเหยาถูกฝ่ามือเข้า ไม่ตายก็ต้องเจ็บสาหัสแน่นอน
เรื่องที่รับปากมู่เฉียนซีเอาไว้ กู้ไป๋อีจำได้ แม้ว่าเซียวเหยาผู้นี้จะไม่ชอบขี้หน้าเขาก็ตาม
แต่มู่เฉียนซีกลับห้ามเขาไว้ เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องให้เสี่ยวไป๋ลงมือ
กระบี่ยาวเล่มหนึ่งถูกชักออกจากฝัก ในผืนป่าสีเขียวเข้มแห่งนี้ ร่างของมู่เฉียนซีปรากฏขึ้นด้านหลังอวี้ปิงชิงราวกับภูตผีก็มิปาน
“ผู้อาวุโสสูงสุด หากเจ้ากล้าแตะต้องเซียวเหยาแม้แต่ปลายนิ้ว ข้าจะฝากรอยกระบี่นี่บนร่างหลานสาวสุดที่รักของเจ้า”
ผู้อาวุโสสูงสุดจำต้องหยุด เขากล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ประมุขน้อยเฉียนเยี่ย นึกไม่ถึงเลยว่าเพื่อเจ้าสารเลวนี่คนเดียว ประมุขน้อยถึงกับจะลงมือกับชิงเอ๋อร์”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “หึ ๆ ๆ! ผู้อาวุโสสูงสุดช่างไม่รู้จักข้อบกพร่องของตัวเองเอาซะเลย เจ้าดูหน้าตาเซียวเหยา แล้วหันมาดูหน้าตาหลานสาวตัวเองสิ ยังไม่รู้อีกเหรอว่าข้าควรจะเลือกใคร?”
เซียวเหยายิ้มพลางกล่าว “ประมุขน้อยเฉียนเยี่ย หญิงอัปลักษณ์เช่นนี้ไม่อาจเทียบข้าน้อยได้แม้แต่น้อย ดูท่าทางนางสิแข็งทื่ออย่างกับต้นไม้ หากขึ้นเตียงก็ไม่ต่างอะไรกับปลานอนตาย จะเทียบข้าน้อยได้อย่างไรกัน!”
เซียวเหยาไม่กลัวว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะแข็งแกร่งมากเพียงใด เขาวิ่งไปอยู่ข้างกายมู่เฉียนซีพลางกล่าว “ประมุขน้อยว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”
เดิมทีตำหนักเป่ยหานมีมู่หรงเฉียนเยี่ยคนเดียวก็ก่อเรื่องวุ่นวายมากพออยู่แล้ว นี่ยังมีเซียวเหยาบ้านี่เพิ่มขึ้นมาอีกคนอีก สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดโกรธเกรี้ยวจนเขียวคล้ำแล้ว
ส่วนอวี้ปิงชิงในตอนนี้ดวงตาก็ลุกโชนไปด้วยไฟโทสะเช่นกัน นางถูกเขาแย่งชิงตำแหน่งประมุขน้อยไปแล้ว แถมยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องรักษาตัวมาโดยตลอด
ในวันนี้ได้ออกมาฝึกประสบการณ์ แต่มู่หรงเฉียนเยี่ยบัดซบนี่ยังดูถูกเหยียดหยามนางได้ถึงเพียงนี้อีก
นางเป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตำหนักเป่ยหาน เป็นคนที่บริสุทธิ์ผุดผ่องมาโดยตลอด นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล่าววาจาว่านางไม่อาจเทียบหญิงโคมเขียวผู้นี้ได้
นายน้อยสี่ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว เขาจึงกล่าวขึ้นว่า “ประมุขน้อย พูดแบบนี้มันไม่ถูกนะ ก็แค่รูปลักษณ์ภายนอกดูดีก็เท่านั้น คนผู้นี้ยังไงก็เป็นผู้หญิงโคมเขียวในเมิ่งจุ้ยชวนอยู่วันยังค่ำ คนผู้นี้จะมาเทียบน้องชิงเอ๋อร์ อวี้ปิงชิงของพวกเราได้ยังไง”
เซียวเหยาขยิบตาให้มู่เฉียนซีครั้งหนึ่งและกล่าวว่า “ข้าน้อยจะบริสุทธิ์ผุดผ่องหรือไม่นั้น ประมุขน้อยเฉียนเยี่ยก็เคยพิสูจน์มาแล้ว เจ้าบอกว่าน้องชิงเอ๋อร์ผู้นี้บริสุทธิ์ผุดผ่อง หรือว่าเจ้าเคยพิสูจน์แล้วอย่างนั้นเหรอ?”
อวี้ปิงชิงโกรธจนแทบคลั่งอยากฆ่าคนเหลือเกิน ส่วนนายน้อยสี่ก็โดนว่ากลับจนพูดไม่ออก
พวกเขาเสแสร้งทำตัวสูงส่ง ตอนนี้พบกับเซียวเหยาผู้ไร้ศีลธรรม เป็นผู้ที่ปราบปรามพวกเขาอย่างแท้จริง
ในตอนนี้เอง น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “หุบปาก!”
จิตสังหารอันเย็นยะเยือกของกู้ไป๋อีแทบจะฉีกเนื้อเซียวเหยาผู้นี้ให้แหลกเป็นชิ้น ๆ อยู่แล้ว คนอื่นต่างก็ได้แค่มองเท่านั้น!
เจ้าคนสารเลวนี่ล่วงเกินท่านหัวหน้าตำหนักแล้ว มีละครดี ๆ ให้ชมแล้วสิ!
ผลสุดท้ายเซียวเหยาก็รีบหลบไปอยู่ด้านหลังมู่เฉียนซี
“ประมุขน้อยเฉียนเยี่ย ต้องช่วยข้าน้อยนะ!”
จู่ ๆ จิตสังหารของกู้ไป๋อีก็อันตรธานหายไปทันที ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “ประมุขน้อยเฉียนเยี่ย หลังจากที่ชิงเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการประลองในครั้งก่อน อาการนางยังไม่หายดี ประมุขน้อยรีบปล่อยนางเถอะนะ”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ออ! ข้าก็ลืมไป!”
ตอนนี้ยังไม่ได้คิดจะต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับผู้อาวุโสสูงสุด มู่เฉียนซีจึงเก็บกระบี่ไป และเหลือบมองไปที่อารองผู้ที่ยืนอยู่ราวกับเงาตามตัวผู้นั้น
ครั้งนี้อยู่ในอาณาเขตของตระกูลเซียว จะต้องหาทางจับเป็นผู้อาวุโสสูงสุดและถามให้ได้!
มู่เฉียนซีเก็บกระบี่กลับมา และสุดท้ายเซียวเหยาก็ยกขาเตะอวี้ปิงชิงไปครั้งหนึ่ง
ผัวะ! อวี้ปิงชิงล้มลงไปกับพื้น เสื้อผ้าอาภรณ์สีขาวราวกับหิมะนั้นของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน
“หน้าตาอัปลักษณ์แล้วยังไม่รู้จักเจียมตัว กล้ามายั่วยวนประมุขน้อยเฉียนเยี่ย ช่างไม่รู้จักสำเหนียกดูตัวเองเอาซะเลย”
อวี้ปิงชิงอับอายและกรุ่นโกรธจนอยากจะฉีกกระชากเนื้อหนังมังสาของเซียวเหยาออกมาจริง ๆ เจ้านี่ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
“นี่เจ้ากล้าทำกับชิงเอ๋อร์ถึงเพียงนี้เลยเหรอ เจ้ามันรนหาที่ตาย!”
นายน้อยใหญ่ นายน้อยรองและพวกก็โกรธเกรี้ยวขึ้นแล้ว เป็นเพียงแค่ชายคนโปรดก็เท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะกล้าอวดดีกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้
เซียวเหยายิ้มพลางกล่าวว่า “จะสู้เหรอ! เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวพวกเจ้าเหรอห้ะ?”
พวกเขาแต่ละคนอายุมากกว่าเซียวเหยามาก แต่หากเปรียบเทียบกันที่พลังความแข็งแกร่งแล้วละก็ ไม่มีทางเทียบกับเซียวเหยาได้เลย และในตอนนี้เองผู้อาวุโสสูงสุดก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านหัวหน้าตำหนัก เซียวเหยาอันตรายมาก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่หลวงขึ้น ข้าว่าปิดผนึกพลังวิญญาณเขาเถอะขอรับ”
.