เมื่อได้ยินคำขอที่มากเกินไปเช่นนี้ของมู่เฉียนซีแล้ว สีหน้าของเป่ยกงจั๋วก็เคร่งขรึมลง และโวยวายอย่างไร้เหตุผล!
เป่ยกงจั๋วโกรธมู่เฉียนซีจนเจ็บอกเจ็บใจเป็นอย่างยิ่ง มู่เฟิงอวิ๋นเกิดมาพร้อมกับความสูงศักดิ์ มีสตรีงามชื่นชอบเขามากมาย แต่เหตุใดถึงได้เลี้ยงดูบุตรสาวให้ออกมาเป็นสาวน้อยที่ไร้มารยาทมากถึงเพียงนี้
เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าคนที่เขาต้องการช่วยนี้ไม่ใช่องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลมู่
แต่ไม่นานนักเขาก็กลับมาทำท่าทางอ่อนโยนขึ้นอีกครั้ง และเอ่ยปากกล่าวว่า “เรื่องช่วยนั้นข้าช่วยแน่นอน แต่ข้ามีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง”
“เงื่อนไขอีกแล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้าคนทรยศผู้นั้นบอกข้าว่าแม่นางมู่เป็นนักปรุงยา ฝีมือการปรุงยาไม่เลว และข้าก็ชอบคนที่มีพรสวรรค์ในการปรุงยาเป็นพิเศษ” เป่ยกงจั๋วกล่าว
“หรือว่าองค์รัชทายาทเป่ยกงต้องการรับศิษย์ แต่ข้าขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะว่าข้ามีอาจารย์แล้ว ต้องขอโทษด้วย!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเชื่องช้า
เป่ยกงจั๋วส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ได้อยากรับศิษย์อะไรหรอก!” เขามองไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวต่อว่า “อีกไม่นานสำนักโอสถแห่งแดนซวนเทียนจะจัดการประลองปรุงยาขึ้นในดินแดนสี่ทิศ ข้าเป็นผู้สนับสนุนรางวัลอันดับหนึ่งในการประลองครั้งนี้ หากเจ้าคว้าอันดับหนึ่งมาได้ เจ้าก็จะได้รับรางวัลนั้น และข้าก็จะช่วยเอาตำหนักตงจี๋มาให้เจ้า ยึดมันมาจากมู่หลินหลาง”
เงื่อนไขนี้ไม่เลวเลย!
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “แล้วรางวัลอันดับหนึ่งมันคือสิ่งใดกันล่ะ?”
เป่ยกงจั๋วกลับเสแสร้งทำเป็นลึกลับ “เมื่อถึงตอนนี้แม่นางมู่ก็จะรู้เอง รางวัลนั้นจะไม่มีทางทำให้เจ้าผิดหวังอย่างแน่นอน! เจ้าตกลงรับเงื่อนไขนี้หรือไม่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าตกลงอยู่แล้ว แต่พลังวิญญาณของข้าแค่ขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับแปด การคว้าชัยชนะอันดับหนึ่งในการประลองปรุงยาของแดนซวนเทียนมาได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย”
เป่ยกงจั๋วกล่าว “ข้าจะมอบยาลูกกลอนเพิ่มพลังวิญญาณให้เจ้าถึงระดับสูงสุด และยานี้ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเจ้าทีหลังแต่อย่างใดด้วย และข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความมั่นใจว่า “ยาลูกกลอนดีเลิศเช่นนี้ ข้าต้องคว้าอันดับหนึ่งมาได้แน่นอน”
เป่ยกงจั๋วตกใจกับคำพูดของมู่เฉียนซีอีกครั้ง นางไม่มีความถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย
อันที่จริงเป่ยกงจั๋วก็ไม่ได้คาดหวังกับนางมากนัก แต่เมื่อเขามองไปที่กู้ไป๋อีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
ต่อให้สาวน้อยผู้นี้เป็นคนที่ไร้ความสามารถ แต่คนที่สามารถทำให้หานเป็นกังวลได้ถึงเพียงนี้ เขาชักจะสนใจขึ้นมาแล้วจริง ๆ
“หากข้าหลอมยาลูกกลอนเสร็จแล้ว ข้าจะให้คนเอามาให้ งั้นก็ไม่ต้องพูดมากแล้วล่ะ”
จากนั้นลำแสงนั้นก็ได้อันตรธานหายไปอีกครั้ง ในที่สุดก็ไม่ต้องทนเห็นหน้าเจ้าเป่ยกงจั๋วนั่นแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเป่ยกงจั๋วรีบไปอย่างเร่งรีบเช่นนี้ มุมปากของกู้ไป๋อียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ซีเอ๋อร์เก่งมาก!”
“เก่งเหรอ?” มู่เฉียนซีมองหน้าเขาพลางกล่าวถามด้วยท่าทีที่ไม่เข้าใจ
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นว่ามีคนสามารถทำให้เป่ยกงจั๋วไม่พอใจได้เช่นนี้”
“สมน้ำหน้า หัวสมองของเจ้านั่นมีแต่กลอุบายคิดแต่ความชั่ว เสี่ยวไป๋นี่เจ้าถูกเขารังแกบ่อยใช่หรือไม่?”
สีหน้าของกู้ไป๋อีเคร่งขรึมลงเล็กน้อย “ข้าขอพูดตรง ๆ เลยก็แล้วกัน…”
กู้ไป๋อีกล่าว “ซีเอ๋อร์ตามข้ามา!”
วังใต้ดินแห่งนี้มีที่พักผ่อนไม่น้อยเลย กู้ไป๋อีพามู่เฉียนซีไปห้องพักผ่อนธรรมดาห้องหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลง
เขามองไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ ข้ายังมีอีกชื่อหนึ่ง นั่นก็คือเป่ยกงหาน! เป็นพี่ชายของเป่ยกงจั๋ว เป็นพี่ชายฝาแฝดของเขา”
“ตระกูลเป่ยกงกำเนิดฝาแฝด แถมยังเป็นบุตรชายทั้งสองคน เป่ยกงจั๋วมีพรสวรรค์อันวิปริตมาตั้งแต่เกิด ส่วนข้าไม่สามารถฝึกฝนได้ตั้งแต่แรก สุดท้ายข้าจึงถูกส่งตัวไปอยู่ที่เมืองเฮยตู”
“เมืองเฮยตูอยู่ในที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ตอนที่ข้าได้ออกมาจากเมืองเฮยตู ข้าได้พบกับท่านอาจารย์ ตอนนั้นท่านอาจารย์เป็นหัวหน้าของตำหนักเป่ยหาน ท่านอาจารย์ตั้งชื่อใหม่ให้กับข้า นั่นก็คือชื่อกู้ไป๋อี”
“ตั้งแต่สร้างตำหนักเป่ยหานมา ตำหนักเป่ยหานก็อยู่ในการควบคุมของตระกูลเป่ยกงมาโดยตลอด ก่อนที่ท่านอาจารย์จะจากไป ท่านให้ข้ารับตำแหน่งหัวหน้าตำหนัก แต่ข้าปฏิเสธ แต่ท่านก็โน้มน้าวจนข้าต้องรับตำแหน่งหัวหน้าตำหนักจนได้ หลังจากที่เป่ยกงจั๋วรู้เข้า เขาก็คิดจะเป็นหัวหน้าตำหนักเป่ยหานเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าตำหนักเป่ยหานมีหัวหน้าตำหนักสองคน ส่วนข้าก็เก็บตัวฝึกบำเพ็ญไม่ได้สนใจอะไร”
หัวหน้าตำหนักกู้ไป๋อีเก็บตัวฝึกบำเพ็ญอยู่นานหลายปี ตำหนักเป่ยหานไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขาเลย และเขาเองก็ไม่อยากควบคุมด้วย
กู้ไป๋อีเล่าด้วยท่าทีที่นิ่งสงบมาก แต่มู่เฉียนซีกลับโกรธเกรี้ยวขึ้นมาแล้ว “นี่เจ้าเป่ยกงจั๋วนั่นต้องการอะไรกันแน่?”
เขาเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เป่ยกงผู้สง่าผ่าเผย เหตุใดถึงอยากมาเป็นหัวหน้าตำหนักของกองกำลังระดับสามด้วย
เจ้าบ้านี่จงใจจะแย่งของของเสี่ยวไป๋แน่นอน คงอยากจะแสดงความเหนือกว่าสินะ!
กู้ไป๋อีกล่าว “ซีเอ๋อร์ไม่ต้องโกรธไปหรอก ข้าไม่เคยสนใจการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นของคนพวกนั้นอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขารู้ถึงตัวตนของเจ้าแล้ว เกรงว่า…”
“ถึงแม้ว่าข้าจะออกมาจากที่นั่นนานมากแล้ว แต่ข้าก็กำเนิดเกิดมาจากตระกูลเป่ยกง พวกเขาชอบต่อสู้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว มีจิตใจทะเยอทะยานที่จะครอบครองโลกนี้อย่างแรงกล้า ดังนั้น…”
มู่เฉียนซียิ้มเยาะพลางกล่าว “มู่หลินหลางก็เปรียบเสมือนกระดูกที่กัดได้ยากเหมือนกันนะ เขาจึงคิดจะลงมือกับข้า เมื่อถึงตอนนั้นก็คงจะอาศัยนามของราชวงศ์เดิมไปทำลายล้างราชวงศ์ตงหวง เขาวางแผนถูกแล้ว แต่มามุ่งเป้าลงที่ข้า คิดจะใช้ข้าเป็นเครื่องมือให้ตัวเองสำเร็จในความทะเยอทะยานอย่างนั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!”
กู้ไป๋อีกล่าวเสียงขรึมว่า “ไม่ว่ายังไง ซีเอ๋อร์ก็ต้องระวังตัวให้มาก”
“อืม!”
อุณหภูมิบริเวณรอบ ๆ ลดต่ำลงมาก มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เสี่ยวไป๋ ที่ที่เจ้าบอกว่าปลอดภัยและจะให้อารองมาอยู่ก็คือที่วังใต้ดินแห่งนี้น่ะเหรอ?”
“อืม! ที่นี่แหละ!”
“งั้นข้าจะไปพาอารองมา! ที่นี่ก็ไม่เลวเลย!”
รอให้อารองตื่นขึ้นมา นางก็จะได้รู้เรื่องราวของท่านพ่อตัวเองแล้ว
หลังจากที่มู่เฉียนซีจัดที่อยู่ให้มู่เฟิงหลิงเรียบร้อยแล้ว ก็มีข่าวแพร่กระจายไปทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศว่า มู่เฉียนซีคือผู้ครอบครองกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข่าวนี้ถูกแพร่มาจากที่ใด ถ้ามิใช่จากเจ้าจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น
เมื่อเฟิงอวิ๋นซิวรู้ข่าวนี้ เขาก็ตกใจจนผงะไปครู่หนึ่ง ข่าวนี้แพร่มาจากทางด้านของไป๋อู๋ห่าย ครั้นแล้วเขาจึงไปหาไป๋อู๋ห่าย
“ใครเป็นคนแจ้งข่าวนี้กับท่าน?”
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “อวิ๋นซิว เจ้าถูกสาวน้อยผู้นั้นหลอกจนหัวหมุนแล้ว! เจ้าอยากจะบีบขยี้ให้นางตายหรือไม่ล่ะ!”
ทันทีที่ไป๋อู๋ห่ายรู้ว่าคนที่เขาเกลียดชังมากที่สุดสองคนเป็นคนคนเดียวกัน เขาก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นฟืนเป็นไฟ
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คนผู้นั้นอยู่ที่ไหน?”
แน่นอนว่าไป๋อู๋ห่ายไม่ยอมส่งตัวให้ง่าย ๆ เป็นแน่ เขากล่าว “หาตัวมู่เฉียนซีเจอแล้ว นางอยู่ที่ตำหนักเป่ยหาน! ต่อให้ต้องเปิดศึกกับหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อจับตัวมู่เฉียนซีและเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาให้ได้”
“เฟิงอวิ๋นซิว อย่าได้ลืมหน้าที่ตัวเองเป็นอันขาด”
ดวงตาสีอำพันคู่นั้นของเฟิงอวิ๋นซิวยิ่งเคร่งขรึมลงเรื่อย ๆ “ข้าไม่ลืมอยู่แล้ว!”
ตัวตนของมู่เฉียนซีถูกเปิดเผยแล้ว และสิ่งนี้ก็ทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดไปที่ตำหนักเป่ยหาน
“ประมุขน้อยเฉียนเยี่ย ก็คือมู่เฉียนซี!”
เรื่องนี้ทำให้คนในตำหนักเป่ยหานแต่ละคนต่างพากันวุ่นวาย “ท่านหัวหน้าตำหนัก จะให้หญิงสาวคนหนึ่งมาเป็นประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานของเรามันไม่เหมาะสมนะขอรับ”
“ท่านหัวหน้าตำหนัก พวกเรากับตำหนักตงจี๋มีข้อตกลงกัน หญิงสาวผู้นี้ครอบครองกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เราควรจะส่งตัวนางให้ตำหนักตงจี๋นะขอรับ!”
“ใช่! ส่งตัวนางให้กับตำหนักตงจี๋ มิเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าตำหนักเป่ยหานจะต้องเปิดศึกสู้รบกับตำหนักตงจี๋”
พวกเขาพากันสร้างปัญหาทีละคน สีหน้าของกู้ไป๋อีเย็นยะเยือกขึ้น อยากจะชักกระบี่ฟันคนพวกนี้ให้พูดไม่ได้ไปตลอดชีวิตจริง ๆ
ในตอนนี้เอง น้ำเสียงอันกำเริบเสิบสานเสียงหนึ่งดังขึ้น “ตำหนักเป่ยหานไม่ได้มีกฎสักหน่อยว่าผู้หญิงจะเป็นประมุขน้อยไม่ได้!”
หญิงสาวในชุดสีม่วงบุกพรวดพราดเข้ามาในตำหนักที่ทุกคนกำลังหารือกันอยู่
ใบหน้าที่งดงามอย่างไม่เป็นสองรองใครนั้นทำให้ทุกอย่างในบริเวณโดยรอบดูมืดมนลงในพริบตา ในเมื่อตัวตนถูกเปิดเผยเช่นนี้แล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องปลอมตัวอีกต่อไปแล้ว