อินรั่วเฉินกล่าว “หากสิงโตทองลวงตาออกมา เกรงว่าทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศจะไม่สงบอีกต่อไป”
นี่เป็นถึงสัตว์ร้ายโบราณ ต่อให้ดินแดนสี่ทิศมียอดฝีมือขั้นสูงสุดเก่งกาจมากมายก็คาดว่าจะทำอะไรเจ้าสัตว์ร้ายนี่ไม่ได้
มู่เฉียนซีแอบสบถด่าว่า “เจ้าพิฆาตวิญญาณบัดซบ บังคับให้ข้ามาเอาฝักกระบี่แต่กลับไม่ตรวจดูสถานการณ์ข้างในเลย”
เอาฝักกระบี่มา คาดว่าจะต้องเผชิญหน้าต่อสู้กับสัตว์ร้ายนี่แน่นอน แต่หากไม่เอาฝักกระบี่มาแล้วละก็ คาดว่าเจ้าพิฆาตวิญญาณคงโกรธและลงมือโหดร้ายกว่าเจ้าสัตว์ร้ายนี่แน่
ตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริง ๆ
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว เจ้ายังคิดที่จะเอาฝักกระบี่อีกหรือไม่?”
อินรั่วเฉินกล่าว “เอา!”
“โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินบุตรของพระพุทธเจ้ากลับมีจิตใจชั่วร้าย นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะไม่สนในดินแดนสี่ทิศเช่นนี้” มู่เฉียนซีรู้สึกแปลกใจ
“อาตมายังมีเรื่องสำคัญจะต้องทำ”
สำหรับการเลือกของอินรั่วเฉินนั้น มู่เฉียนซีรู้สึกสงสัยมาก
“เพราะพิฆาตวิญญาณ!”
สิ่งเดียวที่เกี่ยวข้องกับฝักกระบี่ก็คือพิฆาตวิญญาณ
อินรั่วเฉินมองมู่เฉียนซีด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็ไม่ได้ยอมรับ
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อโอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินตัดสินใจอย่างมีความสุขเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะไม่ยั้งมือ ผ่านดินแดนภาพลวงตาของสิงโตทองนี้ไปและหาฝักกระบี่ให้เจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
อินรั่วเฉินพยักหน้าเบา ๆ พลางกล่าวว่า “อืม!”
พวกเขาเข้าไปในตำหนักนี้ มีหอคอยสีทองนับไม่ถ้วน และไม่นานนักบริเวณรอบ ๆ ทั้งหมดก็พลันมืดมิดลง
“อินรั่วเฉิน!”
มู่เฉียนซีไม่สามารถรับรู้ถึงกลิ่นอายของอินรั่วเฉินได้แล้ว จู่ ๆ เปลวไฟสีทองก็ปรากฏขึ้นทำให้ทั่วทั้งตำหนักสว่างเจิดจ้าขึ้นมา
บริเวณโดยรอบทั้งหมดได้กลายเป็นมหาสมุทรสีทองระยิบระยับตาเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นเอง ร่างร่างหนึ่งก็เคลื่อนไหวมา
มู่เฉียนซีเห็นร่างชายชราอันคุ้นเคยร่างหนึ่ง คนผู้นั้นก็คือคนที่นางเกลียดเข้ากระดูก
บนร่างของเขามีพลังแห่งคำสาปอันชั่วร้ายที่มู่เฉียนซีคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
รูม่านตาของมู่เฉียนซีหดลง “ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้ามาที่นี่”
ผู้อาวุโสสูงสุดมองมู่เฉียนซีและยิ้มพลางกล่าวว่า “มู่เฉียนซี เราเจอกันอีกแล้วนะ มู่เฟิงหลิงคงจะตายแล้วกระมัง! ตายแล้วแน่นอน พลังย้อนกลับของคำสาปนั้น ต่อให้เป็นหัวหน้าเผ่าของข้าก็ไม่อาจช่วยให้รอดได้”
“เจ้าต้องการจะฆ่าข้าเพื่อล้างแค้นให้อารองของเจ้าใช่หรือไม่ งั้นก็มาสิ! ข้าเองก็อยากจะรู้ว่าเจ้าจะมีความสามารถนั้นหรือไม่?”
จิตสังหารวาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี “เจ้ามันรนหาที่ตายเอง!”
อย่างที่เขาพูด สถานการณ์ของอารองเกือบจะไร้หนทางช่วยได้แล้ว
หากไม่ใช่เพราะนางได้คัมภีร์หมื่นคำสาปเล่มนั้นมาจากเผ่ามังกร หากไม่ใช่เพราะร่างของจิ่วเยี่ยมีคำสาปบ้านั่นอยู่ หากไม่ใช่มีนิรันดร์อยู่ เกรงว่าดวงจิตของอารองจะต้องดับสลายและจากนางไปตลอดชีวิตเป็นแน่!
“มังกรเพลิงสังหาร!” มู่เฉียนซีใช้กระบี่โจมตีอย่างดุเดือด
แสงประหลาดแสงหนึ่งวาบผ่านดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุด ก่อนที่เขาจะสามารถหลบหลีกการโจมตีของมู่เฉียนซีได้
“ฮ่า ๆ ๆ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ผ่านมามู่เฟิงหลิงมันมีชีวิตอยู่ยังไง มันก็เหมือนหมาตัวหนึ่ง ช่วยข้าทำทุกเรื่องที่ข้าสั่ง”
“สายเลือดสายตรงของตระกูลมู่แห่งราชวงศ์ตงหวงผู้สง่าผ่าเผย ถูกข้าควบคุมทุกอย่าง หลายปีที่ผ่านมานี้ทำให้ข้าสบายขึ้นมากจริง ๆ”
“……”
ดวงตาคู่นั้นของมู่เฉียนซีแดงก่ำขึ้นมาทันใด “ตายซะเถอะ!”
ควบคุมอารองผู้เย่อหยิ่ง ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส กักขังอิสระเขา กระทั่งเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขา
ความผิดของเจ้าเฒ่านี่ ต้องตายเป็นหมื่นครั้ง!
สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง!
“บัวแดงพิฆาต!”
“ทักษะโยวหลัว!”
“มังกรน้ำแข็งท้าสวรรค์!”
ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง!
มู่เฉียนซีโจมตีอย่างบ้าคลั่งราวกับเสียสติไปแล้วก็มิปาน
“ตายซะเถอะ!” กระบี่มังกรเพลิงแทงทะลุหัวใจของผู้อาวุโสสูงสุด
และในขณะที่มู่เฉียนซีจะดูดวิญญาณของเขานั้น นางก็พบว่ามันไม่มี
สีหน้าของมู่เฉียนซีพลันเปลี่ยนไป ทันใดนั้นเปลวไฟสีทองก็ได้ห่อหุ้มร่างของมู่เฉียนซีไว้ทั้งหมด
เปลวไฟสีทองแผดเผาผิวหนังของนาง แผดเผาเข้าไปจนถึงภายในร่างกายของนาง รวมถึงพลังจิตของนางด้วย…
ความเจ็บปวดที่ทรมานอย่างรุนแรงนี้ทำให้สีหน้าของมู่เฉียนซีซีดเผือดลง
ไม่นานนักนางก็เรียกสติกลับคืนมาได้ และโคจรพลังธาตุวารีในร่างกายขึ้น
พลังธาตุวารีของมังกรวารีนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง และสิ่งนี้สามารถทำให้สิงโตทองลวงตานั้นล่าถอยไปได้
ทว่า ในตอนนี้ก็มีเปลวไฟโจมตีเข้ามาอีกครั้ง
เสี่ยวหงโกรธเกรี้ยวขึ้นแล้ว!
“เจ้าสารเลว กล้ามาทำร้ายนายท่านข้า ไสหัวไปให้พ้น!”
เปลวไฟสีแดงฉานพุ่งออกมาสกัดกั้นเปลวไฟสีทองนั้นได้
เสี่ยวหงกล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า “นายท่าน ไม่เป็นอะไรใช่ไหม!”
มู่เฉียนซีโคจรพลังธาตุวารีกำจัดเปลวไฟนั้น ขณะเดียวกันสีหน้าของเสี่ยวหงก็เคร่งขรึมขึ้นแล้ว
ถูกกักขังเอาไว้ในดินแดนแห่งความมืดมิดและจู่ ๆ ก็มีเปลวไฟสีทองสว่างจ้าขึ้น
ฉ่า ฉ่า ฉ่า! “กลิ่นอายคุ้น ๆ เปลวไฟก็คุ้น ๆ หรือว่าจะเป็นมัน!”
ขณะที่กล่าวนั้นร่างของสิงโตทองลวงตาก็แข็งทื่อไป จากนั้นไม่นานนักมันก็กล่าวต่อว่า “เป็นไปไม่ได้! มันขี้เกียจซะขนาดนั้นจะมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เมื่อเปลวไฟเหล่านั้นถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น มู่เฉียนซีก็เป็นลมหมดสติไปแล้ว
ครั้งนี้นางได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเลย
สิงโตทองลวงตาใช้ภาพลวงตากระตุ้นความโกรธจากก้นบึ้งของหัวใจนาง ทำให้นางโกรธเกรี้ยวจนถึงที่สุด
ในตอนที่นางต่อสู้นางเสียพลังไปไม่น้อย ตอนนี้ต้องมาเผชิญกับเปลวไฟนี้ นางพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว
เสี่ยวหงเฝ้าอยู่ข้างกายมู่เฉียนซีอย่างระแวดระวัง มันไม่กล้ารับประกันว่าเจ้าสิงโตทองลวงตาจะไม่ลงมืออีก
ไม่นานนักก็มีเสียงก้าวเท้าดังขึ้น และมันก็ได้เห็นกับร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่ง
เสี่ยวหงกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า “นายท่านข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ แต่เหตุใดพระอย่างเจ้าถึงไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย”
สีหน้าที่เรียบนิ่งนั้นของอินรั่วเฉินเผยความเป็นห่วงเป็นใยออกมา “แม่นางมู่!”
เขาเดินไปที่มู่เฉียนซีและตรวจดูอาการบาดเจ็บของนาง
เขากล่าวว่า “โชคดีที่ร่างของแม่นางมู่มีสิ่งของที่สามารถยับยั้งเปลวไฟของสิงโตทองได้ มิเช่นนั้นจะต้องได้รับอันตรายมากกว่านี้เป็นแน่”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาอินรั่วเฉินได้รับการปกป้องอย่างดีมาโดยตลอด จิตใจใสสะอาดบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งความปรารถนาใด ๆ ไม่มีความแค้น และไม่มีความโกรธเกรี้ยวเลยสักนิด
ดังนั้นอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ของสิงโตทองลวงตาใช้กับเขาไม่ได้ผลเลย
เมื่อมู่เฉียนซีลืมตาขึ้นมาก็ได้เห็นกับดวงตาที่มีความเมตตาเปี่ยมล้นอยู่ในนั้นคู่หนึ่ง “อินรั่วเฉิน!”
ในฐานะที่เป็นนักปรุงยา นางรู้ดีว่าร่างกายของตนเองนั้นแย่มาก มู่เฉียนซีจึงดื่มโอสถ (ยาน้ำ ยาแผนปัจจุบัน) และกินยาลูกกลอนฟื้นฟูร่างกายเข้าไปไม่น้อย
เหมือนอย่างที่เสี่ยวหงพูดเอาไว้ไม่มีผิด เจ้าสิงโตทองลวงตานี้น่ากลัวและปลิ้นปล้อนมาก หนทางข้างหน้าคาดว่าคงจะไม่ง่ายเลย
นางเป็นกังวลเรื่องของอารองมาโดยตลอด อยากจะจับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นมาให้ได้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกสิงโตทองลวงตานั้นเล่นงานเข้าจนเกือบตายเสียแล้ว
ยาออกฤทธิ์เร็วมาก ไม่นานนักร่างกายของมู่เฉียนซีก็ฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว นางกล่าวถามว่า “อินรั่วเฉิน ด้วยนิสัยของเจ้าแล้ว ภาพลวงตาเหล่านี้กักขังเจ้าได้ไม่นานหรอก เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปคนเดียว บางทีเจ้าอาจจะหาฝักกระบี่เจอก่อนข้าก็ได้”
อินรั่วเฉินกล่าว “ไปด้วยกันจะได้ดูแลกัน”
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อเจ้าต้องการทำความดี ข้าก็ไม่ถือสา”
สิงโตทองลวงตาเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว สองหัวยังไงก็ดีกว่าหัวเดียว
อินรั่วเฉินกล่าว “อาตมาศึกษาภาพลวงตาเหล่านี้ออกมาได้แล้ว สิงโตทองลวงตานี้ใช้อารมณ์และความรู้สึกที่ไม่ดีของคนผู้นั้นมาทำให้คนผู้นั้นตกอยู่ในภาพลวงตา แต่หากใครที่ไม่มีความปรารถนา ไม่มีความรัก ไม่มีความแค้น ไม่มีความรู้สึก ภาพลวงตานี้ก็ทำอะไรไม่ได้”
มู่เฉียนซีมองอินรั่วเฉินพลางกล่าว “เรื่องเหล่านี้เจ้าทำได้เหรอ?”
อินรั่วเฉินกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “อาตมาฝึกสมาธิให้มีจิตใจสงบ เข้าสู่ทางธรรม เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องทำอยู่แล้ว พยายามอีกสักหน่อยก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว”
“เจ้าเป็นพระ แต่ข้าเป็นคนธรรมดา จะมีสักกี่คนที่ทำเรื่องเหล่านี้ได้กันเล่า เจ้าสิงโตทองลวงตานี่จึงจับจุดตายของคนได้” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
.