ท้ายที่สุด มู่เฉียนซีก็ขดอยู่ในอ้อมอกของจิ่วเยี่ยอย่างเกียจคร้าน นางกล่าว “ข้าจะหลับแล้ว ห้ามมิให้เจ้าก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นเด็ดขาด พวกเรากลับไปนอนหลับให้ดี ๆ เสียคราหนึ่งเถิด!”
“อื้ม!”
จากนั้นก็ได้ผ่านไปอีกหนึ่งคืน เพียงแต่ว่าเช้าตรู่ของวันต่อมา เสียงอันน่าสะพรึงกลัวหลากเสียงที่ต่างกันได้ดังขึ้นมาจากหุบเขาของตระกูลเซียว
“ฮือ ฮือ ฮือ! ท่านหัวหน้าตำหนัก ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้า!”
หลังจากที่อวี้ปิงชิงกับเจ้าสี่คนไร้ประโยชน์นั่นได้ตื่นขึ้นมาแล้วก็พบว่าทั้งหุบเขาตระกูลเซียวนั้นแทบจะหาผู้รอดชีวิตสักคนไม่ได้เลย
สิ่งที่ยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีกก็คือ ทั้งสี่คนนั้นรู้ว่าพวกเขาได้ทำอะไรกับอวี้ปิงชิง และพวกเขาก็ได้เอาสิ่งนั้นมาคุกคามทำให้อวี้ปิงชิงนั้นกลายเป็นของที่หวงแหนของตน
แน่นอนว่าอวี้ปิงชิงหาทางหลบหนี แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่ายังไม่ทันหาท่านปู่ของนางได้พบก็กลับมาพบเข้ากับกู้ไป๋อีเสียก่อน
ตกอยู่ในมือของกู้ไป๋อีก็ยังดีกว่าตกอยู่ในมือของเดรัจฉานทั้งสี่นั่น
แต่ไม่ว่านางจะร้องตะโกนอย่างไร ดวงตาอันเย็นเยือกคู่นั้นของกู้ไป๋อีก็ราวกับว่ามองไม่เห็น และเปรียบนางเป็นดั่งอากาศธาตุเท่านั้น
อวี้ปิงชิงเองก็อนาถยิ่งนัก ทั้งเนื้อตัวและใบหน้าล้วนแต่มีรอยแผลเป็นสีม่วง
เมื่อนางเห็นว่ากู้ไป๋อีนั้นไม่ส่งเสียงอะไรจึงได้เข้าไปใกล้กู้ไป๋อีขึ้นอีกนิด
ในตอนที่นางเข้าไปใกล้กู้ไป๋อีอยู่ในระยะสิบก้าวนั้นเอง ปราณกระบี่ปราณหนึ่งก็ได้กรีดวาดเป็นรอยแผลลึกที่ลึกเสียจนสามารถเห็นกระดูกได้ขึ้นมาแผลหนึ่ง
ปัง! นางล้มลงบนพื้น
โลหิตบนหน้าหลั่งไหลออกมาประหนึ่งกับเป็นมนุษย์โลหิตก็มิปาน
“อ๊าก!” เสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งดังออกมา
“หน้า…หน้าของข้า…”
พลังในการฝึกบำเพ็ญของนางนั้นได้สูญสิ้นไปแล้ว ถ้าหากว่าใบหน้า…
ในตอนนี้เองเซียวเหยาก็ได้เดินเข้ามา เขายิ้มแล้วกล่าว “เป็นไอ้อัปลักษณ์ที่ไหนมาร้องโวกเวกโวยวายแต่เช้าตรู่ ถ้าหากว่าทำให้ผู้เป็นนายของข้าตื่นละก็จะทำเช่นไร?”
“หน้าของข้า…” สีหน้าของอวี้ปิงชิงค่อนข้างเหม่อลอย
“นางคนต่ำช้า! เจ้ายังกล้าที่จะหนีอีก?”
ในตอนนี้ทั้งสี่สวะนั่นได้ตามมาทันแล้ว
แต่เมื่อพวกเขามองเห็นกู้ไป๋อี สีหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดลง และกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ท่าน ท่านหัวหน้าตำหนัก…”
พวกเขาคิดที่จะหนี อย่างไรเสียเรื่องการร่วมมือกันประมือกับหัวหน้าตำหนักนั่นก็เป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมเป็นอย่างมาก!
เงาร่างสีชมพูเงาหนึ่งยืนกั้นที่ด้านหน้าของพวกเขาเอาไว้ “ถ้าหากว่าพวกเจ้าซ่อนตัวอยู่ดีๆ พวกเราก็ขี้เกียจที่จะไปตามหาพวกไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้า และจะปล่อยให้พวกเจ้าอยู่ไปจนแตกดับไปเองแล้วแท้ ๆ แต่ในเมื่อตอนนี้ได้นำตัวเองส่งให้ถึงที่เช่นนี้แล้ว เช่นนั้นก็จงอยู่ต่อเถอะ”
ปึก ปึก ปึก! พวกเขาแต่ละคนขุกเข่าลง “อย่าฆ่าพวกเราเลย พวกเราสำนึกผิดแล้ว! ล้วนแต่เป็นเพราะเจ้าคนต่ำช้านั้นล่อลวงพวกเรา ท่านหัวหน้าตำหนัก…”
เซียวเหยายิ้มแล้วกล่าว “อดีตธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักเป่ยหาน ผู้ที่สั่งลมฝนแห่งตำหนักเป่ยหานได้ มาวันนี้กลับกลายเป็นเหมือนสุนัขที่ตายไปแล้วก็มิปาน ช่างน่าสนใจจริง ๆ”
ตำหนักเป่ยหานนั้นมีความแค้นในเรื่องการฆ่าล้างเก้าชั่วโคตรกับเขาอยู่ เมื่อได้เห็นพวกเขาอนาถาจนถึงขีดสุดเช่นนี้ อารมณ์ของเซียวเหยาจึงดีเป็นพิเศษ
สีหน้าของพวกนายน้อยใหญ่ก็ยิ่งมืดครึ้มมากลงไปเรื่อย ในใจของพวกเขานั้นโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด แต่ชีวิตของพวกเขาในตอนนี้ดันตกไปอยู่ในมือของเขาเสียแล้ว พวกเขาทำได้ก็แต่อดทนเอาไว้
เซียวเหยามองไปยังกู้ไป๋อีแล้วกล่าว “หัวหน้าตำหนักเป่ยหาน ถ้าหากว่าข้ามิได้จำผิดละก็ เจ้าสวะนี่เป็นศิษย์ที่ผู้อาวุโสสูงสุดถ่ายทอดวิชาด้วยตนเอง แล้วสตรีผู้นั้นก็เป็นหลานสาวของผู้อาวุโสสูงสุด…” ถ้าหากว่าเป็นผู้อื่น เซียวเหยาคงจะทำลายล้างจนสิ้นซากไปนานแล้ว เพื่อป้องกันมิให้พวกเขามาเกาะกะขวางลูกตาของผู้เป็นนายของตน
แต่ทว่าฐานันดรของพวกเขานั้น อย่างไรเสียก็อย่าได้ฆ่าทิ้งไปเสียก่อน รอให้นายท่านออกคำสั่ง
ในตอนนี้อวี้ปิงชิงก็ได้สติขึ้นมา “ท่านปู่! ใช่…ท่านปู่…ท่านปู่จะต้องสามารถช่วยข้าได้อย่างแน่นอน”
พลันนั้นปราณกระบี่อันโหดร้ายก็ได้กรีดวาดเป็นรอยเลือดลึกที่ใบหน้าอีกข้างหนึ่งของนาง แม้ว่าจะลงมือไปแล้ว แต่ก็กลับมิได้พูดกล่าวใด ๆ ออกมาแม้แต่คำเดียว
ใบหน้าที่เคยงดงามของอวี้ปิงชิงนั้นกำลังจะอัปลักษณ์เสียแล้ว “ท่านหัวหน้าตำหนัก ทำไมถึงได้ทำเช่นนี้กับข้า? ท่านปู่ของข้านั้นเป็นถึงเสาหลักของตำหนักเป่ยหาน แม้ว่าท่านจะเป็นหัวหน้าตำหนัก แต่ท่านก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเกินเลยเช่นนี้!”
เซียวเหยายิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “ตอนนี้เจ้าเฒ่านั่นทำได้เพียงแต่หลบ ๆ ซ่อนเท่านั้น เจ้าคิดว่าเขาจะสามารถช่วยเจ้าได้รึ?”
“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…” อวี้ปิงชิงกล่าวพร้อมส่ายหน้า
เซียวเหยาได้โยนผ้าเช็ดหน้าออกมาผืนหนึ่งแล้วกล่าว “เช็ดหน้าของเจ้าเสียให้สะอาด ทำให้พื้นบ้านของข้าสกปรกเสียเช่นนั้น ประเดี๋ยวข้าจะอดไม่ได้แล้วฆ่าเจ้าทิ้งเสีย!”
อวี้ปิงชิงสั่นไปทั้งตัว นางทำได้เพียงแต่ยอมเก็บผ้าเช็ดหน้าของเขาขึ้นมาเช็ดหน้าแต่โดยดี หลังจากที่นางเช็ดเลือดเสร็จแล้ว เมื่อนางลูบคลำใบหน้าของตนเองก็พบว่าใบหน้านั้นได้กลายเป็นเหมือนดั่งเปลือกไม้ที่มีผิวขรุขระไม่เสมอกันไปเสียแล้ว
“อ๊า! นี่ไม่ใช่ใบหน้าของข้า นี่ไม่ใช่…” อวี้ปิงชิงไม่อาจที่จะทนรับความกระทบกระเทือนนี้ได้จึงสลบไปในทันที
พวกนายน้อยใหญ่ที่เห็นใบหน้านั้นของอวี้ปิงชิงที่สลบลงไปบนพื้นก็แทบอยากที่จะอ้วกออกมา
เซียวเหยายิ้มแล้วกล่าว “ของของข้าก็ยังกล้ามาบังอาจเตะต้อง ช่างรนหาที่ตายนัก”
หลังจากที่นอนหลับอยู่ในอ้อมอกของจิ่วเยี่ยอย่างสบายทั้งคืน มู่เฉียนซีก็ได้ตื่นขึ้นมาในตอนเที่ยงวัน หลังจากที่ตื่นมาแล้วก็พบว่าจิ่วเยี่ยกำลังจ้องมองที่นางอยู่
มู่เฉียนซีเอ่ยถาม “จิ่วเยี่ย เจ้าตื่นไวนัก! เจ้าไม่ต้องงีบสักหน่อยหรือ? ถึงอย่างไรก็…”
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีเอาไว้พร้อมกัดติ่งหูของนางเบา ๆ แล้วกล่าว “สบายใจได้ พลังกายของข้านั้นดีมีชีวิตชีวาเพียงพอ ข้าสามารถทำให้เจ้าพอใจในด้านต่าง ๆ ได้ และจะไม่ทำให้ตัวข้าเองเหนื่อยอย่างแน่นอน” สีหน้าของมู่เฉียนซีมืดครึ้มลงพลัน “เจ้า…เจ้าอยู่ให้ห่างจากข้าหน่อย!”
เมื่อเปลี่ยนชุดแล้วทั้งหมดก็ล้วนปกติ หลังจากที่รู้สึกมีชีวิตชีวาไม่เลว มู่เฉียนซีก็ได้ออกไปข้างนอก
นางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว แต่ว่ามันคงไม่ได้ผ่านไปสั้น ๆ อย่างแน่นอน จะต้องไปหาพวกเขาเพื่อที่จะไม่ทำให้พวกเขาเป็นกังวล
ในตอนที่กู้ไป๋อีมองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยนั้น น้ำแข็งสลักที่ไม่ขยับเขยื้อนนี้ก็ได้กลายเป็นน้ำแข็งสลักที่พูดจาได้เสียแล้ว “ซีเอ๋อร์!”
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋!”
ตั้งแต่มู่เฉียนซีปรากฏตัวขึ้น สายตาของกู้ไป๋อีก็มิได้ละออกไปจากร่างของนางอีกเลย
คล้ายกับว่าละโมบที่จะมองนางให้มากอีกสักหน่อย จากนั้นเขาก็กล่าวถามขึ้น “ไม่เป็นไรแล้วกระมัง!”
มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว “ไม่เป็นไรแล้ว”
กู้ไป๋อีเองก็สบายใจแล้ว มู่เฉียนซีกล่าวถาม “อารองอยู่ด้านในหรือไม่?”
“อื้ม!”
“ข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อย เจ้าเองก็ลำบากเสียแล้ว”
แม้ว่ากู้ไป๋อีจะปกปิดความเหนื่อยล้าของตนเองอย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของมู่เฉียนซีไปได้
เมื่อตรวจดูอารองที่อยู่ในภาวะหลับใหลแล้วก็พบว่าทั้งหมดล้วนแต่เป็นปกติ มู่เฉียนซีเองก็สบายใจยิ่งนัก
ต่อจากนี้ก็ต้องคิดหาวิธีจับตัวเจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่น
โลกทั้งสี่ทิศกว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น หากคิดที่จะหาเจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นให้พบก็มิใช่เรื่องที่ง่ายดายเรื่องหนึ่ง
และเมื่อรู้ว่ามู่เฉียนซีมาเยือน เซียวเหยาก็ได้นำตัวทั้งห้าคนนั้นมาด้วย เขากล่าว “นายท่าน ไม่ทราบว่าเจ้าพวกนี้ยังมีประโยชน์อยู่หรือไม่?”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็จ้องมองไปที่สตรีในอาภรณ์สีม่วงที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างนิ่งงัน
เมื่อได้เห็นคนผู้นี้ การใช้คำพูดของเขาก็อับจนไปในทันที ราวกับว่าไม่มีคำพูดใดที่จะสามารถบรรยายถึงความงดงามของสตรีผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ได้
เซียวเหยากล่าวอย่างตกตะลึง “เจ้าคือผู้ท่านรึ?”
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “มิเช่นนั้นเล่า! เจ้าคิดว่าจะเป็นใคร?”
“นายท่านเปลี่ยนเป็นอาภรณ์ของสตรีแล้ว ช่างงดงามเสียจริง!”
ใจของเซียวเหยานั้นเต้นตุบตับ เขารู้ว่าผู้เป็นนายนั้นเป็นสตรีผู้หนึ่ง แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อเปลี่ยนเป็นสวมใส่อาภรณ์ของสตรีเพศแล้วก็จะหวนกลับไปมีรูปลักษณ์ที่งดงามอันทำให้ผู้คนตกตะลึงเช่นนี้
มู่เฉียนซีเหลือบมองไปยังคนเหล่านั้นที่เขานำตัวมา นางถามขึ้น “เป็นพวกเขา?”
อวี้ปิงชิง นายน้อยใหญ่และพวกต่างก็ตะลึงค้าง “เจ้า…เจ้าคือมู่หรงเฉียนเยี่ย…”
“มู่หรงเฉียนเยี่ย เจ้าเป็นผู้หญิง”
อวี้ปิงชิงจ้องมองใบหน้าอันงดงามไร้ที่ติของมู่เฉียนซีแล้วก็นึกถึงใบหน้าที่อัปลักษณ์เสียจนไม่เข้าตาของตนเอง นางแทบอดไม่ได้ที่อยากจะฉีกมู่เฉียนซีออกเป็นชิ้น ๆ
สายตาเช่นนี้เร่าร้อนนัก นางนั้นมิได้เก็บซ่อนมันเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้เองกระบี่อันเย็นเยียบเล่มหนึ่งก็กำลังพุ่งเข้ามา
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เสี่ยวไป๋ อย่าเพิ่งฆ่านาง!”
.
.