จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้เริ่มเก็บตัวฝึกบำเพ็ญแล้ว ภารกิจในการเก็บตัวก็คือศึกษายาเม็ดตี้หลัว
ยาเม็ดนี้ของเป่ยกงจั๋วนั้นได้ใช้วิธีการเจ้าเล่ห์อย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ด้วย เกรงว่าทั่วทั้งโลกสี่ทิศนี้จะไม่มีนักปรุงยาผู้ใดที่สามารถมองออกได้ถึงปัญหาของยาเม็ดนี้
หากมิใช่เพราะนางได้รับมรดกสืบทอดของนิรันดร์มา คาดว่านางเองก็คงจะมองไม่ออกถึงปัญหานี้เช่นกัน
ยาเม็ดนี้ดูเหมือนว่าระดับความสามารถในการปรุงยาของเป่ยกังจั๋วนั้นสูงเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดว่าระดับขั้นนักปรุงยาของแดนเทียนซวนนั้นเป็นเช่นไรก็ตาม แต่สามารถมั่นใจได้ว่าระดับในการปรุงยาของเขานั้นสูงส่งมากกว่านางยิ่งนัก
แต่แล้วอย่างไรเล่า? นางมีวิธีที่จะทำลายหมากกระดานนี้ของเขา!
มู่เฉียนซีได้เก็บตัวไปอยู่เจ็ดวัน ในเจ็ดวันนี้ยาเม็ดตี้หลัวนั้นได้หายไป แล้ว แต่ว่าในมือของมู่เฉียนซีนั้นกลับมียาน้ำสีขาวเพิ่มขึ้นอีกขวดหนึ่ง
“ระยะเวลาที่พลังความสามารถไปถึงขั้นมหาจักพรรดิขั้นสูงสุดเต็มขั้นจากสามวันลดมาเหลือเพียงหนึ่งวันครึ่ง แต่ทว่ามันก็แข็งแกร่งกว่าเจ้าคนเจ้าเล่ห์ผู้นั้น” มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย
มู่เฉียนซีออกจากการเก็บตัวแล้ว ถึงแม้ว่าในโลกแห่งการปรุงยานั้นจะมีข่าวลืองานประชุมปรุงยาครั้งใหญ่ของโลกทั้งสี่ทิศ แต่ว่ายังไม่ได้กำหนดวันจัดงานที่แน่นอนออกมา
ในตอนนี้เองผู้อาวุโสหกก็ได้มาเยี่ยมเยียนมู่เฉียนซี
กู้ไป๋อีกล่าวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีเรื่องอะไร?”
ผู้อาวุโสที่หกกล่าว “เนื่องด้วยประมุขน้อยเฉียนซีบอกว่ายินดีที่จะชี้แนะสั่งสอนคนรุ่นหนุ่มสาวของตำหนักเป่ยหาน ดังนั้นศิษย์จำนวนไม่น้อยจึงได้มาลงสมัครกันอย่างแข็งขัน ไม่ทราบว่าประมุขน้อยเฉียนซีจะรับคำท้าหรือไม่?”
หัวหน้าตำหนักล้วนแต่คอยปกป้องสาวน้อยผู้นี้ พวกเขาเองก็ไม่กล้าพูดกล่าวอะไรที่ไม่ควรไปมากนัก
แต่ทว่าเรื่องของการประลองนั้นเป็นเรื่องที่นางตอบรับเอาไว้เอง และมิใช่ว่าพวกเขาตั้งใจจะมาหาเรื่องให้ลำบาก หัวหน้าตำหนักรู้แล้วก็คงจะไม่กล่าวโทษอะไร
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ข้าเพิ่งออกมาจากการเก็บตัวฝึกบำเพ็ญก็ค่อนข้างเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ให้พวกเขารอสักสองสามวันก็แล้วกัน! เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะไปรับใช้อย่างแน่นอน”
“ข้าผู้เฒ่าทราบแล้ว!”
อัจฉริยะแห่งตำหนักเป่ยหาน การคัดเลือกประมุขน้อยได้เริ่มขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่เป็นคมในฝักนางเองก็มิจำเป็นที่จะต้องหวั่นกลัว
มู่เฉียนซีได้พักผ่อนไปแล้วสามวัน ผู้อาวุโสหกนึกว่านางไม่คิดที่จะลงประลองแล้ว แต่ปรากฏว่ามู่เฉียนซีกลับให้คนมาส่งข่าว
หลังจากการคัดเลือกประมุขน้อยแล้ว ตำหนักเป่ยหานก็มิได้มีการจัดประลองมานานมากแล้ว
อีกทั้งผู้ที่เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้นั้นเป็นถึงประมุขน้อยของพวกเขา ผู้ที่นับได้ว่าเป็นตำนานผู้หนึ่ง
อัจฉริยะนักปรุงยาอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันออก เคยหนีรอดจากการล้อมฆ่าของตำหนักตงจี๋มาแล้ว อีกทั้งยังเป็นนายของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ จะต้องเป็นผู้ที่เป็นตำนานผู้หนึ่งอย่างแน่นอน
เมื่อเงาร่างสีม่วงนั้นได้มาถึง เหล่าผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “ประมุขน้อยมาแล้ว!”
“ประมุขน้อยเฉียนซี!”
“……”
ผู้อาวุโสแต่ละคนกำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้ตัดสิน ผู้อาวุโสห้าบ่นพึมพำขึ้น “เจ้าเด็กสาวนี่กล้ามาจริง”
“ในเมื่อนางได้ตอบรับแล้วก็แน่นอนว่าไม่อาจที่จะไม่รักษาคำมั่นสัญญาได้”
ผู้อาวุโสห้ากับผู้อาวุโสหกเองก็รู้สึกอึดอัด ศิษย์ที่ตนทุ่มเทแรงกายแรงใจฝึกฝนออกมาอย่างเต็มที่มิเพียงแต่ถูกมู่เฉียนซีอัดจนได้รับบาดเจ็บ ซ้ำยังถูกหัวหน้าตำหนักขังเอาไว้ในที่ต้องห้ามซึ่งมืดมิดไร้แสงเดือนแสงตะวันและไม่อาจจะออกมาได้อีก
“ขอให้ประมุขน้อยโปรดชี้แนะด้วย!”
คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา โดยประมาณแล้วมีจำนวนสามสิบกว่าคน
แม้ว่าพลังความสามารถของแต่ละคนนั้นไม่อาจจะเทียบได้กับนายน้อยทั้งเจ็ดและอวี้ปิงชิงของตำหนักเป่ยหาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้แย่อย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสหกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ประมุขน้อยเฉียนซี พวกลูกกระต่ายพวกนี้จะให้ข้าช่วยเลือกออกมาจำนวนหนึ่งเฉพาะคนที่มีพลังความสามารถพอใช้ได้ให้มาประลองกับท่านหรือไม่? ถ้าหากประลองเรียงตัวไปทีละคน ก็เกรงว่าจะทำให้ท่านเหนื่อยล้า นั่นคงจะไม่ดีนัก! ท่านหัวหน้าตำหนักจะต้องกล่าวโทษพวกเราอย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซียิ้มอย่างเบาบางแล้วกล่าว “ใครบอกว่าข้าจะสู้กับพวกเขาเรียงตัวทีละคนเล่า?”
เหล่าผู้คนต่างตะลึงค้าง ไม่ประลองเรียงคนไปแล้วจะประลองเช่นไร?
มู่เฉียนซีมองไปยังพวกเขาแล้วกล่าวขึ้น “พวกเจ้าเข้ามาพร้อม ๆ กันเถอะ!”
เมื่อเหล่าผู้คนได้ยินเช่นนั้นแล้วต่างก็ส่งเสียงเอ็ดอึง “อะไรนะ? เข้าไปพร้อม ๆ กัน?”
“ประมุขน้อย นี่มันจะบ้าเกินไปแล้วกระมัง! พวกเขามีทั้งหมดเป็นสิบ ๆ คนเชียวนะ!”
“แม้ว่าประมุขน้อยจะสามารถต่อสู้ข้ามระดับขั้นได้ แต่ต่อสู้กับคนจำนวนมากในคราเดียวเช่นนี้มันก็เสี่ยงมากไปแล้ว!”
ผู้อาวุโสทุกคนก็ล้วนต่างตะลึงงันเช่นกัน “ประมุขน้อยเฉียนซี แน่ใจหรือว่าจะทำเช่นนี้?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ผู้อาวุโสแต่ละท่านไม่ยินยอมหรือ?”
จะไปไม่ยินยอมตอบรับได้อย่างไร เผชิญกับคนจำนวนมากมายเช่นนี้นางจะต้องพ่ายแพ้โดยอนาถอย่างหนักเป็นแน่
“ในเมื่อเป็นความต้องการของประมุขน้อย แน่นอนว่าพวกเราก็ไม่ปฏิเสธที่จะตอบตกลง เพียงแต่ว่าถ้าหากชนะแล้ว เช่นนั้น…”
มู่เฉียนซีกล่าวตัดคำพูดของเขา “นั่นง่ายดายนัก พวกท่านผู้อาวุโสก็เลือกเอาตามสบายก็ได้แล้ว”
เมื่อผู้อาวุโสแต่ละคนได้ฟังคำพูดของนางแล้วก็ล้วนแต่หน้าดำครึ้ม เลือกเอาตามสบาย? นางคิดว่าการคัดเลือกประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานของพวกเขานั้นเป็นดั่งการเลือกผักเลือกปลาหรืออย่างไร?
แต่ว่าความหยิ่งทะนงเป็นใหญ่ของมู่เฉียนซีที่ต้องการจะรนหาที่ตายนั้น พวกเขาก็จึงตามน้ำไปกับนางก่อนก็แล้วกัน!
“ได้! เช่นนั้นก็เอาดังนี้”
เมื่อได้รับคำตอบนี้ เงาร่างของมู่เฉียนซีก็พุ่งผ่านไปในทันใดและขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลองอย่างแผ่วเบา
นางมองไปยังคนพวกนั้นแล้วกล่าว “ยังช้าอยู่ใย? เข้ามาเถิด!”
เพียงตัวคนเดียวแต่กลับกล้าที่จะท้าพวกเขาที่เป็นคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาเองก็อยากให้บทเรียนแก่ประมุขน้อยผู้นี้ดูสักหน่อย!
อย่างไรเสีย อีกไม่นานนักนางก็จะไม่ใช่ประมุขน้อยแล้ว
ว่าแล้วคนเหล่านี้ก็ได้ขึ้นไปบนเวทีประลองพร้อม ๆ กัน ผู้อาวุโสหกซึ่งเป็นผู้ตัดสินนั้นกล่าวประกาศอย่างรอไม่ไหว “เริ่มการประลองได้!”
เมื่อสิ้นเสียงของผู้อาวุโสหก พวกเขาก็คิดที่จะชิงโจมตีก่อนเพื่อความได้เปรียบ อย่างไรเสียพวกเขานั้นก็รู้ดีถึงพลังความสามารถของมู่เฉียนซี
แม้ว่าพวกเขาจะรวดเร็ว แต่ความเร็วของมู่เฉียนซีนั้นเร็วยิ่งกว่า!
กระบี่สีแดงได้ถูกมู่เฉียนซีนำออกมาในชั่วพริบตา และดูเหมือนว่าทั้งตัวคนและกระบี่นั้นได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
“มังกรเพลิงสังหาร!”
ทันใดนั้นมังกรเพลิงสีแดงฉานก็ได้พุ่งออกไป
“ปัก ปัก ปัก!”
จากนั้น พลังอันหนาวเหน็บก็พลันปรากฏขึ้น มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มังกรวารีพิฆาต!”
ต่อจากนั้นก็เป็นอีกกระบวนกระบี่ระเบิดออกไป “บัวแดงพิฆาต!”
พลังวิญญาณธาตุน้ำได้ปะทุขึ้นมาถึงขีดสุด มังกรวารีที่มีพลังอันไพศาลได้ปรากฏขึ้น “มังกรน้ำแข็งท้าสวรรค์!”
“ผนึกมังกรวารี!”
“ทักษะโยวหลัว!”
คนเหล่านั้นยังไม่ทันได้ลงมือ มู่เฉียนซีก็ได้ระเบิดทักษะวิญญาณอย่างบ้าคลั่งกวาดออกไปโดยไม่พักหายใจ
ต้องรู้เอาไว้ว่าทักษะวิญญาณเหล่านี้มิใช่สิ่งที่ทักษะวิญญาณทั่วไปจะสามารถเทียบได้ มันสิ้นเปลืองพลังวิญญาณเป็นที่สุด แต่ราวกับว่ามันมิได้ทำให้มู่เฉียนซีสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปเลยแม้แต่น้อย
“ปัก ปัก ปัก!”
การโจมตีที่เหมือนลมวายุสายฟ้ากระหน่ำของมู่เฉียนซีนี้ได้ทำให้คนจำนวนสิบกว่าคนหายไปจากบนเวทีประลองในเวลาเพียงชั่วพริบตา แม้แต่โอกาสที่พวกเขาจะได้ลงมือก็ยังไม่มี
“ร้ายกาจเกินไปแล้วกระมัง!”
“ประมุขน้อยเฉียนซีลงมือในครานี้ช่างสวยงามนัก”
“……”
“ลงมือ!” สีหน้าของคนบนเวทีประลองมืดครึ้มลงพลัน พวกเขาไม่กล้าที่จะประมาทและเริ่มล้อมโจมตีมู่เฉียนซีอย่างมีลำดับ
“มังกรเพลิงพิฆาต!”
เมื่อเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีของพวกเขา มู่เฉียนซีก็คงจะไม่สิ้นเปลืองแรงไปมากนัก
มิเพียงแต่ไม่ถูกพวกเขาโจมตีเท่านั้น กลับกันมู่เฉียนซียังสามารถคว้าโอกาสเอาไว้ได้และส่งคนเหล่านั้นลงไปจากเวทีประลอง
ปัก ปัก ปัก!
“มู่เฉียนซีนั้นเป็นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่แปดแล้ว”
“ในตอนที่นางเป็นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เจ็ดก็สามารถที่จะสู้กับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่แปดได้ ตอนนี้คิดที่จะเอาชนะนาง อย่างน้อยก็ต้องมีมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าสักคนหนึ่งกระมัง! สามารถกวาดตามองไปได้ทั่วโลกทั้งสี่ทิศ คนรุ่นหนุ่มสาวคราวนี้จะมีผู้ใดมีพลังความสามารถเช่นนั้น! ถึงต่อให้เป็นนายน้อยอวิ๋นซิวก็เกรงว่าคงจะเป็นเพียงมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เจ็ดเท่านั้น”
มีผู้กล่าวขึ้นมาอีก “นั่นมันก็ไม่แน่! หากเป็นหนึ่งต่อหนึ่งละก็ แน่นอนว่าต้องใช้ผู้ที่มีความสามารถมากเช่นนั้นจึงจะสามารถเอาชนะประมุขน้อยเฉียนซีได้ แต่ตอนนี้คู่ต่อสู้ของประมุขน้อยเฉียนซีมิได้มีเพียงผู้เดียว คนเยอะพลังก็เยอะตาม รอจนประมุขน้อยเฉียนซีใช้พลังจนหมดสิ้นแล้ว เช่นนั้น…”