จิ่วเยี่ยมาด้วยท่าทีที่ร้ายมาก มู่เฉียนซีจึงรีบกล่าวถาม “จิ่วเยี่ย เจ้าเป็นอะไรไป ?”
“ออกมาก็ได้ เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้ามากนักรึ ?” แสงสีเขียวสว่างวาบ ฉับพลันทันใดอาถิงปรากฏกายออกมา
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นของจิ่วเยี่ยเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งและเต็มไปด้วยจิตสังหารจ้องมองไปที่อาถิง “ข้าไม่ชอบให้มีคนมาโกหกข้า”
อาถิง “ข้าไม่ได้โกหกใครทั้งนั้น นางก็อยู่ในเซี่ยโจวแห่งนี้ เจ้าหาไม่เจอนั่นก็เป็นเพราะเจ้าไร้ความสามารถเอง”
กลิ่นอายของจิ่วเยี่ยที่แผ่ซ่านออกมานั้นยิ่งน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ และอาถิงก็ยิ่งทวีความโกรธ เขากล่าวต่อว่า “ของบางอย่าง หากมันไม่ใช่ของเจ้า ก็ไม่ใช่ของเจ้าอยู่วันยังค่ำ เอามาให้ข้าประเดี๋ยวนี้”
“เจ้าไม่มีคุณสมบัตินั้น!”
“เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามาว่าบนโลกนี้มีใครที่มีคุณสมบัติมากไปกว่าข้า”
ทั้งสองจ้องตากัน ดวงตาลุกโชนเป็นไฟ มู่เฉียนซีมือไวตาไวมาก นางรีบคว้าจิ่วเยี่ยเอาไว้ ปากก็กล่าวขึ้น “จิ่วเยี่ย…”
“หากพวกเจ้าทั้งสองคิดจะเปิดศึกกันอีกครา จวนตระกูลมู่ของข้าแบกภาระเอาไว้ไม่ไหวแน่”
“นี่อาถิง เจ้ากล่าววาจาดี ๆ หน่อยไม่ได้รึ ? เจ้ายั่วโมโหเขาเช่นนี้ คิดจะรนหาที่ตายรึ ?!” มีมู่เฉียนซีคอยไกล่เกลี่ยเช่นนี้ ทั้งสองจึงสงบสติอารมณ์ลงบ้าง
มู่เฉียนซี “ตกลงแล้วเจ้าต้องการอะไรกับจิ่วเยี่ยกันแน่ ? บอกข้าได้หรือไม่ ?”
อาถิงตะคอกอย่างเย็นชา “เหอะ! ข้าบอกเจ้าไปเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่มีทางให้เจ้าเด็ดขาด”
จิ่วเยี่ยคว้ามู่เฉียนซีมากอดพลันกระซิบข้างหูนาง “ยังไม่ถึงเวลา”
อาถิงเห็นเช่นนี้ก็ผงะไปครู่หนึ่ง “เจ้าว่าอย่างไรนะ ? เมื่อถึงเวลาเจ้าจะให้นางงั้นรึ ? ข้านึกไม่ถึงเลยจริง ๆ…”
จิ่วเยี่ยจ้องอาถิงด้วยสายตาเย็นชาเพื่อให้เขานั้นหุบปาก “เจ้ามีปัญหารึ ?”
อาถิงเลิกคิ้วพลางทำสีหน้าดูถูก “เหอะ! ข้ามีปัญหาแน่นอน แต่เจ้าจะทำอะไรล่ะ ?”
ทั้งสองคนจ้องตากันพลางคุยกันทางจิต
อาถิงกล่าว “ทางที่ดีที่สุดเจ้าอย่าลืมคำพูดของตัวเจ้าเองจะดีกว่า”
“แน่นอน”
“จิ่วเยี่ย เจ้ายังมีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อะไรอยู่หรือ ?” ถึงแม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้บอกความลับนั้น แต่ด้วยคำพูด มู่เฉียนซีก็พอจะเดาออกอยู่บ้าง สิ่งเดียวที่ทำให้อาถิงเป็นเช่นนี้ได้นั่นก็คือมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์
มู่เฉียนซี “จิ่วเยี่ย ตอนนี้ข้ามีศาลานิรันดร์ มีแหวนมังกรเทพวารี และยังมีหม้อเทพนิรันดร์อยู่ หากเจ้ายังมีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัว เจ้าก็เก็บเอาไว้กับตัวเองเถอะ”
อาถิง “ไม่ได้ นี่เจ้าบ้าไปแล้วรึ ? สิ่งที่เขามีอยู่ไม่ใช่มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ธรรมดา ๆ”
“ไม่ ต้องมอบมันให้กับเจ้าเท่านั้นข้าถึงจะวางใจ” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างไม่ยอมให้อาถิงสอดปากสอดคำได้
พวกเขาสองคนดูเป็นกังวลมาก มู่เฉียนซีก็แปลกใจมากเช่นกันว่าแท้ที่จริงแล้วมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั้นเป็นอะไรกันแน่
“ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าไม่ได้โกหกข้า เช่นนั้นเจ้าก็ไสหัวไปได้แล้ว”
อาถิง “ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น กว่าข้าจะออกมาได้สักครั้งไม่ง่ายเลย ข้าจะสร้างความสัมพันธ์กับผู้ร่วมทำพันธสัญญาของข้าสักหน่อย”
— ตูม! —
จิ่วเยี่ยต่อยหน้าอาถิงอย่างแรงด้วยความโกรธจัดจนกำแพงด้านหลังของอาถิงเป็นรูขนาดใหญ่
“เจ้า! จะลงมือโดยที่ไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยรึ ข้าจะโกรธจริง ๆ แล้วนะ!” อาถิงตะโกนใส่จิ่วเยี่ย
มู่เฉียนซี “เจ้าโกรธจริงข้าก็โกรธจริงเช่นกัน เจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่หรือไม่ ? เจ้ากับข้าไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งใด ๆ ต่อกัน” มู่เฉียนซีเห็นอาถิงยั่วโมโหจิ่วเยี่ยเช่นนี้ นางจึงรีบพาอาถิงกลับเข้าไปในมิติทันที
จิ่วเยี่ยหันขวับมามองนาง “ซี… เจ้าต้องมีความรู้สึกนั้นกับข้าเพียงคนเดียว”
“ข้าพูดได้แค่ว่า…”
“อื้อ…” มู่เฉียนซีกล่าวยังไม่ทันจบคำ จิ่วเยี่ยก็คว้านางมาจุมพิตอย่างเร่าร้อน
สำหรับมู่เฉียนซีแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่นางทรมานมากที่สุด จิ่วเยี่ยยังคงจุมพิตนางอย่างไม่มีท่าทีจะปล่อยนางเลย แต่ทันใดนั้น จื่อโยวเข้ามาแจ้งข่าวคราว “เยี่ย ทางนั้นต้องการเจ้า!”
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีไว้ และกล่าวกับนางว่า “ทางฝั่งนั้นต้องการความช่วยเหลือจากข้า หากข้าไม่ไปเรื่องมันจะยุ่งยาก รอให้หาเจอ แล้วข้าจะทำให้เจ้าประหลาดใจแน่นอน”
มู่เฉียนซี “อืม”
กล่าวจบจิ่วเยี่ยกับจื่อโยวก็อันตรธานหายไปทันที จากนั้นไม่นานอาถิงก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง ทันทีที่เขาออกมา เขาก็พร่ำบ่น “หญิงอัปลักษณ์ เจ้า! ได้ ข้าจะจำไว้ เพื่อเขา เจ้าถึงกับบังคับเอาข้ากลับไปในมิติ”
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าว “ข้ากลัวว่าหากข้าไม่เอาเจ้ากลับเข้าไปในมิติเจ้าจะกลายเป็นโครงกระดูกเอาน่ะสิ และหากข้าปล่อยให้เจ้าพูดจาซี้ซั้วต่อ มีหวังข้าคงต้องโดนทรมานตายเพราะเจ้าไปด้วยเป็นแน่”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าบ้าขี้โอ่นั่นรึ ?”
“ใช่! เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ครั้งล่าสุดที่เจ้าสู้กับเขา แล้วสุดท้ายผลก็อย่างที่เห็น ก่อนจะถึงเวลาอันควรเจ้าอย่าผลีผลามจะดีกว่า”
อาถิง “เจ้าหมายความว่าหากถึงเวลาอันควรก็สามารถลงมือได้ใช่หรือไม่ ?”
มู่เฉียนซี “รอให้ข้ามั่นใจก่อนว่าข้าสู้เขาได้ เมื่อถึงตอนนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่จิ่วเยี่ยล่วงเกินข้าไว้ ข้าจะเอาคืนกลับหลายเท่าเป็นแน่ เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจะยอมให้โดนเอาเปรียบอยู่ฝ่ายเดียวงั้นรึ ?”
อาถิง “เจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็วางใจขึ้นมาหน่อย ข้ามองเจ้าผิดไป เอาเถอะ เจ้ารีบฝึกฝนเร็ว ๆ เข้าล่ะ จะได้จัดการกับเจ้านั่นสักที”
มู่เฉียนซีพยักหน้า “อืม! ”
“แต่ว่าตอนนี้…” อาถิงหันมองมู่เฉียนซี เขารู้สึกว่าหนทางนั้นยังอีกยาวไกล
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “อาถิง เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้โกหกจิ่วเยี่ย”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ชอบขี้หน้าเจ้านั่น แต่เรื่องสำคัญเช่นนั้นข้าไม่มีทางเอามาล้อเล่น”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องรีบหาสมุนไพรวิญญาณสองชนิดนั้นให้เจอโดยเร็วที่สุด จากนั้นก็รีบฝึกฝนต่อ
อาถิง “ตอนนี้การฝึกของเจ้าเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก อย่าว่าแต่ฝึกให้เหนือกว่าเจ้าหมอนั่นเลย อีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดของอวิ๋นเหนี่ยว คุณหนูใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นเยียนนั่นแล้ว เจ้าต้องรีบฝึกให้แข็งแกร่งกว่านี้ ไม่เช่นนั้นจะซวยเอาได้”
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย “อวิ๋นเหนี่ยวอะไรกันเล่า นางชื่ออวิ๋นเฟิ้งต่างหาก ว่าแต่เจ้ามีวิธีอะไรบ้างล่ะ ?”
“การผจญภัย การต่อสู้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นทั้งสิ้น ข้าได้สำรวจดินแดนเซี่ยโจวมาแล้ว เจ้าต้องเดินทางไปที่เทือกเขาอันตรายที่สุดของเซี่ยโจว เจ้าลองไปที่ป่าหนานอู้ ณ เทือกเขาหนานอู้ดู” อาถิงกล่าว
ป่าหนานอู้อยู่ทางตอนใต้ของเซี่ยโจว เป็นป่าต้องห้ามและอันตรายมาก
ผู้คนที่เดินทางเข้าไปในเทือกเขาหนานอู้ ไม่มีใครมีชีวิตรอดกลับมาสักคน นี่เป็นสถานที่ที่อันตรายมากในเซี่ยโจว หากพลังวิญญาณไม่ถึงขั้นจักรพรรดิ ก็ไม่มีใครกล้าย่างเท้าเข้าไป
ถึงแม้ว่าข้อเสนอนี้ของอาถิงจะอันตรายมาก แต่อย่างไรแล้วก็ต้องไปเทือกเขาหนานอู้นี้สักครา สมุนไพรวิญญาณสองชนิดนั้น ตลอดทั้งชีวิตนี้ที่ผ่านมา นางก็ไม่เคยได้ข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับมันเลย นางต้องไปเสี่ยงโชคเอาในสถานที่ที่อันตรายนั้นสักครั้ง บางทีอาจจะโชคดีเจอสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นก็ได้
มู่เฉียนซี “รอให้ข้าจัดการเรื่องที่จวนเสร็จเรียบร้อยก่อน ข้าจะเดินทางไปทางตอนกลาง และจะไปป่าหนานอู้ทางใต้นั่น”
อาถิงยกมือขึ้นมาวาดแผนที่หนึ่งตรงหน้ามู่เฉียนซี “เจ้าจำเป็นต้องเดินทางให้ยุ่งยากเช่นนั้นด้วยหรือ ? จากตำแหน่งที่เจ้าอยู่ตอนนี้ เดินทางข้ามเทือกเขาชีชงไป เจ้าก็เข้าสู่เขตเทือกเขาหนานอู้แล้ว”
มู่เฉียนซี “อาถิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเส้นทางนี้มันอันตรายมากแค่ไหน ?”
อาถิง “ข้ารู้ ถึงแม้ว่าตอนนี้การฝึกฝนของเจ้าจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ หากเจ้าไม่โหดร้ายกับตัวเองสักหน่อย เจ้าจะทำลายสำนักอวิ๋นเยียนได้อย่างไร และเจ้าจะเอาคืนเจ้าขี้โอ่นั่นได้อย่างไรกันจริงไหม ?”
มู่เฉียนซีเข้าใจดี หากไม่โหดร้ายกับตัวเองสักหน่อย นางจะปรุงยาระดับสูง ๆ ออกมาได้อย่างไรกันล่ะ การฝึกฝนก็เช่นกัน
มู่เฉียนซีพยักหน้า “ตกลง ข้าจะทำตามที่เจ้าแนะนำ”
อาถิง “เจ้าวางใจได้ มีข้าอยู่ เจ้าไม่ตายแน่นอน”
“ไม่ตาย แต่ถ้าหากพลาดขึ้นมาระหว่างทางจะทำอย่างไร ?”
“ข้า…”
ในขณะที่มู่เฉียนซีกับอาถิงกำลังถกเถียงกันอยู่ ทันใดนั้นเสียงของข้ารับใช้ผู้หนึ่งก็ดังขึ้นว่า “ท่านผู้นำตระกูล ท่านไป๋กั๋วกงกับคุณชายน้อยไป๋มู่เฟิงมาขอพบขอรับ”