กู้ไป๋อีตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วที่จะปกป้องเด็กสาวผู้นั้น ไป๋อู๋ห่ายจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไป แน่นอนว่าเขาอยากได้ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่านี้มาช่วยเหลือ
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวอย่างราบเรียบ “ด้วยพลังความสามารถของตำหนักตงจี๋มันยังไม่พออีกรึ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังไม่ต้องให้วุ่นวายถึงพระนางท่านหรอก”
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “แต่ถ้าหากว่าพระนางส่งยอดฝีมือมาก็สามารถที่จะป้องกันภัยเพิ่มได้อีกสักหน่อย กู้ไป๋อีนั้นปกป้องนางนั่นเอาไว้อยู่ รึว่าเจ้าเองก็คิดที่จะปกป้องเด็กสาวนั่นด้วย และคิดที่จะทรยศพระนางรึ?”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวอย่างไม่แยแส “เรื่องนี้ข้ามีแผนการของข้าเอง สิ่งที่เจ้าควรทำในตอนนี้ก็คือรวบรวมกำลังของตำหนักตงจี๋ให้ดี และเตรียมตัวเปิดศึกกับตำหนักเป่ยหานให้พร้อม”
ไป๋อู๋ห่ายโกรธจัด แต่ก็ไร้สิ้นหนทางอื่น
ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นฝ่ายไปหาพระนางได้ มีแต่เพียงเฟิงอวิ๋นซิวเท่านั้นที่มี
ถ้าหากว่าเฟิงอวิ๋นซิวไม่เข้าเฝ้าพระนาง ก็จะมีแต่เพียงต้องรอให้พระนางเสด็จมาก็เท่านั้น
แต่พระนางนั้นมีกิจธุระยุ่งยากมากมาย ไฉนเลยจะมีกะจิตกะใจมายังโลกทั้งสี่ทิศเล็ก ๆ แห่งนี้
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “เฟิงอวิ๋นซิว เจ้าระวังตัวดี ๆ แล้วกัน”
ยังไม่ทันที่ตำหนักตงจี๋จะได้ลงมือกับตำหนักเป่ยหาน ที่โลกทั้งสี่ทิศก็ได้มีข่าวสำคัญข่าวหนึ่งถูกส่งมา
สำนักโอสถแดนเทียนซวนเตรียมที่จะจัดงานนักปรุงยาครั้งใหญ่ขึ้นที่โลกทั้งสี่ทิศ รางวัลในงานใหญ่ครั้งนี้มีมากมายยิ่งนัก
รางวัลของผู้ได้อันดับหนึ่งนั้นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เป่ยกงเป็นผู้ให้การสนับสนุน ส่วนรางวัลอันดับที่สองนั้นก็ไม่ธรรมดา
น้ำหนักของรางวัลนี้ได้ทำให้ตกตะลึงกันไปทั่วโลกทั้งสี่ทิศ แม้จะเป็นผู้ที่เก็บตัวฝึกบำเพ็ญมาแล้วไม่รู้เป็นเวลากี่ปี ตัวประหลาดเฒ่าที่ไม่รู้ว่าได้หลบซ่อนจากโลกภายนอกไปนานเท่าไร ในตอนนี้พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะออกมาเคลื่อนไหวกันเสียแล้ว
นี่จะต้องเป็นงานเลี้ยงครั้งใหญ่ในโลกการปรุงยาของโลกทั้งสี่ทิศอย่างแน่นอน
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “สำนักโอสถแดนเทียนซวนเรียกประชุมจัดงานปรุงยาครั้งใหญ่ แต่ว่าทั้งสองตำหนักใหญ่ได้เริ่มเปิดศึกกันขึ้นแล้ว ถ้าหากว่าองค์หญิงรู้เข้าละก็ พระนางจะต้องเห็นแก่หน้าของสำนักโอสถสักครั้งหนึ่งเป็นแน่”
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “แน่นอนว่าข้ารู้”
สำนักโอสถนับว่าเป็นกลุ่มกำลังของสำนักนิกายระดับสี่ และด้วยความที่พวกเขามีนักปรุงยาเป็นจำนวนมาก จะดูเบามิได้เป็นอันขาด
ในช่วงเวลานี้มู่เฉียนซีได้ไปยังหอหมอปีศาจและเก็บตัวฝึกบำเพ็ญ
แม้ว่าพลังความสามารถจะไม่เพียงพอก็สามารถให้นิรันดร์ช่วยเหลือได้ แต่มู่เฉียนซีก็อยากจะทำให้ได้ด้วยตัวเองอย่างสุดกำลัง และคว้าอันดับหนึ่งมาให้ได้ด้วยการพึ่งพิงพลังของตัวนางเอง
หลังจากที่มู่เฉียนซีปรุงยาเสร็จก็ได้ไปพัก แน่นอนว่าก็ได้มีข่าวสารหนึ่งถูกส่งเข้ามา
“พี่ใหญ่ ช่วงนี้ที่เมืองเป่ยหานนั้นมีคนแปลกหน้าเข้ามาเป็นจำนวนไม่น้อยเลย แต่ละคนล้วนแต่มีพลังความสามารถที่ไม่เลวเลยสักนิด” เยวี่ยเจ๋อเข้ามารายงาน
“ดูทีแล้วคู่ต่อสู้นั้นจะแข็งแกร่งกว่าที่คิดเอาไว้” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยเสียงต่ำ
งานแข่งขันการปรุงยาครั้งใหญ่ในครั้งนี้จะจัดขึ้นที่แดนเหนือในเมืองเป่ยหาน คนของสำนักโอสถฯ ได้มาถึงเมืองเป่ยหานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กู้ไป๋อีนั้นไม่ถนัดงานสังคมจึงได้มอบเรื่องเหล่านี้ให้ผู้อาวุโสรองไปจัดการ จากนั้นก็กล่าวว่าตนเองจะไปเก็บตัวฝึกฝน
ในตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักโอสถฯ ก็โกรธกริ้วเข้าแล้ว ในเวลาเช่นนี้ท่านหัวหน้าตำหนักเป่ยหานกลับเก็บตัวไม่ยอมออกมา นั่นมิได้หมายความว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิดหรอกรึ
ผู้อาวุโสรองนั้นปลอบประโลมพวกเขาอย่างยากลำบากเป็นที่สุด จากนั้นจึงได้เริ่มจัดเตรียมเรื่องงานปรุงยา
การสมัครลงชื่องานแข่งขันการปรุงยาครั้งใหญ่แห่งโลกทั้งสี่ทิศได้เริ่มขึ้นแล้ว และนักปรุงยาแทบทั้งหมดก็ได้กรูกันเข้ามาสมัครลงรายชื่อในเมืองเป่ยหาน จนทำให้เมืองเป่ยหานอันกว้างใหญ่ในตอนนี้แน่นขนัดไปด้วยผู้คน
เซียวเหยายิ้มแล้วกล่าว “นายท่าน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าน้อยได้รู้ว่าทั่วโลกทั้งสี่ทิศนั้นมีนักปรุงยามากมายเช่นนี้ นายท่านมีความมั่นใจอยู่กี่ส่วน?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ลำพังเพียงตัวข้า แน่นอนว่าคงไม่สามารถมั่นใจได้ถึงสิบส่วน”
เซียวเหยากล่าว “นายท่าน ที่จริงแล้วข้าน้อยมีคำแนะนำคำหนึ่ง”
มู่เฉียนซีกวาดตามองแล้วถามขึ้น “คำแนะนำอะไร?”
“ที่จริงแล้ว ตระกูลเซียวของข้ามีหม้อยาที่ดีที่สุด หากว่านายท่านกับข้า…”
สีหน้าของมู่เฉียนซีเปลี่ยนไปในทันที จากนั้นก็กล่าวขึ้น “ชิงอิ่ง ลากตัวเขาออกไป”
นายท่านไม่แม้แต่จะคิดทบทวนดู เซียวเหยาแสดงอาการเจ็บช้ำน้ำใจเป็นอย่างมากออกมา
“นายท่าน นายท่าน” หม้อหยินหยางสองขั้วที่ถูกโยนไปไว้ในคลังเก็บของก็ได้วิ่งออกมาอย่างระมัดระวัง
“ข้าจะช่วยนายท่านสกัดยา นายท่านรับข้าไว้เถอะ”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่ใช้นิรันดร์ แต่มาใช้หม้อเช่นเจ้ารึ?”
“ฮือ ฮือ ฮือ” หม้อหยินหยางสองขั้วเจ็บช้ำเป็นอย่างมาก มันไม่สามารถเทียบกับนายท่านของมันได้
ไม่มีรูปลักษณ์ที่งดงามเช่นผู้เป็นนาย ไม่มีลูกเล่นมากมายดั่งผู้เป็นนาย ไม่มีเลย…ไม่มี
หม้อหยินหยางสองขั้วทำได้แต่เพียงนั่งยองขดตัวกล้ำกลืนอยู่ที่มุมกำแพง
มู่เฉียนซีกล่าว “โยนออกไปทั้งหมด
“ทราบ”
โคร่ม! ชิงอิ่งได้โยนทั้งสองคนนั้นออกไป
ทั้งสองที่ถูกโยนออกไปนั้นล้วนแต่ช้ำใจอย่างเหลือคณานับ หม้อหยินหยางสองขั้วกล่าว “ไอ้หนู เจ้าทำพันธสัญญากับข้าเสียก็ได้แล้ว”
“ไม่เอา นายท่านรังเกียจเจ้าเช่นนี้ หากข้าทำพันธสัญญากับเจ้า นายท่านก็จะรังเกียจข้าไปด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วจะทำเช่นไร?” เซียวเหยากล่าวปฏิเสธในทันที
หม้อหยินหยางสองขั้วกล่าว “หึ หึ หึ พูดเหมือนกับว่าข้าไม่ทำพันธสัญญากับเจ้า แล้วนายท่านก็จะชอบเจ้าอย่างนั้นแหละ”
เซียวเหยารู้สึกเหมือนมีลูกศรเป็นหมื่น ๆ ลูกพุ่งทะลุหัวใจ
หม้อหยินหยางสองขั้วกล่าว “แต่ตอนนี้ให้โอกาสแก่เจ้าครั้งหนึ่ง ขอแค่เพียงทำพันธสัญญากับข้า ข้าสามารถสอนให้เจ้าได้รับความรักได้ เมื่อถึงตอนนั้นเราก็สามารถที่จะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันได้”
“ข้าคิดที่จะติดตามอยู่ข้างกายของนายท่าน และจะได้เรียนรู้อะไรอีกไม่น้อย เจ้าเชื่อข้า” หม้อหยินหยางสองขั้วกล่าวอย่างมั่นใจ
เซียวเหยากล่าว “ตกลง”
ดังนั้นพวกเขาจึงได้ทำพันธสัญญาต่อกันและวางแผนที่จะทำเรื่องชั่วร้ายด้วยกัน
เรื่องของการลงสมัครนั้นมู่เฉียนซีก็ไม่ต้องเป็นกังวลใจแต่อย่างใด เพราะทางด้านผู้อาวุโสรองได้จัดการให้นางเสร็จสรรพแล้ว
มู่เฉียนซีได้ให้คนคอยสังเกตความเคลื่อนไหวความเป็นไปในเมืองเป่ยหานและได้ไปศึกษาการปรุงยาอีกครั้งหนึ่ง
รอจนเมื่อการสมัครเสร็จสิ้นลงแล้ว เยวี่ยเจ๋อก็กล่าวขึ้น “พี่ใหญ่ ตอนนี้ในเมืองเป่ยหานได้เปิดตลาดสำหรับแลกเปลี่ยนการปรุงยาขึ้นมา เพื่อเอาไว้ซื้อขายของจำพวกสมุนไพรวิญญาณและยาลูกกลอนโดยเฉพาะ ผู้ที่มีสมุนไพรวิญญาณจำนวนไม่น้อยคว้าโอกาสนี้ออกมาค้าขายแลกเปลี่ยนเอายาลูกกลอนที่มีคุณภาพสูง อีกทั้งนักปรุงยาบางกลุ่มเองก็อยากที่จะใช้ยาลูกกลอนไปแลกเอาสมุนไพรวิญญาณอื่น”
“เกรงว่าการค้าขายในครั้งนี้คงเป็นการค้าขายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบร้อยปีของโลกทั้งสี่ทิศ ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่สนใจหรือไม่?”
มู่เฉียนซีผลักประตูเปิดออก ดวงตานั้นสาดแววเป็นประกายแล้วกล่าว “การค้าขายสมุนไพรวิญญาณ เจ้าคิดว่าพี่ใหญ่ของเจ้าจะไม่สนใจรึ”
ยาหยินหยางอนันต์นอกจากผลจิ่วหยางซวนซึ่งเป็นสมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์แล้ว ก็ยังขาดสมุนไพรวิญญาณอยู่อีกจำพวกหนึ่ง บางทีอาจจะสามารถแลกมาได้จากนักปรุงยาผู้ซ่อนตัวจากโลกภายนอกก็เป็นได้
ในตอนที่มู่เฉียนซีออกจากหอหมอปีศาจก็พบว่าท้องนภานั้นมืดครึ้มลงพลัน
ผู้คนที่อยู่บนท้องถนนต่างเอ็ดตะโรกันขึ้นมา “นั่นเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่หกเต็มขั้น”
“โอ้สวรรค์ ทำไมถึงได้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่หกเต็มขั้นบินอยู่บนท้องฟ้าได้”
“ดูเหมือนว่าข้างบนนั้นจะมีคนอยู่”
นั่นเป็นม้าบินชนิดหนึ่งที่มีปีกหกคู่ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่หกเต็มขั้น แม้ว่าจะเป็นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้นก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้กับมันได้
พรึบ! เหล่าทหารรักษาการณ์ของตำหนักเป่ยหานได้รีบเข้ามาพลัน พวกเขาล้วนแต่เป็นยอดฝีมือขั้นมหาจักรพรรดิ
พวกเขาขึ้นไปยืนกลางอากาศแล้วกล่าวกับผู้ที่อยู่บนม้าบินตัวนั้น “ไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้ใด ผืนฟ้าเหนือตำหนักเป่ยหานเป็นเขตพื้นที่ห้ามบิน”
ในตอนนี้เองเสียงอันอวดดีเสียงหนึ่งก็ได้ดังลอยมา
“พวกเจ้าเป็นตัวอะไรกัน พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะมาพูดจากับนายน้อยของข้า พวกเราต้องการที่จะบินตรงไปยังจุดรับสมัคร ซึ่งมันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกเจ้า”
.