คนผู้นั้นที่อยู่ด้านหลังมู่เฉียนซีใช้พลังจิตโจมตีมู่เฉียนซี
การแสดงออกของผู้อาวุโสหกพลันดุร้ายขึ้น ต่อให้มู่เฉียนซีระมัดระวังตัวมากเพียงใด แต่การโจมตีทางพลังจิตเช่นนี้ นางไม่สามารถป้องกันได้แน่นอน
ในฐานะที่เขาเป็นผู้ฝึกสัตว์ แน่นอนว่าพลังจิตของเขานั้นเก่งกาจมาก และเขาก็แอบฝึกฝนศิษย์ที่มีพลังจิตอันวิปริตออกมาได้คนหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ได้ฝึกฝนวิชาต้องห้ามของทักษะทางพลังจิตแล้วด้วย
นี่เป็นไพ่เด็ดที่เขาซ่อนเอาไว้ลึกลับมาก ตอนนี้ เพื่อทำลายมู่เฉียนซีจึงทำได้เพียงเปิดไพ่นี้ออกมา
เมื่อรับรู้ได้ถึงการโจมตีที่เข้ามานั้น มู่เฉียนซีก็ยิ้มแย้มขึ้น!
นึกว่าผู้อาวุโสหกจะเล่นกลอุบายอะไร ที่แท้ก็การโจมตีทางพลังจิตนี่เอง
และแน่นอนว่ามู่เฉียนซีไม่ได้สนใจการโจมตีนี้เลย นางยังมุ่งมั่นโจมตีศัตรูตรงหน้าจนกระเด็นลอยออกไป
ปลายเท้าของนางจรดลงบนลานประลองอย่างงดงาม จากนั้นก็เคลื่อนไหวที่ไปเป้าหมายต่อไป
ส่วนการโจมตีทางพลังจิต ของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ต้องสนใจด้วยเหรอ?
ไม่นานนัก การโจมตีทางพลังจิตนั้นก็มาถึง!
พลังจิตของคนผู้นั้นดุจดั่งสายน้ำหลากที่หลั่งไหลเข้ามาในมหาสมุทรก็มิปาน ไม่นานนักก็ถูกคลื่นมหาสมุทรซัดกลับ
สีหน้าของคนผู้นั้นพลันเปลี่ยนไปมาก เป็นไปได้อย่างไร
เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีคนที่พลังจิตแข็งแกร่งเช่นนี้ เห็น ๆ กันอยู่ว่านางเป็นเพียงแค่สาวน้อยวัยสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง!
โจมตีไม่สำเร็จ แถมยังถูกพลังจิตอันน่าหวาดกลัวโจมตีย้อนกลับไป
คนผู้นั้นเริ่มกรอกตามองบน รูม่านตาของเขาเริ่มเหม่อลอย
“ฮี่ ๆ ๆ!” เขากรอกตามองบน และยืนยิ้มด้วยท่าทางโง่งมอยู่บนลานประลอง
เมื่อผู้อาวุโสหกเห็นศิษย์ของตัวเองมีท่าทางที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“เป็นไปได้ยังไง?”
เขาไม่เห็นมู่เฉียนซีโจมตีกลับเลย แต่ดูเหมือนว่าศิษย์ของเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสทางพลังจิตเสียแล้ว
“เอ๊ะ! ชายผู้นั้นเป็นอะไรไปล่ะ ทำไมถึงยืนยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่ตรงนั้น”
“นี่ผู้อาวุโสหกคิดจะทำอะไรกันแน่ นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าจะให้คนโง่เขลาเช่นนี้มาเข้าร่วมการประลองด้วย ดูถูกประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานของพวกเราเกินไปแล้วจริง ๆ!”
“ดูท่าน่าจะโง่เขลาจริง ๆ ด้วย เจ้าดูสิ ยืนยิ้มคนเดียวน้ำลายไหลแล้วนั่น”
มู่เฉียนซีจัดการเจ้านายคู่ต่อสู้ของเสี่ยวหงแล้ว และแน่นอนว่าเสี่ยวหงก็กำลังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง
ในตอนนี้เองร่างสีขาวก็พุ่งไปที่ด้านหลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหกตัวนั้น!
อู๋ตี้ยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าหมูขี้เกียจ ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว!”
กรงเล็บอันแหลมคมของแมวน้อยแทงทะลุร่างของเสือตัวนั้นอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
แกนวิญญาณถูกอู๋ตี้ควักออกมา ตุบ! ร่างของเสือตัวนั้นล้มลงไปกับพื้นทันที
อู๋ตี้ยืนพิงขนของเสือตัวนั้นด้วยท่าทางสบาย ๆ และค่อย ๆ กัดกินแกนวิญญาณของมัน
แกร่ก ๆ!
เสี่ยงหงกล่าวออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ใครใช้ให้แมวโง่เขลาอย่างเจ้าเข้ามายุ่งห้ะ ตอนที่ควรลงมือเจ้ากลับไม่ทำ”
อู๋ตี้กล่าว “ก็ข้ามีความสุขที่จะทำแบบนี้หนิ!”
สัตว์พันธสัญญาถูกกำจัดไปแล้ว ส่วนคนที่เหลืออยู่ มู่เฉียนซีก็โจมตีกวาดลงไปจากลานประลองจนเกลี้ยง
กระบี่สีแดงฉานส่องประกายระยิบระยับสะท้อนผ่านดวงตาของผู้คน ส่วนร่างบอบบางในชุดม่วงที่ยืนอยู่บนลานประลองด้วยท่าทางกำเริบเสิบสานอีกทั้งยังดูสูงศักดิ์อีกด้วยผู้นั้ ทำให้ผู้คนต่างมองนางด้วยความคลั่งไคล้เป็นอย่างยิ่ง
แข็งแกร่ง แข็งแกร่งยิ่งนัก!
มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “การประลองสนามนี้ข้าชนะแล้ว หากผู้อาวุโสท่านใดไม่ยอมรับให้ข้าเป็นประมุขน้อย ก็ส่งคนมาได้เลย!”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงขึ้น อะไรนะ?
นึกไม่ถึงเลยว่าเหล่าบรรดาผู้อาวุโสจะไม่ยอมรับให้ประมุขน้อยเฉียนซีเป็นประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหาน หากผู้ที่มีฝีมือและความสามารถอันวิปริตเช่นนี้อย่างนางไม่เหมาะสมที่จะเป็นประมุขน้อย แล้วในดินแดนสี่ทิศแห่งนี้ยังจะมีผู้ใดที่เหมาะสมอีกเล่า
ประมุขน้อยเฉียนซีวิปริตยิ่งกว่านายน้อยอวิ๋นซิวเสียอีก!
ผู้อาวุโสรองกล่าว “พลังความแข็งแกร่งของประมุขน้อยเฉียนซีนั้นไม่ธรรมดา แต่จะให้เป็นประมุขน้อยนั้น…”
ผู้อาวุโสรองไม่ทันกล่าวจบ มู่เฉียนซีก็กล่าวตัดบทขึ้นมาว่า “ดูท่าผู้อาวุโสรองจะยังไม่ยอมรับ เช่นนั้นผู้อาวุโสทุกท่านขึ้นมาประลองกับข้าเป็นเช่นไร?”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นอีกครั้ง ให้เหล่าบรรดาผู้อาวุโสแห่งตำหนักเป่ยหานขึ้นไปประลอง นี่ประมุขน้อยบ้าไปแล้วกระมัง
เหล่าบรรดาผู้อาวุโสพวกนี้ล้วนแต่มีพลังระดับเก้าทั้งสิ้น และผู้อาวุโสสองท่านนี้ก็มีพลังถึงระดับสูงสุดเชียวนะ!
นางจะเป็นคู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสได้อย่างไรกัน
ศิษย์ผู้ที่เขาภาคภูมิใจถูกมู่เฉียนซีทำให้เป็นคนโง่เขลาอย่างแปลกประหลาดไปแล้ว และแน่นอนว่าผู้อาวุโสหกต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เขาเอ่ยปากกล่าวว่า “ประมุขน้อย พูดจริง ๆ เหรอ?”
มู่เฉียนซีมีความสามารถก็จริง แต่ก็จะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว!
มู่เฉียนซีกล่าว “ก็พูดจริงน่ะสิ หากเหล่าผู้อาวุโสยังไม่ยอมรับในตัวข้า ก็ขึ้นมาประลองหมดนี่แหละ! ข้า ยินดีต้อนรับ!”
“นี่ประมุขน้อยเฉียนซีเป็นคนพูดเองนะ!”
ครั้นแล้ว เหล่าบรรดาผู้อาวุโสแห่งตำหนักเป่ยหานก็ขึ้นไปบนลานประลอง
ผู้คนต่างซุบซิบนินทากันว่า “เหล่าผู้อาวุโสไร้ยางอายเกินไปแล้ว พลังแข็งแกร่งปานนั้น แถมอายุยังเยอะมากแล้วด้วย ยังจะมาประลองกับประมุขน้อยอีก! รังแกผู้น้อยเกินไปแล้วกระมัง!”
“ก็นั่นน่ะสิ พวกเขาทำเช่นนี้ได้ยังไงกัน ประมุขน้อยเฉียนซีไม่เหมาะสมเป็นประมุขน้อยตรงไหน”
“……”
เมื่อเห็นพวกเขาขึ้นลานประลองเช่นนี้ มุมปากของมู่เฉียนซีก็ยกยิ้มขึ้นพลางกล่าว “แต่เดี๋ยวนะ ผู้อาวุโสทุกท่าน ถึงแม้ว่าข้าจะรับปากว่าจะประลองกับพวกท่าน แต่ก็ไม่ได้หมายความข้าจะต่อสู้คนเดียวนะ!”
“เสี่ยวไป๋ ชิงอิ่ง!”
ทันทีที่มู่เฉียนซีกล่าวจบ ร่างอันเพรียวบางทั้งสองก็ปรากฏขึ้นข้างกายมู่เฉียนซี
ภายในชั่วพริบตาเดียว สีหน้าของเหล่าบรรดาผู้อาวุโสพลันดำคล้ำยิ่งกว่าก้นหม้อเสียอีก
“ท่านหัวหน้าตำหนัก…”
นึกไม่ถึงเลยว่ามู่เฉียนซีจะให้ท่านหัวหน้าตำหนักช่วย แล้วนี่จะต่อสู้อย่างไรกันล่ะ
แถมยังมีชายชุดเขียวนี่อีก เจ้าหมอนี่ก็วิปริตยิ่งนัก!
พวกเขากังวลใจเป็นอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสรองกล่าว “ประมุขน้อยเฉียนซี ประมุขน้อยไม่ได้พูดว่าต้องการคนช่วยนะ”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “แต่ข้าก็ไม่ได้พูดว่าจะไม่ต้องการนะ! อีกอย่าง ข้าเองก็รู้สึกว่าผู้อาวุโสทุกท่านอายุแก่จนปูนนี้แล้ว แต่ข้าอายุยังไม่ถึงยี่สิบเลย ข้ารู้สึกว่าพวกท่านรังแกข้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไร ข้าก็เลยเอาตัวช่วยมาด้วยก็เท่านั้น”
“อีกอย่าง ฝ่ายข้าก็มีกันแค่สองสามคน ผู้อาวุโสทุกท่านไม่เสียเปรียบแน่นอน!”
เจ้าเฒ่าเหล่านี้แทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว สองสามคน! พวกเขาไม่เสียเปรียบอย่างนั้นเหรอ?
แค่ท่านหัวหน้าตำหนักคนเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการกับพวกเขาแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าหนุ่มชุดเขียวนั่นเลย
เหล่าบรรดาผู้ที่ชมการประลองก็มีของดีให้ดูแล้ว พวกเขาอดที่จะขำไม่ได้จริง ๆ เหล่าบรรดาผู้อาวุโสรังแกผู้น้อยอย่างหน้าไม่อาย สุดท้ายกลับตกหลุมพรางของประมุขน้อยเฉียนซีเข้าแล้ว
ผู้อาวุโสรองกล่าว “เอ่อ…ข้าว่าไม่ต้องประลงประลองอะไรแล้วล่ะ คือข้ามาคิด ๆ ดูแล้ว ประมุขน้อยเฉียนซีเหมาะสมที่จะเป็นประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานที่สุดแล้ว”
“ใช่ ๆ ! ประมุขน้อยเฉียนซีมีพรสวรรค์อย่างไร้เทียมทานปานนี้ มาเป็นประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหาน นับว่าเป็นเกียรติของตำหนักเป่ยหานมาก”
“……”
ตาเฒ่าเหล่านี้เผยใบหน้ายิ้มแย้มออกมา หากต่อสู้กับท่านหัวหน้าตำหนัก ก็เท่ากับรนหาที่ตายน่ะสิ! พวกเขากล้าที่ไหนกันเล่า!
และในตอนนี้เอง กู้ไป๋อีกก็กล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อขึ้นมาบนลานประลองแล้ว ก็ไม่ต้องลงไปแล้ว!”
มู่เฉียนซีเองก็ไม่ฟังความคิดเห็นของพวกเขา แถมยังยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าขอประกาศ เริ่มการประลองได้!”
ทันทีที่สิ้นเสียงมู่เฉียนซี ชิงอิ่งก็พุ่งตัวออกไปทันที
คิดจะหนีการประลองรึ ฝันไปเถอะ!
ในเมื่อขึ้นมาแล้ว ก็ต่อสู้ไปเสียให้สิ้นเรื่อง!
พวกเขารู้สึกว่าร่างในชุดขาวกับชุดเขียวสองร่างนั้นพุ่งเข้ามาราวกับสัตว์ร้าย พลันนั้นสีหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดลงทันใด
มาถึงขั้นนี้แล้ว ทำได้เพียงแค่ต้องสู้เท่านั้น และอย่าได้พ่ายแพ้จนน่าสังเวชเกินไปก็พอแล้ว
มู่เฉียนซีไม่ได้ร่วมต่อสู้ในการประลองสนามนี้ด้วย นางยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทางเกียจคร้านพลางมองดูการต่อสู้นี้!
มองดูการต่อสู้ไปด้วย และกินยาลูกกลอนฟื้นฟูพลังวิญญาณไปด้วย
ทุกคนเห็นฉากนี้เข้า มุมปากก็กระตุกขึ้นอย่างบ้าคลั่ง “ต่อสู้กับเหล่าบรรดาผู้อาวุโสแห่งตำหนักเป่ยหาน ประมุขน้อยเฉียนซีผ่อนคลายเกินไปแล้วกระมัง!”
“หากเจ้าสามารถให้ท่านหัวหน้าตำหนักช่วยได้ แถมยังมียอดฝีมือมือดีอีกคนหนึ่ง เจ้าก็ผ่อนคลายได้นะ!”
.