มังกรเพลิงกล่าวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า “พวกเราเกิดมาในตอนที่โลกอยู่ในช่วงวุ่นวาย เกิดมาพร้อมกับฟ้าดิน ขะ ข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้…”
“นายท่าน ข้าไม่ได้ตั้งใจโง่นะขอรับ!”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าอยู่เงียบ ๆ ก่อนเถอะ!”
“ขอรับ!” มังกรเพลิงตอบอย่างอ่อนแรง
มู่เฉียนซีกล่าวกับกู้ไป๋อีว่า “สถานการณ์เปลี่ยน หากเราหาฝักกระบี่เจอก่อน ความยุ่งยากก็จะลดน้อยลง หากหลีกเลี่ยงที่จะไม่ต้องต่อสู้กับพวกนั้นได้ก็ควรจะหลีกเลี่ยง”
กู้ไป๋อีพยักหน้าพลางกล่าว “อืม! งั้นเรารีบไปกันเถอะ!”
ขวับ ขวับ ขวับ!
มู่เฉียนซี กู้ไป๋อีและพวกออกไปจากเมืองจี๋กวง มุ่งหน้าไปยังทางเหนือสุดทันที
เวลาผ่านไปไม่นานนัก กองกำลังใหญ่หลายกองกำลังต่างพากันเดินทางเข้ามาในเมืองจี๋กวงแล้ว
ไป๋อู่ห่ายคิดว่าตำหนักตงจี๋ของพวกเขามาถึงเร็วที่สุดแล้ว แต่เขากลับเห็นรถม้ากลุ่มหนึ่งที่อยู่อีกทางด้านหนึ่ง และคนพวกนั้นก็มาถึงเมืองจี๋กวงก่อนตำหนักตงจี๋
คนเหล่านี้ล้วนสวมผ้ากาสาวพัสตร์ หัวล้าน ในมือถือสร้อยลูกประคำเส้นใหญ่ แววตาของทุกคนล้วนแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเมตตาต่อสัตว์โลก
เพียงมองแค่แวบเดียวไป๋อู๋ห่ายก็รู้ถึงสถานะตัวตนของคนเหล่านี้ได้ทันที พวกเขาเก้าคนนี้เป็นอรหันต์แห่งแคว้นเทพฟ้านอินนั่นเอง
อรหันต์ทั้งเก้าล้วนแต่มีพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุดทั้งสิ้น
และชายหนุ่มผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องที่ยืนอยู่ท่ามกลางอรหันต์เหล่านั้นก็คือโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นเทพฟ้านอิน อินรั่วเฉิน
อินรั่วเฉินที่ยืนอยู่ตรงนั้น ร่างของเขาเปล่งประกายแสงแห่งธรรมอันบริสุทธิ์ออกมาราวกับเจิดจรัสไปทั้งโลกก็มิปาน
ไป๋อู๋ห่ายเดินไปและยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางกล่าวว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าแคว้นเทพฟ้านอินก็มีความสนใจในกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ด้วย”
ดวงตาอันอ่อนโยนของอินรั่วเฉินคู่นั้นมองไปที่ไป๋อู๋ห่าย ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยเสียงนุ่มทุ้มว่า “ทุกสรรพสิ่งล้วนแต่ถูกลิขิตเอาไว้แล้วทั้งสิ้น ของที่อยู่ในสถานที่เหนือสุดแห่งแดนเหนือนั้นเป็นของที่แคว้นเทพฟ้านอินต้องปกป้องรักษา เพื่อความสงบสุขของดินแดนสี่ทิศ”
ไป๋อู๋ห่ายแอบตำหนิอยู่ในใจ ‘สมกับเป็นคนของแคว้นเทพฟ้านอินจริง ๆ จะแย่งชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพทั้งทีก็ยังหาข้ออ้างให้ตัวเองดูดีได้เช่นนี้อีก’
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “แต่ถึงกระนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับพลังความแข็งแกร่งด้วย โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอิน เจ้าว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”
อินรั่วเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอนอยู่แล้ว”
ก่อนหน้านี้เรื่องที่มู่เฉียนซีครอบครองกระบี่มังกรเพลิง คนในดินแดนสี่ทิศต่างก็รู้กันทั่ว แต่แคว้นเทพฟ้านอินกลับไม่ลงมือกระทำอันใดเลย
ตอนนี้ เมื่อแผนที่แผ่นนั้นปรากฏขึ้น แคว้นเทพฟ้านอินกลับลงมือเคลื่อนไหวแล้ว
นั่นก็หมายความว่ากระบี่ที่ปรากฏออกมาในครั้งนี้ต่างหากล่ะที่เป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ของจริง ส่วนกระบี่ที่อยู่ในมือมู่เฉียนซีเล่มนั้น เป็นกระบี่ปลอม!
การปรากฏตัวของอินรั่วเฉินก็เกินความคาดหมายของเฟิงอวิ๋นซิวเช่นกัน
เฟิงอวิ๋นซิวมองโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไร้ที่เปรียบผู้นี้อย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เขาดูมีความรัก มีความเมตตาต่อสรรพสิ่งบนโลกนี้อย่างแท้จริง!
คนเช่นนี้ก็มีความสนใจในกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ด้วยอย่างนั้นเหรอ?
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอิน ข้าอยากบอกความจริงให้เจ้ารู้สักหน่อย ตำหนักเป่ยหานมาถึงก่อนพวกเราก้าวหนึ่ง พวกเรามาช้าถึงเพียงนี้ คาดว่าตำหนักเป่ยหานคงจะได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไปครองแล้วกระมัง”
เมื่อเห็นพวกเขาไม่มีการตอบสนองอันใด ไป๋อู๋ห่ายก็กล่าวต่อว่า “พลังความแข็งแกร่งของกู้ไป๋อีนั้น คนในดินแดนสี่ทิศล้วนแต่รู้ดี หากเขาจะเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แล้วหนีไป พวกเราไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจขวางทางเขาได้ ข้าว่าเรามาร่วมมือกัน เป็นเช่นไร?”
อินรั่วเฉินกล่าว “อาตมาไม่อยากทำร้ายใคร และไม่อยากร่วมมือกับหัวหน้าตำหนักไป๋ด้วย สุดท้ายแล้วผู้ใดจะได้ครอบครองกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั้น ทุกอย่างก็ล้วนแต่ถูกลิขิตไว้แล้วทั้งสิ้น ไม่อาจฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้”
กล่าวจบ อินรั่วเฉินก็เดินไปทันที อรหันต์ทั้งเก้าก็เดินตามเขาไป
ไป๋อู๋ห่ายมองตามหลังพวกเขาแล้วสบถคำด่าออกมา “พวกอรหันต์หน้าเนื้อใจเสือ หากพวกเจ้าไม่ปรารถนาจะได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไปครอบครอง พวกเจ้าก็คงไม่พากันมาที่นี่หรอก ยังมีหน้ามาเสแสร้งอีก!”
ไป๋อู๋ห่ายหันไปมองเฟิงอวิ๋นซิวที่มีสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึก ก่อนจะกล่าวเสียงขรึมว่า “อวิ๋นซิว ครั้งนี้แคว้นเทพฟ้านอินลงมือเคลื่อนไหวแล้ว ความกดดันของพวกเราก็เพิ่มมากขึ้น เราจำเป็นต้องร่วมมือกันนะ มิเช่นนั้นภารกิจครั้งนี้ไม่มีทางสำเร็จแน่”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวเตือนว่า “ข้าก็จะขอเตือน หัวหน้าตำหนักไป๋สักนิด อย่าได้ลงมือผลีผลาม”
กล่าวจบ พวกเขาก็รีบเดินทางมุ่งหน้าไปสถานที่เหนือสุดแห่งแดนเหนือทันที
สถานที่เหนือสุดแห่งแดนเหนือ สถานที่นี้เย็นยะเยือกมาก แต่กลับไม่เคยมีหิมะตกเลยสักครั้ง และเป็นสถานที่ที่แห้งแล้งมาก ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นเลยแม้แต่ต้นเดียว
ในแผนที่นั้นบ่งบอกสถานที่เพียงสังเขปเท่านั้น แต่ตำแหน่งที่ชัดเจนยังต้องตามหากันเองต่อไป
มู่เฉียนซีเอากระบี่มังกรเพลิงออกมาและกล่าวว่า “มังกรเพลิง คงต้องอาศัยเจ้าให้หาแล้วล่ะ เจ้ารีบหาเร็วเข้า”
มังกรเพลิงกล่าว “นายท่าน ข้าจะทำสุดความสามารถขอรับ”
มังกรเพลิงสามารถตอบสนองกับฝักกระบี่ได้ สถานที่เหนือสุดแห่งแดนเหนือนี้กว้างใหญ่มาก ต้องใช้เวลามากหน่อย
และในตอนนี้เอง คนจำนวนมากต่างก็เดินทางมาที่สถานที่เหนือสุดแห่งแดนเหนือแล้ว
แผนที่นั้นไม่ได้ละเอียดมากนัก กองกำลังแต่ละกองกำลังต่างก็พากันตามหาให้จ้าละหวั่น
มู่เฉียนซีเองก็ใช้เวลาค้นหามาสักพักแล้วจนรู้สึกสงสัยว่ามังกรเพลิงคงจะไม่ได้เรื่อง
สถานที่เหนือสุดแห่งแดนเหนือที่มีอุณหภูมิอันเย็นยะเยือก จู่ ๆ ก็เกิดลมพายุพัดกระโชกขึ้น
มันแปลกเกินไปแล้ว!
ในตอนนี้เองมังกรเพลิงก็กล่าวด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งว่า “นายท่าน ข้าได้กลิ่นอายของเสี้ยวเสี้ยวแล้ว นายท่านตามข้ามา!”
คนอื่น ๆ ที่อยู่ในสถานที่เหนือสุดแห่งแดนเหนือนี้ก็รับรู้ได้ถึงลมพายุร้อนนี้แล้วเช่นกัน!
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “พลังธาตุอัคคีเข้มข้นเช่นนี้เหมือนกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาก ต้องหาแหล่งที่มาของลมพายุร้อนนี้ให้เจอ บางทีเราอาจจะหาที่อยู่ของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เจอก็ได้ เร็วเข้า!”
คนของตำหนักตงจี๋ต่างรีบพรวดออกไปทันที ส่วนแคว้นเทพฟ้านอินและกองกำลังอื่น ๆ ต่างก็พากันหาต้นตอของลมพายุร้อนนี้เช่นกัน
มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีมาถึงก่อนเป็นกลุ่มแรก เพราะมีมังกรเพลิงนำทาง
แต่เมื่อจะก้าวเดินไปข้างหน้า กลับถูกปราการที่ไร้รูปลักษณ์ปราการหนึ่งขวางไว้ ในนี้มีความลี้ลับอยู่!
มังกรเพลิงกล่าว “นายท่าน นี่เป็นปราการป้องกันของเสี้ยวเสี้ยว ปราการป้องกันของเสี้ยวเสี้ยวใช้เพื่อปกป้องตัวเอง การป้องกันของมันเก่งกาจมาก ต่อให้เป็นเจ้าพิฆาตวิญญาณก็ไม่สามารถทำลายได้!”
มู่เฉียนซีตกตะลึงขึ้นเล็กน้อย “เจ้าบอกว่าปราการป้องกันของฝักกระบี่แม้แต่เจ้าพิฆาตวิญญาณก็ไม่สามารถทำลายได้อย่างนั้นเหรอ!”
“ถูกต้อง!”
“แล้วเจ้ามีวิธีทำลายหรือไม่?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“ข้าก็ทำลายไม่ได้!”
“แล้วจะเข้าไปได้อย่างไรล่ะ?” พิฆาตวิญญาณทำไม่ได้ แล้วเช่นนั้นใครจะมีความสามารถทำลายมันได้อีกล่ะ
พวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้ฝักกระบี่ได้เลย!
มังกรเพลิงกล่าว “พิฆาตวิญญาณทำไม่ได้ ข้าทำไม่ได้ แต่นายท่านทำได้!”
“ข้าทำได้อย่างนั้นเหรอ?”
“อืม! นายท่านใช้กระบี่มังกรเพลิงก็สามารถทำลายปราการป้องกันของเสี้ยวเสี้ยวได้แล้ว เพราะนายท่านเป็นเจ้านายของพวกเรา ปราการป้องกันของฝักกระบี่มีผลต่อทุกคน แต่มีเพียงแค่นายท่านเท่านั้นที่สามารถเปิดได้”
มู่เฉียนซีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “สาเหตุที่พิฆาตวิญญาณเอาแผนที่นั้นให้ข้า ก็เป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถทำลายปราการป้องกันนี้ได้ ดังนั้นจึงให้ข้ามา! หากข้าได้ครอบครองฝักกระบี่ เขาก็สามารถเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เล่มสมบูรณ์ไปได้”
“น่าจะเป็นเช่นนี้! พิฆาตวิญญาณ เหตุใดนับวันถึงได้ชั่วร้ายเช่นนี้” มังกรเพลิงก็กลัดกลุ้มใจขึ้นเล็กน้อย
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่บอกเรื่องนี้กับข้าตั้งแต่แรก!” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“ขะ ข้า ข้าลืมไปแล้ว พอมาเห็นปราการป้องกันของเสี้ยวเสี้ยวในตอนนี้ก็เพิ่งจะคิดขึ้นมาได้ขอรับ” มังกรเพลิงกล่าวอย่างรู้สึกผิด
สีหน้าของกู้ไป๋อีเคร่งขรึมขึ้น เขากล่าวถามว่า “ซีเอ๋อร์ แล้วเราจะเข้าไปหรือไม่?”
มู่เฉียนซีแผ่ซ่านพลังจิตออกมา บริเวณรอบ ๆ นี้ไม่มีคนอื่นนอกจากนางและพวก
ทว่า มีความเป็นไปได้มากว่าพิฆาตวิญญาณจะอยู่ใกล้ ๆ หากนางล่าถอยไปในตอนนี้ พิฆาตวิญญาณไม่มีทางปล่อยนางไปแน่
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงขรึม “มาถึงขั้นนี้แล้ว ถอยกลับก็ไม่ได้! ทำได้เพียงไปต่อ บางทีสถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้”
กู้ไป๋อีกล่าว “ไม่ว่าซีเอ๋อร์จะเลือกเช่นไร ข้าจะสนับสนุนเจ้าเต็มที่!”
มังกรเพลิงกล่าว “นายท่านไม่ต้องกลัว ข้ากับเสี้ยวเสี้ยวจะปกป้องนายท่านเอง”
มู่เฉียนซีกำกระบี่มังกรเพลิงขึ้นมาและกล่าวว่า “เราช่วยกันเปิดปราการฝักกระบี่กันเถอะ!”
กระบี่มังกรเพลิงสั่นไหวเพียงแค่เล็กน้อย ประตูปราการตรงหน้าก็เปิดออก ฝักกระบี่พร้อมที่จะเปิดประตูต้อนรับเจ้านายมันจริง ๆ ด้วย
.