สัตว์วิญญาณมากมายเช่นนี้ ถึงแม้ว่าระดับขั้นของมันจะสูงกว่าอู๋ตี้เพียงไม่เท่าไร แต่ด้วยจำนวนที่มากมายเช่นนี้หากไม่วิ่งก็คงเป็นคนเขลาเสียแล้ว
“วิ่ง” มู่เฉียนซีได้ใช้ความเร็วที่รวดเร็วที่สุดและหลีกเลี่ยงการปะทะซึ่ง ๆ หน้ากับเหล่าสัตว์วิญญาณบ้าคลั่งเหล่านี้
แต่ว่าสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้กลับยังไล่ตามนาง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
บนตัวของนางถูกสิ่งที่ทำให้สัตว์วิญญาณตามติดเอาไว้หรือ?
“อู๋ตี้ เสี่ยวหง เจ้าหาถามเจ้าตัวใหญ่นั้นสักตัวดูซิ”
“ขอรับ”
อู๋ตี้และเสี่ยวหงรีบไปจัดการอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักพวกมันก็ได้ข้อมูลมาจากเหล่าสัตว์วิญญาณ
“นายท่าน เป็นเพราะท่านเก็บสมุนไพรวิญญาณไปมากมายนัก แน่นอนว่าพวกมันจึงไล่ตามท่าน ตอนนี้ท่านมีอยู่สองทางเลือกนั่นก็คือทิ้งสมุนไพรวิญญาณไปหรือไม่ก็ถูกพวกมันไล่ตามต่อไป”
มู่เฉียนซีตะลึงค้าง “นึกไม่ถึงเลยว่าถึงแม้ส่วนใจกลางของแดนโอสถจะมีสมุนไพรวิญญาณมากมายเช่นนี้ แต่กลับไม่สามารถนำสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ออกไปอย่างปลอดภัยได้โดยง่ายดาย”
สัตว์วิญญาณเหล่านี้ไล่ตามนางอย่างมุ่งมั่น แต่มู่เฉียนซีกลับไม่มีท่าทีที่จะยอมแพ้เลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีถูกสัตว์วิญญาณเหล่านี้ไล่ตามเสียจนวิ่งมั่วไปทั่วทั้งส่วนใจกลางของแดนโอสถ แน่นอนว่าเหล่าศิษย์ของสำนักโอสถฯ ที่เข้ามาก็รู้ถึงอุปสรรคนี้ จึงได้เดินทางอย่างมีลำดับขั้นตอนเป็นอย่างมาก
ยิ่งบนตัวมีสมุนไพรวิญญาณอยู่มากเท่าไรสัตว์วิญญาณเหล่านั้นก็ยิ่งไล่ตามฆ่าอย่างโหดเหี้ยมมากขึ้นเท่านั้น
และมู่เฉียนซีที่เก็บเกี่ยวมาอย่างล้นหลามก็ได้กลายเป็นเป้าที่สัตว์วิญญาณเหล่านั้นจะไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง มู่เฉียนซีรู้สึกหัวหนักอึ้ง
หากถูกไล่ตามเช่นนี้ต่อไปนางก็จะไม่มีเวลาหาสมุนไพรวิญญาณเลย
ด้วยเพราะสัตว์วิญญาณที่ไล่ตามนางนั้นมีเยอะเป็นอย่างมาก มู่เฉียนซีจึงทำได้เพียงแต่วิ่งมั่ววนไปวนมาอยู่ในนี้
เมื่อวิ่ง ๆ ไปนางก็พบว่าตัวเองนั้นอยู่ในสถานที่ที่เหน็บหนาวเป็นอย่างมากแห่งหนึ่ง
อากาศในแดนโอสถนั้นค่อนข้างที่จะอบอุ่น เป็นที่ที่เหมาะแก่การให้สมุนไพรวิญญาณเติบโตขึ้นมากที่สุด แต่ทันใดนั้นมันกลับหนาวเย็นลงฉับพลัน มู่เฉียนซีจึงยังไม่รู้สึกคุ้นชินนัก
ทว่าตั้งแต่ที่นางเหยียบย่างเข้ามาในที่แห่งนี้ นางก็รู้สึกว่าไม่มีสัตว์วิญญาณที่ไล่ตามฆ่านางที่ด้านหลังแล้ว
พวกบ้าคลั่งเหล่านั้นกลับหายเงียบไปในชั่วพริบตา เกิดเรื่องไม่เป็นปกติเช่นนี้จะต้องมีมารผจญ
ที่แห่งนี้จะต้องมีสิ่งที่ทำให้เจ้าพวกนั้นหวาดกลัวเป็นแน่ ในขณะเดียวกันก็หมายความว่ามันมีสมบัติล้ำค่าอยู่ด้วย ดวงตาของมู่เฉียนซีส่องประกายขึ้นพลัน
สมบัติล้ำค่าที่อยู่ในแดนโอสถจะต้องเป็นสมุนไพรวิญญาณที่ล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย เดินทั้งทางอ้อมและทางตรงมาจนถึงที่แห่งนี้ก็แน่นอนว่ามู่เฉียนซีจะไม่ยอมกลับไปมือเปล่าเช่นนี้อย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีเดินต่อเข้าไปในส่วนลึกของที่แห่งนี้ ยิ่งลึกอากาศนั้นก็ยิ่งหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ
มิเพียงแต่หนาวเย็นเป็นอย่างมาก มู่เฉียนซียังพบว่าพิษหนาวเย็นนี้อันตรายเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
พิษหนาวเย็นหมื่นปี ความเยือกเย็นที่ซึมเข้าไปในร่างกายนั้นมันไม่ได้ทำให้รู้สึกดีมากนัก มู่เฉียนซีได้กลืนยาลูกกลอนลงไป จึงทำให้ร่างกายของนางนั้นอบอุ่นขึ้นมาได้บ้าง
แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะยิ่งมู่เฉียนซีเข้าใกล้บ่อเกิดแห่งพิษมากเท่าใด มันก็ยิ่งหนาวเหน็บขึ้นเท่านั้น
อู๋ตี้ก็รีบกล่าวเตือนขึ้น “นายท่าน ที่แห่งนี้มีเจ้าตัวหนึ่งที่เกรงว่าจะแข็งแกร่งกว่าข้า และไม่เพียงแข็งแกร่งกว่าแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น…”
เมื่อเดินไปอีกสักครู่ สิ่งที่ดึงดูดมู่เฉียนซีที่สุดก็คือกิ้งก่าน้ำแข็งที่นอนอยู่กลางบ่อน้ำแข็งตัวหนึ่ง และในบ่อน้ำแข็งนั้นก็มีสมุนไพรวิญญาณขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง
บนต้นสมุนไพรวิญญาณต้นนั้นมีผลทั้งเล็กใหญ่ที่ส่องสว่างประหนึ่งดั่งเปลวเพลิงก็มิปานอยู่เก้าผล เมื่อมองเห็นมันมู่เฉียนซีก็ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างที่สุด
ผลจิ่วหยางซวนนั้นเหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงเล็กอย่างไรอย่างนั้น และพวกมันก็ต้องการที่จะเติบโตขึ้นในสถานที่ที่หนาวเหน็บเช่นนี้
นางจะต้องเอาผลจิ่วหยางซวนมาให้ได้ แต่เมื่อมองไปยังกิ้งก่าน้ำแข็งตัวยักษ์ตัวนั้น สีหน้าของมู่เฉียนซีก็ฉายแววของความสงสัยออกมา
“นายท่าน นั่นเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่เจ็ดเชียว”
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่เจ็ดนั้นพลังความสามารถของมันแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่ามหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้นเสียอีก ถึงต่อให้ชิงอิ่งออกโรงก็เกรงว่าคงจะไม่สามารถทำอะไรเจ้าหมอนี่ได้
มู่เฉียนซีเก็บซ่อนกลิ่นอายของตนเองอย่างระมัดระวัง กิ้งก่าน้ำแข็งตัวนั้นขี้เกียจยิ่งนัก มันนอนแผ่อยู่บนสระน้ำแข็งโดยไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมากแต่มู่เฉียนซีก็ไม่ยินยอมที่จะยอมแพ้ เมื่อหาผลจิ่วหยางซวนพบแล้วก็หาส่วนที่เหลืออีกเพียงไม่กี่ชนิดก็จะรวบรวมสมุนไพรวิญญาณได้ครบแล้ว
ในครั้งนี้ถ้าหากว่าพลาดไปก็ไม่รู้ว่าจะต้องผ่านไปอีกนานแค่ไหนจึงจะหาพบอีก บางทีอาจจะหาไม่พบไปเลยตลอดกาลก็เป็นได้
มู่เฉียนซีกำหมัดเอาไว้แน่น ทั้งสถานที่แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยพิษหนาวเย็น พิษหนาวเย็นนั้นแผ่ซ่านออกมาจากตัวของกิ้งก่าน้ำแข็งนั่น
น้ำลายของมันจะนำพาอากาศที่เป็นพิษหนาวเย็นออกมา
มู่เฉียนซีกล่าว “จะเผชิญกับมันซึ่ง ๆ หน้าไม่ได้อย่างเด็ดขาด แต่ทว่าสามารถเอาพิษไปสู้กับพิษได้”
มู่เฉียนซีถอยออกไปจนพ้นขอบเขตนี้และหาสถานที่ที่ซ่อนเร้นแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มปรุงพิษ
ฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ด หากจะเอาพิษไปรมให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นพิเศษเช่นนี้ล้มลงคงไม่ใช่เรื่องง่าย นางต้องการผสมพิษที่จะมารับมือกับมันให้ดี แม้ว่าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดไปก็ไม่เป็นไร
เพราะการได้มาซึ่งผลจิ่วหยางซวนนั้นมันเป็นการเก็บเกี่ยวที่ดีที่สุดของนางในการเข้ามาในแดนโอสถแล้ว
ใช้พิษหนาวเย็นของที่นี่รวมกับสมุนไพรนานาชนิดที่ได้เก็บมา และมู่เฉียนซีก็เริ่มการปรุงพิษขึ้น
พิษที่อันตรายอย่างไม่อาจหาสิ่งใดเทียบได้นานาชนิดได้ถูกมู่เฉียนซีปรุงออกมา แต่ทว่าไม่มีเลยสักชนิดที่มู่เฉียนซีนั้นพอใจ
“ยังไม่ได้”
“นี่ก็ยังไม่พอ”
“ยังต้องเอาอีก”
มู่เฉียนซีได้เริ่มปรุงพิษในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพิษเย็นแห่งนี้
ใช้เวลาไปทั้งหมดสามวันในที่สุดก็นับได้ว่าได้ผลลัพธ์ที่ตนเองพอใจแล้ว แต่ทันใดนั้นนางก็พบว่ามีกลิ่นอายอีกหลายกลิ่นกำลังมุ่งเข้ามาใกล้
มู่เฉียนซีหลบซ่อนอย่างระมัดระวัง นางได้ยินเสียงคนคุยกันลอยมาอย่างชัดเจน
“ข่าวที่พวกเราได้มาไม่ผิดอย่างแน่นอน ผลจิ่วหยางซวนจะต้องอยู่ที่นี่เป็นแน่แท้”
“พวกเราจะต้องทำภารกิจในครั้งนี้ให้สำเร็จ”
เงาร่างสีขาวหลายเงาร่างได้พุ่งผ่านไป มู่เฉียนซีเห็นว่าคนเหล่านั้นสวมใส่ชุดคลุมของสำนักโอสถฯ พวกเขาเป็นคนของสำนักโอสถ
พวกเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผลจิ่วหยางซวนอยู่ที่นี่
มาแล้วก็ดี สองฝ่ายสู้กันให้บาดเจ็บหนักกันทั้งคู่ นางก็จะได้ผลประโยชน์โดยเปล่าพอดี เช่นนี้โอกาสชนะก็จะมากขึ้นมาอยู่บ้าง
มู่เฉียนซีได้นำน้ำยาพิษของตนออกมาและลอบตามพวกเขาเข้าไปยังทะเลสาบน้ำแข็งนั้นอีกครั้งหนึ่งอย่างเงียบ ๆ
ทันใดนั้นพวกเขาก็กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น “ผลจิ่วหยางซวน เป็นผลจิ่วหยางซวนจริง ๆ อีกทั้งยังเป็นผลจิ่วหยางซวนที่กำลังจะสุกแล้วด้วย”
เสียงสูงที่กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้นทำให้กิ้งก่าน้ำแข็งตื่นขึ้นมาแล้ว
มันเปิดปากอันกว้างใหญ่ขึ้น พร้อมกันนั้นนัยน์ตาของมันก็สาดประกายอันโหดร้ายออกมา กลิ่นอายอันหนาวเหน็บที่น่าหวั่นพรึงได้พุ่งเข้าไปอย่างมืดฟ้ามัวดิน
สีหน้าของคนเหล่านั้นเปลี่ยนไปพร้อม ๆ กัน “แย่แล้ว นั่นมันสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่เจ็ด”
“ผลจิ่วหยางซวนบ้านี่มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่เจ็ดเฝ้าอยู่ ตั้งกระบวนค่ายกล”
บึ้ม! พลังอันไพลศาลได้ระเบิดออกมาจากตัวของพวกเขา
มู่เฉียนซีแอบกล่าวกับตนเอง ‘ไม่เสียทีที่เป็นเหล่าศิษย์ของสำนักโอสถฯ ที่มาหาของล้ำค่าเช่นผลจิ่วหยางซวนนี้ พลังความสามารถของทุกคนนั้นไม่เลวเลย ล้วนแต่เป็นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้น ช่างยอดเยี่ยมกว่าพวกสวะที่พบมาก่อนนี้มากนัก’
ครืน! ไม่นานนักศิษย์เหล่านั้นของสำนักโอสถฯ ก็ได้ทำให้กิ้งก่าน้ำแข็งนั้นโกรธเกรี้ยวเสียแล้ว
พวกเขาสู้กับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดนี้อย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้ มู่เฉียนกลับแอบซ่อนอยู่ในความมืดและรอจังหวะอันเหมาะสมที่จะออกโรง
สำหรับการประมือกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดแล้ว สีหน้าของพวกเขาค่อนข้างที่จะแย่ แต่ทว่าพลังอำนาจของการผนึกค่ายกลนั้นก็ยังสามารถที่จะควบคุมกิ้งก่าน้ำแข็งเอาไว้ได้
ในตอนนี้มู่เฉียนซีรู้แล้วว่าเป็นเวลาที่นางควรจะลงมือ
เงาร่างสีม่วงได้พุ่งออกไป ร่างของมู่เฉียนซีพุ่งไปยังผลจิ่วหยางซวนอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาดก็มิปาน จากนั้นก็ได้เด็ดผลจิ่วหยางซวนทั้งเก้าผลมาได้อย่างราบรื่นรวดเร็ว
.