หญิงสาวผู้น่าทึ่งอีกทั้งยังกำเริบเสิบสานบุกเข้ามาในตำหนักหารือเช่นนี้ ทุกคนล้วนแต่เดาออกแล้วว่านางเป็นใคร
“มู่เฉียนซี!”
“มู่เฉียนซี นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้าบุกเข้ามาในตำหนักหารือเช่นนี้”
“……”
ร่างในชุดม่วงเคลื่อนไหวไป ก่อนจะนั่งลงอย่างสงบตรงที่นั่งข้าง ๆ กู้ไป๋อี
มู่เฉียนซีเหลือบมองเจ้าเฒ่าเหล่านี้และกล่าวว่า “ผู้อาวุโสทุกท่านก็คงจะไม่รู้กฎกระมัง! ท่านหัวหน้าตำหนักยังไม่ได้ปลดตำแหน่งประมุขน้อยของข้า ผู้อาวุโสทุกท่านก็ควรจะเรียกข้าว่าประมุขน้อยนะ”
ท่าทางกำเริบเสิบสานเช่นนี้ของมู่เฉียนซีทำให้เจ้าเฒ่าเหล่านี้ล้วนแต่เกรี้ยวโกรธจนลมออกหู พลางจ้องมองนางตาเขม็ง
“ข้าคิดว่า หากประมุขน้อยเป็นผู้หญิง เกรงว่าจะแบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวงไม่ไหว ได้โปรดประมุขน้อยถอนตัวจากตำแหน่งประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานด้วย”
พวกเขาไม่กล้าเอ่ยปากให้ท่านหัวหน้าตำหนักปลดตำแหน่งของมู่เฉียนซี จึงทำได้เพียงให้เฉียนซีถอนตัวไปเอง
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วพลางกล่าว “แบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวงไม่ไหวอย่างนั้นเหรอ ข้าจำได้นะว่าข้าเข้าร่วมการประลองคัดเลือกประมุขน้อยมาแล้ว และข้าก็คว้าตำแหน่งประมุขน้อยมาได้ หากพวกเจ้าไม่ยอมจำนน ก็ส่งคนมาท้าประลองกับข้าได้นะ! ข้ารอรับคำท้า”
เหล่าบรรดาผู้อาวุโสต่างแสดงสีหน้าท่าทีที่แตกต่างกันไป อวี้ปิงชิงกับนายน้อยทั้งเจ็ดของตำหนักเป่ยหานเป็นคนที่ตำหนักเป่ยหานเลี้ยงดูฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่พวกเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง แล้วพวกเขาจะไปหาคนจากไหนมาท้าประลองกับนางกันล่ะ
และในตอนนี้เอง ดวงตาของผู้อาวุโสหกก็เปล่งประกายขึ้น ก่อนจะมองไปที่มู่เฉียนซี “ประมุขน้อยหมายความว่า หากมีคนรุ่นเยาว์ของตำหนักเป่ยหานสามารถเอาชนะประมุขน้อยได้ ประมุขน้อยก็จะยอมถอนตัวจากตำแหน่งประมุขน้อยอย่างนั้นเหรอ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ใช่! ตราบใดที่พวกเจ้าหาคนเช่นนั้นเจอนะ! แต่ถ้าไม่มี ตำแหน่งประมุขน้อยนี่ก็เป็นของข้า อย่างน้อยก็ก่อนที่ตำหนักตงจี๋จะดับสิ้นไป”
พวกเขากล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “พวกเราตำหนักเป่ยหานกับตำหนักตงจี๋อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมาโดยตลอด จะเปิดศึกสู้รบไม่ได้เด็ดขาด! ประมุขน้อย ยอมมอบกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้ตำหนักตงจี๋ไปเถอะ”
มู่เฉียนซีกล่าวเยาะเย้ยว่า “ตลกสิ้นดี ของของข้า ทำไมต้องเอาไปให้คนอื่นด้วย! พวกเจ้าเป็นถึงยอดฝีมือผู้กล้าแห่งตำหนักเป่ยหาน นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะขี้ขลาดหวาดกลัวตำหนักตงจี๋ไปได้”
“แต่ว่า…แต่ว่าพวกเราได้รับคำสั่งมาแล้ว!”
กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “อีกไม่นาน พวกเจ้าจะได้รับคำสั่งใหม่ รอไปก่อน!”
ดูเหมือนจะไม่อยากพูดจาไร้สาระกับพวกเขาแล้ว กู้ไป๋อีกล่าวจบก็พามู่เฉียนซีกลับไปทันที ปล่อยให้เจ้าเฒ่าเหล่านี้หันมองหน้ากันไปมาด้วยความหวาดกลัว
กู้ไป๋อีมองมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “มีข้าปกป้องเจ้าอยู่ พวกนั้นไม่กล้าพูดอะไรแน่นอน เจ้าไม่จำเป็นต้องรับคำท้าประลอง!”
เหล่าบรรดาผู้อาวุโสทุกคนล้วนแต่รู้ดีว่าพลังความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีเป็นเช่นไร เพื่อเอาชนะนางให้ได้ คาดว่าพวกนั้นจะต้องใช้อุบายเป็นแน่
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าก็แค่อยากยืดเส้นยืดสายหน่อย เอาชนะให้พวกเขายอมจำนนด้วยใจจริง จะรอดูว่าจะเอาอุบายอะไรออกมาใช้”
บรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นไม่ยอมรับที่มู่เฉียนซีเป็นประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหาน และยิ่งพวกเขาไม่ยอมรับมากเท่าไร มู่เฉียนซีก็ยิ่งเหิมเกริมมากขึ้นเท่านั้น
“ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสรองแย่แล้วขอรับ ประมุขน้อยซ้อมคนของเราจนบาดเจ็บหมดแล้ว ส่วนสมุนไพรวิญญาณก็ถูกย้ายไปจนเกลี้ยงแล้วขอรับ”
“ผู้อาวุโสสาม แย่แล้วขอรับ ประมุขน้อยเอาผลึกสัตว์วิญญาณไปเกลี้ยงตำหนักพวกเราเลยขอรับ”
“……”
ของดีของตำหนักเป่ยหานถูกมู่เฉียนซีเอาไปจนหมดสิ้น
เดิมทีคิดว่าเป็นของของเสี่ยวไป๋ นางจึงไม่อยากทำอะไรที่มันเกินไป แต่ช่วยไม่ได้ ของพวกนี้ล้วนแต่เป็นของเป่ยกงจั๋ว แล้วนางจะมัวเกรงใจอยู่ทำไมล่ะ
เหล่าบรรดาผู้อาวุโสแห่งตำหนักเป่ยหานโกรธเกรี้ยวจนแทบกระอักเลือดออกมา นี่มันประมุขน้อยซะที่ไหนกันเล่า นี่มันโจรชัด ๆ
จะทำยังไงได้ล่ะ ก็ผู้อาวุโสสูงสุดมาหายตัวไป ท่านหัวหน้าตำหนักก็ไม่รักษาหลักการที่ยึดถือเลยแม้แต่น้อย ส่วนอีกฝ่ายก็ยังมีผู้แข็งแกร่งคอยปกป้องอยู่เช่นนี้ พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่เฝ้ามองดูเท่านั้น
“รอให้ผู้ส่งสาส์นลงมาก่อน จะต้องรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปให้ได้ เหตุใดท่านหัวหน้าตำหนักถึงได้ปล่อยให้สาวน้อยผู้นั้นกระทำตามใจตัวเองเช่นนี้นะ”
เมื่อได้ของดีมามากมายเช่นนี้ มู่เฉียนซีก็ไปปรุงยาทันที ส่วนผลึกวิญญาณสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็มอบให้อู๋ตี้แทะเล่น อีกไม่นานเจ้าอู๋ตี้ก็จะเลื่อนขั้นแล้ว
ในที่สุดผู้ส่งสาส์นที่เหล่าบรรดาผู้อาวุโสพร่ำบ่นถึงก็มาแล้ว เดิมทีพวกเขาต้องการจะฟ้องร้องเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง ทว่าผู้ส่งสาส์นกลับกล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า “ข้าต้องการพบประมุขน้อยของพวกเจ้า”
บรรดาผู้อาวุโสแอบดีใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจัดการสาวน้อยผู้หยิ่งยโสผู้นั้นไม่ได้ แล้วคิดว่าเบื้องบนจะจัดการไม่ได้อย่างนั้นเหรอ
“เด็ก ๆ! ไปเชิญประมุขน้อยมาที่นี่”
ไม่นานนัก มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีก็มาถึง เมื่อมองไปที่ผู้ส่งสาส์นผู้แปลกหน้าผู้นั้น มู่เฉียนซีก็กล่าว “ในเมื่อมาแล้วก็เอาของออกมาเถอะ!”
ผู้ส่งสาส์นเอาขวดยาลูกกลอนขวดหนึ่งออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “แม่นางมู่ นี่เป็นยาลูกกลอนที่ฝ่าบาทตั้งใจหลอมออกมาให้แม่นางเป็นพิเศษ ยาตี้หลัว ยาลูกกลอนนี้จะทำให้พลังของแม่นางเพิ่มสูงขึ้นถึงขั้นมหาจักรพรรดิระดับสูงสุดเป็นเวลาสามวัน”
มู่เฉียนซีรับยาลูกกลอนมาด้วยท่าทางสบาย ๆ นางยิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นยาลูกกลอนที่ใช้ได้เลยทีเดียว”
เหล่าบรรดาผู้อาวุโสต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
นะ…นี่มัน…
ผู้ส่งสาส์นไม่ได้มาจัดการมู่เฉียนซี แต่มาเพื่อเอายาลูกกลอนมามอบให้มู่เฉียนซีอย่างนั้นเหรอ!
แถมยังเป็นยาตี้หลัวอีกด้วย คาดว่าระดับจะสูงกว่าขั้นสวรรค์เป็นแน่ นึกไม่ถึงเลยว่าฝ่าบาทจะมอบยาลูกกลอนอันล้ำค่าเช่นนี้ให้กับมู่เฉียนซี
ฝ่าบาทสนใจมู่เฉียนซีเป็นพิเศษเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “มียาลูกกลอนนี้ ข้าต้องคว้าอันดับหนึ่งมาได้แน่นอน บอกฝ่าบาทของพวกเจ้าเตรียมทำตามข้อตกลงได้เลย!”
ผู้ส่งสาส์นผู้นั้นพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อผู้ส่งสาส์นจากไปเช่นนี้ ความหวังของเหล่าบรรดาผู้อาวุโสก็ดับสลายไปทันที
มิน่าล่ะว่าเหตุใดมู่เฉียนซีถึงได้กำเริบเสิบสาน และหยิ่งผยองเช่นนี้ ที่แท้ไม่เพียงแค่มีท่านหัวหน้าตำหนักปกป้องนางเท่านั้น นึกไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าฝ่าบาทก็ปกป้องนางเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน
มู่เฉียนซีเหลือบไปมองพวกเขาและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ยังมีเรื่องอะไรกับข้าอยู่อีกหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว! เชิญประมุขน้อยตามสบายเถอะ!”
“ข้าขอตัว!”
“……”
มู่เฉียนซีกลับมายังที่ของตัวเอง และหยิบยาตี้หลัวออกมาสำรวจ กู้ไป๋อีเดินมาข้างกายนางและกล่าวว่า “ยาลูกกลอนของเป่ยกงจั๋ว ซีเอ๋อร์ห้ามใช้เด็ดขาด! ข้ากลัวว่าเขาจะเล่นอุบายใส่ลงไปในยานี่”
เพราะเขาทั้งสองเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้ชีวิตเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก แต่กู้ไป๋อีก็เข้าใจและรู้จักนิสัยของน้องชายตัวเองดี
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าวางใจเถอะ! อุบายพวกนั้นของนักปรุงยาข้ารู้ดี”
ได้ยินเช่นนี้กู้ไป๋อีก็วางใจ “การประลองหลอมยา ข้าจะหาวิธีอื่นเพื่อให้พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นให้ได้”
มู่เฉียนซีทำท่าทางเล่นกับยาลูกกลอนในมือ พลางกล่าวว่า “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก ข้ามีวิธีแล้ว ยาลูกกลอนนี่มีประโยชน์มาก สมุนไพรวิญญาณอันล้ำค่ามากมายไม่ใช่ว่าจะหาได้ในดินแดนสี่ทิศ หากไม่ใช้มันก็เสียดายเปล่า”
“มันจะเสี่ยงเกินไปหรือไม่?” สำหรับความสามารถของเป่ยกงจั๋วนั้น เขารู้ดี
“เสี่ยวไป๋ เจ้าอย่าลืมสิ ถึงแม้ว่าเป่ยกงจั๋วจะเก่งกาจ แต่ข้ามู่เฉียนซีก็ใช่ว่าจะฝีมืออ่อนด้อยนะ ข้าเป็นถึงผู้ทำพันธสัญญากับหม้อเทพนิรันดร์ ความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับการปรุงยาที่ข้ามีอยู่ แม้แต่องค์รัชทายาทเป่ยกงก็เทียบข้าไม่ได้หรอก”
ดวงตาของมู่เฉียนซีสุกสกาวขึ้น เรื่องการปรุงยา นางมีความมั่นใจเป็นพิเศษอยู่แล้ว
และความมั่นใจนี้ เกิดขึ้นจากความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนของตัวเอง และความแข็งแกร่งของนิรันดร์ ไม่ใช่การอวดดีแต่อย่างใด
แววตาอันเย็นยะเยือกคู่นั้นของกู้ไป๋อีพลันอ่อนโยนขึ้น “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”
“จากนี้ไปข้าจะเก็บตัวสักพัก ข้าจะศึกษาของขวัญชิ้นนี้ที่เป่ยกงจั๋วให้ข้ามา หากการประลองหลอมยาใกล้เริ่ม มาบอกข้าด้วย” มู่เฉียนซีกล่าวกับกู้ไป๋อี
.