หม้อเทพนิรันดร์ “ได้ ข้าจะบอกเจ้า อ้อ และยังมีวิธีการหลอมยากับวิชาความรู้บางส่วนที่ข้ามี ข้าจะให้เจ้าก่อนที่ข้าจะเข้าสู่ช่วงนิทรา แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะอยู่ที่นี่ ?”
มู่เฉียนซีพยักหน้า นางหันไปคว้ามือของมู่อวู่ซวงไว้แล้วกล่าวว่า “ท่านอา พิษของท่านสามารถแก้ได้ แต่ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการอีกสักหน่อย แล้วเดี๋ยวข้าจะกลับมาหาท่านอานะเจ้าคะ”
มู่เฉียนซีกลับเข้าไปในห้อง บรรดาวิชาความรู้และทุกสิ่งอย่างที่หม้อจะให้นางนั้นมีจำนวนมาก มันแผ่กระจายไปทั่วห้องจนทําให้มู่เฉียนซีถึงกับสลบไป ในขณะที่หมดสติอยู่นั้นเอง นางพยายามซึมซับวิชาความรู้ทุกอย่างจากหม้อเทพนิรันดร์
เนื้อหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับยาและการหลอมหรือการปรุงยานี้น่าเรียนรู้อย่างมาก นางซึมซับด้วยความโลภ
ในเวลานั้นเอง หม้อเทพนิรันดร์กล่าวขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “โอ้ที่รัก! เจ้านั้นเก่งกาจกว่าที่ข้าคิดไว้มาก”
มู่เฉียนซียังซึมซับไม่ได้ทั้งหมดทว่านางตื่นขึ้นมาแล้ว ทันใดนั้นหม้อเทพนิรันดร์หาวพลางกล่าวขึ้น “ข้าง่วงนอนจริง ๆ ข้าอยากนอนยาว ๆ ไม่รู้ว่าจะตื่นเมื่อไหร่”
“มู่เฉียนซีที่รักของข้า ข้าต้องรีบฟื้นฟูให้เร็วที่สุดถึงจะกลายเป็นมนุษย์ได้ ถึงตอนนั้นข้าจะคอยปรนนิบัติเจ้าให้ดี ให้เจ้าได้มีความสุข… ให้เจ้าได้ขึ้นสวรรค์…”
สีหน้าของมู่เฉียนซีหม่นลง นางกล่าวอย่างเย็นชา “ไสหัวไป!”
“มู่เฉียนซีที่รักของข้า เจ้านั้นช่างไร้ความปรานีนัก เมื่อข้าหมดประโยชน์แล้ว เจ้าก็ถีบหัวส่งข้าเช่นนี้”
“ใช่ แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องอธิบายข้ามาก่อน” มู่เฉียนซีนำร่างของชิงอิ่งออกมาจากมิติและกล่าวถาม “นิรันดร์ แท้จริงแล้วเขาผู้นี้คืออะไรกันแน่ ?”
หม้อเทพนิรันดร์ตะลึงงัน หัวเราะอย่างหยอกล้อและกล่าวว่า “ฮ่า ๆ ๆ เจ้าหมอนี่น่าสนใจอย่างมาก เจ้าโชคดีจริง ๆ ที่ได้เจ้านี่มา”
“ทำอย่างไรเขาถึงจะฟื้นขึ้นมาได้ ?” มู่เฉียนซีถามอย่างจริงจัง ชิงอิ่งหลับใหลไปนานมากเสียจนทําให้นางรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“เจ้าหนู เจ้าไม่ต้องกังวลเลย พลังของเขาหมดลงอย่างน่าสงสารจึงไม่สามารถเสริมด้วยพลังภายนอกได้ เจ้านี่ต้องการพลังชีวิตของตัวเองเพื่อบํารุง เมื่อฟื้นฟูขึ้นแล้วเขาก็จะตื่นขึ้นมาเอง เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าใช้ยาเพื่อเลี้ยงดูเขาให้ดี แล้วเขาจะเป็นมากกว่าโล่ป้องกันหรือผู้ติดตามผู้หนึ่งอย่างแน่นอน
“ชิงอิ่งไม่ใช่โล่ป้องกันและผู้ติดตามของข้า เขาเป็นสหายของข้า”
หม้อเทพนิรันดร์ยิ้ม กล่าวว่า “เจ้าช่างน่ารักเสียจริง เขาเป็นเพียงหุ่นเชิดรบที่ไม่ได้มีความรู้สึกและอารมณ์ใด ๆ เจ้าเห็นเขาเป็นสหายจริง ๆ หรือ ?”
“ชิงอิ่งไม่ใช่หุ่นเชิดรบทั่วไป” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจริงจัง
“ใช่! แน่นอนข้ารู้ว่าเจ้านี่ไม่ใช่หุ่นเชิดรบทั่วไป แต่อย่างไรเขาก็ไม่มีความรู้สึกอยู่ดี”
แม้หม้อเทพนิรันดร์จะพูดเช่นนี้ แต่มู่เฉียนซีก็ยังคงสงสัยอยู่ในใจ เพราะนางรู้สึกว่าชิงอิ่งไม่ใช่สิ่งของแท้ ๆ ที่ไร้ความรู้สึกอะไรเช่นนั้น
หม้อเทพนิรันดร์กล่าวอย่างเกียจคร้าน “เจ้ายังคงจะได้รับมรดกทุก ๆ อย่างของข้า จงฝึกฝนให้ดีเป็นประสบการณ์ หวังว่าเมื่อข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าจะเก่งกาจมากยิ่งขึ้น”
ในชั่วพริบตานั้น ก็ไม่มีเสียงใด ๆ ของหม้อเทพนิรันดร์อีก ทว่าทันใดนั้นเอง แสงสีเขียวอ่อนพุ่งเข้ามา ภาพเด็กหนุ่มที่ราวกับปีศาจปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ามู่เฉียนซี เป็นอาถิงนั่นเอง
อาถิงกล่าวขึ้น “มู่เฉียนซีหญิงอัปลักษณ์… เจ้าต้องไม่ปล่อยให้เจ้าหม้อเจ้าเล่ห์หลอกลวงนั่นกลายเป็นมนุษย์ ในเมื่อเจ้าได้สืบทอดทุกอย่างจากเขาแล้ว เจ้าควรประทับตราให้เขาหลับใหลไปตลอดชีวิต”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน จนถึงตอนนี้อาถิงก็ยังเรียกนางว่าหญิงอัปลักษณ์อยู่เช่นเดิม ทว่านางสนใจประเด็นอื่นมากกว่า นางกล่าว “อาถิง ดูเหมือนว่าเจ้าจะอคติกับเจ้าหม้อนั่นอย่างมาก”
“ข้าไม่อยากให้สตรีผู้ทําพันธสัญญากับชีวิตของข้าถูกหลอกลวง” อาถิงแค่นเสียงเบา ๆ
มู่เฉียนซีสีหน้าหมองหม่น “อาถิง เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“ข้าไม่ได้คิดมาก รอเจ้าเห็นร่างของเขาแล้วเจ้าจะไม่กล่าวเช่นนั้น โชคดีที่ข้ากลายเป็นมนุษย์เร็วกว่าเขา ข้าจะคอยดูเจ้าเอง” ดวงตาสีเขียวสุกใสมองมู่เฉียนซี
เพราะได้รับมรดกมาจากหม้อเทพนิรันดร์ นางจึงรู้ว่าพิษโบราณของท่านอาเล็กต้องใช้สมุนไพรวิญญาณอะไรมาแก้
หลัก ๆ แล้วมีสมุนไพรวิญญาณสามชนิดที่หาได้ยากมาก แต่ทว่าในมือของนางนั้นกลับมีอยู่หนึ่งชนิดคือดอกบัวผลึกน้ำแข็งเก้าชั้นที่บังเอิญไปได้มาจากดินแดนน้ำแข็ง
แต่นอกจากนี้ นางต้องหาผลกำเนิดเก้าวิญญาณและดอกเก้าพิฆาตลึกลับ สองชนิดนี้ นางนั้นแม้แต่ได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน การตามหามันจึงยุ่งยากเป็นอย่างมาก
หลังจากซึมซับวิชาความรู้ทุกอย่างจากหม้อเทพนิรันดร์ไปบางส่วนแล้ว มู่เฉียนซีก็ไปอธิบายสถานการณ์กับมู่อวู่ซวง นางกล่าวว่า “ท่านอาเจ้าคะ แม้ว่าข้าจะต้องค้นหาทั่วทั้งทวีปเซี่ยโจวแต่ข้าก็จะต้องหาสมุนไพรวิญญาณทั้งสองชนิดนี้ให้เจอ ถ้าหากหาในเซี่ยโจวไม่เจอ ข้าก็จะไปหาที่อื่น”
มู่อวู่ซวงมองมู่เฉียนซีด้วยดวงตาเจ็บปวด เขากล่าว “ซีเอ๋อร์ เจ้าต้องเหนื่อยยากลำบากเพื่อร่างกายของข้า”
มู่เฉียนซี “ไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะ ข้านั้นเป็นหมอยาอยู่แล้ว การรักษาโรคที่ยากมากสําหรับข้าก็เป็นการฝึกฝนประสบการณ์ ทำให้ข้านั้นพัฒนาขึ้น…
และอีกอย่าง รอให้ข้ารักษาท่านอาเล็กให้เรียบร้อยก่อน ข้าเองก็เป็นทายาทผู้ที่มีเงินทองล้นเหลือ ต่อไปนี้ก็สามารถเสพสุขอย่างสบาย ๆ ได้แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ ?”
“อืม” มู่อวู่ซวงพยักหน้าเล็กน้อย
เวลานี้ทั้งสองแคว้นนั้นเกิดความวุ่นวายเป็นอย่างมาก มู่เฉียนซีเองก็คงไม่อยากที่จะอยู่ดี ๆ แล้วไปหาเรื่องใส่ตัว นางอยู่เป็นเพื่อนท่านอาเล็ก ฝึกปรุงยา ฝึกยุทธ์ ปิดจวนไม่รับแขก ผู้ใดมาก็ไม่ออกไปพบ
……
อ้านจิ่วกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ “มู่เฉียนซีนางหมายความว่าอย่างไรกัน ? เรื่องนี้นางเป็นคนก่อขึ้นมาแต่กลับไม่สนใจ”
เขานั้นขึ้นมาจากนรกก็หลายวันแล้ว เขาเองก็รู้ดีถึงความเปลี่ยนแปลงของแคว้นจื่อเยี่ยในสิบปีมานี้ และยังมีเรื่องของสถานะตัวตนของมู่เฉียนซี
ซวนหยวนหลี่เทียน “ดูเหมือนว่าน้องเก้าจะไม่ชอบมู่เฉียนซีมาก”
อ้านจิ่ว “สตรีวิปริตเช่นนั้น จะมีชายใดมาชอบ ?”
“น้องเก้า แต่มู่เฉียนซีนางเป็นคู่หมั้นของเจ้า” ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าว แม้ว่าใบหน้าของเขาจะดูนิ่งเฉยไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์อันใด แต่ดวงตาของเขากลับฉายแววเศร้าหมอง
ในใจของซวนหยวนหลี่เทียนนั้นมีความอิจฉาอยู่บ้าง เขากล่าวขึ้น “ใช่แล้วน้องเก้า นางเป็นคู่หมั้นของเจ้า จากนี้ไปจะต้องทำความรู้จักกันให้มาก นางยังมีอะไรที่พิเศษอีกมากมาย”
ในอดีต เขามีโอกาสได้ใกล้ชิดมู่เฉียนซีทว่าในที่สุดเขาก็พลาดไป ในใจของซวนหยวนหลี่เทียนรู้สึกขมขื่นยิ่ง
“ว่าอย่างไรนะ ? นางคือคู่หมั้นของข้ารึ ?!” ในตอนนี้เอง สีหน้าของอ้านจิ่วราวกับโดนฟ้าผ่า
เรื่องนี้มัน… ช่างน่ากลัวจริง ๆ
ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าว “ตอนที่ท่านพ่อยังครองราชย์อยู่ ท่านได้พระราชทานงานอภิเษกแก่ซวนหยวนจิ่วเยี่ยกับมู่เฉียนซี”
“เขาตอบตกลงไปแล้ว และเวลานี้ยังมีชีวิตอยู่ เอ่อ…” อ้านจิ่วตกใจแทบจะกระโดดขึ้นมา
ซวนหยวนชิงอวิ๋นรู้ว่าคนที่อ้านจิ่วกล่าวถึงนั้นเป็นใคร เขาจึงกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “ใช่”
— พรึ่บ! —
เสียงหนึ่งดังขึ้น ร่างอ้านจิ่วอันตรธานหายไป
……
ถึงแม้ว่าตระกูลมู่จะปิดประตูไม่รับแขก ทว่าก็ไม่สามารถห้ามเขาไว้ได้
มู่เฉียนซีมองบุรุษชุดดำที่จู่ ๆ ก็โผล่เข้ามา นางกล่าวถาม “เจ้ามีอะไรหรือ ?”
— ฟึ่บ! —
อ้านจิ่วคุกเข่าลงกับพื้น
มู่เฉียนซีตะลึงงัน “เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้มีพิธีรีตองอะไรใหญ่โตเช่นนี้ ? นี่มันไม่ใช่ปกติอย่างที่เจ้าเป็นเลย”
“ถวายบังคมพระชายา… ก่อนหน้านี้ข้าล่วงเกินท่านไปมาก โปรดอภัยให้ข้าด้วย” อ้านจิ่วกล่าวขึ้น
“พระชายารึ ?” มู่เฉียนซีอ้ำอึ้ง นางกลายเป็นพระชายาของใครตั้งแต่เมื่อไรกัน
“ฝ่าบาท เอ่อ… ใช้ชื่อของข้าปฏิบัติการในแคว้นจื่อเยี่ย ซวนหยวนจือพระราชทานงานอภิเษก เขาไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้ฆ่าท่าน นั่นก็แสดงว่าเขานั้นยอมรับท่าน เช่นนั้น… เช่นนั้นแล้วท่านจึงเป็นพระชายาของพวกข้า”
มู่เฉียนซี “แต่ข้าจำได้ว่าบุรุษที่หมั้นกับข้าคือซวนหยวนจิ่วเยี่ย มิใช่หวงจิ่วเยี่ยฝ่าบาทของเจ้า”
อ้านจิ่วเหงื่อแตกพลั่ก เขาไม่ได้คิดเลยว่าฝ่าบาทนั้นจะบอกชื่อจริงแก่พระชายาแล้ว
ข้อความหมั้นหมายที่เขียนไว้นั้นเป็นชื่อของเขาก็จริง แต่… ฝ่าบาทคงจะไม่สั่งฆ่าเขาผู้ที่เป็นคู่หมั้นตัวจริงของงานนี้อย่างไม่มีผู้ใดล่วงรู้หรอกกระมัง!
อ้านจิ่วนั้น จู่ ๆ เขาก็กล่าวขึ้นมา “พระชายา ขอให้ท่านโปรดยกเลิกสัญญาการอภิเษกนี้ให้เร็วที่สุดเถอะ”
ทว่าอ้านจิ่วเพิ่งกล่าวจบ เสียงที่นุ่มลึกดั่งเช่นเหล้ารสหอมหวานลอยมา “อ้านจิ่ว เจ้านั้นกล่าวได้ดี งานหมั้นงานอภิเษกเหล่านั้น หากว่าเจ้ายกเลิกแล้ว… ซีจะเป็นภรรยาของข้า”
.