ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าวตอบ “คนผู้นั้นก็คือมู่เฉียนซี!”
มู่เฉียนซีคือใคร?
ผู้อาวุโสแต่ละท่านแห่งตำหนักโอสถฯ ล้วนแต่อยากรู้ ไม่นานนักก็ได้มีคนเข้ามาส่งข่าวทั้งหมดที่เกี่ยวกับมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซี นายน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานและเป็นหนึ่งในผู้เป็นนายแห่งหอหมอปีศาจ
นางเคยได้เป็นอัจฉริยะนักปรุงยาอันดับหนึ่งของแดนตะวันออกในงานประชุมปรุงยาครั้งใหญ่ของแดนตะวันออก
และผู้ที่เดินออกมาเปิดประตูแดนโอสถในครั้งนี้ก็คือเด็กสาวผู้นั้นซึ่งก็คือมู่เฉียนซี
“สาวน้อยระดับจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่แปดจะทำไปเช่นนั้นได้อย่างไร?” พวกเขายากที่จะเชื่อได้
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “แม้ว่านางจะมีพลังความสามารถเพียงระดับจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่แปด ทว่าทักษะวิญญาณของมู่เฉียนซีนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นมหาจักรรพดิแห่งภูตขั้นที่เก้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของนาง อีกทั้งข้างกายของนางนั้นยังมีหุ่นเชิดที่สูงขั้น เก่งกาจเสียยิ่งกว่ายอดฝีมือเต็มขั้นเสียอีกอยู่ด้วย”
พวกเขายังไม่เชื่อ ไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็ได้อธิบายเรื่องที่เคยเกิดขึ้นไปอย่างละเอียดชัดเจนหนึ่งครา สีหน้าของผู้อาวุโสแต่ละคนต่างเคร่งขรึมลงไปทุกที
ในตอนนี้เองเสียงอันชั่วร้ายเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมา “ข้าไม่สนว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่! นังตุ๊กตาน้อยนั่นกล้าทำร้ายลูกของข้า ข้าจะต้องให้มันได้ชดใช้”
ผู้อาวุโสหูกล่าว “ผู้อาวุโสหวง ท่านก็รู้ว่าองค์รัชทายาทเป่ยกงให้ความสำคัญกับการแข่งขันในครั้งนี้มาก ข้าไม่อยากให้มีเรื่องอันใดเพียงเพราะฟังคำพูดของแม่นางผู้นี้เพียงด้านเดียว เช่นนั้นเกรงว่า…”
ผู้อาวุโสหวงกล่าว “ก็เพียงแค่ฆ่าเด็กสาวของกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสามผู้หนึ่ง ไฉนเลยที่องค์รัชทายาทเป่ยกงจะไปสนใจอะไรมากมายเช่นนั้น เรื่องนี้ข้าจัดการเอง!”
มู่เฉียนซีและกู้ไป๋อีกลับไปยังในตำหนัก เขากล่าวถามขึ้น “ซีเอ๋อร์ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “เสี่ยวไป๋ เจ้าเคยได้ยินเรื่องเผ่าวิญญาณร้ายมาก่อนหรือไม่?”
กู้ไป๋อีตะลึงงัน “เหมือนว่าจะเคยได้ยินมา แต่ไม่ได้จดจำอะไรลึกซึ้งนัก ข้าจะส่งคนไปค้นหาในตำราโบราณของตำหนักเป่ยหานเสียหน่อย”
ว่าแล้วมู่เฉียนซีก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนโอสถให้เขาฟัง พลันนั้นกู้ไป๋อีก็มีสีหน้าที่มืดครึ้มลง
“โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร!”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ในทุกที่ของแดนโอสถนั้นล้วนแต่มีสมบัติล้ำค่าที่ข้ารักข้าชอบ ดังนั้นแล้วข้าจึงนับว่าโชคดีเป็นพิเศษ แต่ทว่าชิงอิ่งนั้นได้ใช้กำลังไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว จะต้องหลับใหลไปสักช่วงเวลาหนึ่ง”
กู้ไป๋อีกล่าว “เขาหลับใหลไปแล้วก็ให้ผู้บำเพ็ญภูตธาตุน้ำผู้นั้นอยู่ข้างกายเจ้าเสีย มิเช่นนั้นข้ามิวางใจ”
“อื้ม! ข้ารู้แล้ว!”
และในตอนนี้เอง กลิ่นอายหลายกลิ่นก็ได้พุ่งเข้ามาทางมู่เฉียนซี
แต่ละคนล้วนแต่มีพลังในการต่อสู้เต็มขั้น อีกทั้งเมื่อดูพลังที่เปล่งออกมาแล้วนั้น พวกเขามิได้มาดีแน่นอน
กู้ไป๋อีกล่าวขึ้น “พวกเขาเป็นใคร?”
ในตอนนี้ไป๋เหยียนเอ๋อร์ได้ก้าวออกมากล่าว “ซีเอ๋อร์ เจ้าทำผิดมหันต์โดยการฆ่าศิษย์พี่หวงแห่งสำนักโอสถฯ จงรีบขอขมาและชดเชยให้แก่ผู้อาวุโสทุกท่านเสีย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะได้ไม่ลงโทษเจ้าอย่างหนักมากเกินไปนัก”
“พวกเขารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว หากว่าเจ้าไม่ยอมรับละก็ เกรงว่าพวกเขาจะทำร้ายเจ้า” ไป๋เหยียนเอ๋อร์ใช้สายตาอันห่วงใยมองไปยังมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีกล่าวกับไป๋เหยียนเอ๋อร์ด้วยเสียงเย็นชา “ไป๋เหยียนเอ๋อร์ เจ้าจงอย่าได้มาเสแสร้งแกล้งทำในที่แห่งนี้ จงไสหัวไปให้ไกล”
ผู้อาวุโสหวงมองมู่เฉียนซีอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “สาวน้อย เจ้าฆ่าลูกของข้า!”
“ถ้าหากข้าบอกว่ามิใช่ ท่านจะเชื่อหรือไม่?”
“ถึงต่อให้ไม่ใช่ แต่เจ้ากล้าที่จะถีบลูกของข้าให้คนมากมายเช่นนั้นเห็น กล้าทำให้ลูกของข้าขายหน้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ หากเจ้ายินดีที่จะขอโทษดี ๆ ก็จงมาเป็นเมียน้อยลำดับที่…”
ผู้อาวุโสหวงผู้นี้เป็นตาเฒ่าตัณหากลับเต็มตัวเหมือนลูกชายไม่มีผิด
“อ๊าก!” ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวจบ ปราณกระบี่ที่ไร้ปราณีปราณหนึ่งก็ได้พุ่งไปยังคอหอยของเขา
คิดอะไรเกินตัวจะต้องชดใช้อย่างแสนสาหัส
ผู้อาวุโสหวงหลบหลีกไปอย่างรีบร้อน แต่ทว่าที่บนคอของเขานั้นก็ได้มีรอยโลหิตเพิ่มขึ้นมาหนึ่งแห่ง
เขามองไปยังบุรุษชุดขาวผู้ที่ลงมือนั้น ช่างเย็นยะเยือกเหมือนดั่งหิมะสลักก็มิปาน เย็นยะเยือก หยิ่งทะนง และสูงส่ง เหมือนดั่งเทพเทพาอย่างไรอย่างนั้น
กู้ไป๋อีกล่าว “สมควรตาย!”
ในชั่วเวลานั้น ผู้อาวุโสหวงได้ถูกอำนาจของกู้ไป๋อีทำให้หวาดกลัว
“ก็เป็นแค่เพียงหัวหน้าตำหนักของกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสามก็เท่านั้น มีอะไรให้กำแหงกัน!”
เมื่อกล่าวจบผู้อาวุโสหวงก็ได้ลงมือกับกู้ไป๋อี
“ท่านหัวหน้าตำหนัก!” คนของตำหนักเป่ยหานสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก หัวหน้าตำหนักได้ลงมือต่อสู้กับกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสี่ขึ้นมาแล้ว
กู้ไป๋อียิ้มอย่างเย็นชา การที่กู้ไป๋อีปกป้องมู่เฉียนซีฉีนั้นมันทำให้เขาบ้าคลั่ง เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า?
เมื่อไปล่วงเกินสำนักโอสถฯ ซึ่งเป็นสำนักนิกายระดับสี่แล้วนั้นก็มิใช่อะไรที่กู้ไป๋อีอยากจะปกป้องมู่เฉียนซีก็จะปกป้องได้
ผู้อาวุโสหวงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้ายังชักช้าอยู่ใย? จับตัวนังเด็กสาวนั้นมาให้ข้า”
“ปกป้องนายน้อย!”
ทันใดนั้นในตำหนักเป่ยหานก็ได้วุ่นวายขึ้นมา
ไป๋เหยียนเอ๋อร์นั้นกำลังลำพองใจอยู่ด้านข้าง สู้กันสิ สู้กันเลย!
ตำหนักเป่ยหานได้ไปล่วงเกินสำนักโอสถฯ ถึงต่อให้ตำหนักตงจี๋ของพวกเขาไม่ลงมือ ตำหนักเป่ยหานเองก็จบสิ้นเสียแล้ว!
ท่านพ่อจะต้องปีติเป็นอย่างมากเป็นแน่!
ในตอนที่พวกเขาจะลงมือกับมู่เฉียนซีนี่เอง พลังที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าพลังหนึ่งก็ได้ปกคลุมทั่วทั้งตำหนักเป่ยหานเอาไว้
คนเหล่านั้นของสำนักโอสถฯ ล้วนแต่รู้สึกเย็นวาบไปถึงก้นบึ้งหัวใจ แม้แต่ผู้อาวุโสหูเองก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าพรั่นพรึงนี้
“พลังนี้มัน เป็นใครกันแน่?”
“เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกทั้งสี่ทิศผู้ใดกัน!”
“……”
ที่ประตูใหญ่ของตำหนักได้มีเงาร่างสีดำเงาหนึ่งได้พุ่งผ่านเข้ามา
หลังจากที่เขาเดินเข้ามาแล้ว ร่างกายของคนเหล่านั้นที่คิดจะลงมือกับมู่เฉียนซีก็ราวกับถูกสูบพลังไปเสียจนสิ้น
ปัก ปัก ปัก!
พวกเขาล้มลงบนพื้นและมองดูร่างกายของตนเองกลายเป็นกระดูกสีขาว
ไร้โลหิต เลือดเนื้อ และวิญญาณ!
สีหน้าของผู้อาวุโสหวงก็เปลี่ยนเป็นอย่างมาก เมื่อมองไปทางบุรุษผู้นั้น
ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกนั้นไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย มันลึกประหนึ่งว่าสามารถทำลายทุกสิ่งอย่างได้
แม้บนใบหน้าของเขาจะใส่หน้ากากที่แสนธรรมดาเอาไว้ แต่ความอันตรายและทรงอำนาจที่แผ่ออกมาก็ราวกับเทพมารก็มิปาน
เมื่อมู่เฉียนซีเห็นผู้ที่เดินเข้ามานางก็ตกตะลึงอยู่บ้าง “จิ่วเยี่ย!”
ดูเหมือนว่าทุกครั้งนั้นล้วนแต่เป็นสุ่ยจิงอิ๋งที่ส่งตัวจิ่วเยี่ยมาจากระยะไกล และนางก็ยังคงไม่เคยเห็นหมอนี่ปรากฏตัวขึ้นด้วยวิธีการอื่นอยู่เช่นเดิม
“ผู้อาวุโสหวง ช่วยด้วย!”
“ช่วยด้วย! ชายผู้นี้เป็นปีศาจ!”
คนเหล่านั้นของสำนักโอสถฯ ร้องโวยวายกันเสียงดังระงม
ในตอนที่เห็นจิ่วเยี่ยปรากฏตัวขึ้นมา ไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็กลัวเสียจนสลบไป หมิงจีได้ฟื้นตื่นขึ้นมาและรีบใช้พลังแห่งความมืดห่อหุ้มไป๋เหยียนเอ๋อร์เอาไว้แล้วหนีไป
ที่หน้าผากของผู้อาวุโสหวงในตอนนี้ได้มีเม็ดเหงื่อพรั่งพรูออกมาไม่หยุดหย่อน “ท่าน พวกเราเป็นศิษย์ของสำนักโอสถฯ ซึ่งเป็นสำนักนิกายระดับสี่แห่งแดนซวนเทียน ท่านมาทรมานศิษย์สำนักโอสถฯ ของเราโดยไร้เหตุไร้ผลเช่นนี้ เกรงว่าคง…”
พรวด! และในตอนนี้เองกระบี่ของกู้ไป๋อีก็ได้มาถึง!
ผู้อาวุโสหวงที่กำลังพูดคุยอยู่กับจิ่วเยี่ยและขาดสติไปชั่วขณะ แขนข้างหนึ่งของเขาก็ได้ถูกฟันขาดลงมา
หากคนธรรมดาทั่วไปถูกฟันแขนขาดเช่นนี้ก็คงจะมีโลหิตหลั่งไหลออกมาเป็นสาย ๆ แต่ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากัน เหตุใดแขนที่ขาดนั้นกลับไม่มีโลหิตไหลแม้แต่น้อย
มิเพียงแต่ไร้ซึ่งโลหิตที่ไหลออก แต่ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บนั้นก็ได้เริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นกระดูกสีขาวแล้ว
“อ๊าก!” ผู้อาวุโสหวงตกใจกลัวเสียจนสีหน้าซีดเผือด ยังไม่ทันที่จะรอให้กู้ไป๋อีได้ลงมือ ร่างกายของเขาก็ได้กลายเป็นกระดูกสีขาวและเหลือไว้เพียงแต่หัวกระโหลกหนึ่งลูก
เขามองข้ามพวกมดปลวกเหล่านั้น จิ่วเยี่ยเดินเข้าไปหามู่เฉียนซีจากนั้นก็ดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดของตนเอง
“ซี!”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “จิ่วเยี่ย เจ้ามาแล้ว! รึว่าเจ้าหาเผ่าหงส์พบแล้ว?”
จิ่วเยี่ยกล่าวตอบ “ยังหาไม่พบ แต่ข้ามาเพื่อหาซี!”
.
.