ในขณะที่มู่เฉียนซีเดินเข้ามานั้น อ้านจิ่วจ้องมองนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน นี่คือสตรีผู้งดงามยากที่จะบรรยาย ใบหน้างามหมดจดนี้ เขากล่าวได้เลยว่านางเป็นสตรีมีเสน่ห์มากคนหนึ่ง
ถึงแม้เขาจะเพิ่งปรากฏตัวออกมา แต่เขาก็ดูออกว่า ณ ที่แห่งนี้คือสนามรบ แคว้นชิงเปิดสงครามกับแคว้นจื่อเยี่ย ทั้งสองแคว้นได้ทำสงครามต่อสู้กัน ถึงแม้ว่าซวนหยวนจือจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังมีพี่สาม พี่เจ็ด และคนอื่น ๆ อยู่ แต่เหตุใดหน้าที่ตั้งรับฝ่ายศัตรูถึงได้เป็นของสตรีผู้นี้ไปได้ ?
“เจ้าจะเอาอย่างไรแน่ ?” ฉินป้ากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ข้าน่ะรึ ?! ข้าคิดว่าดินแดนของแคว้นจื่อเยี่ยมันเล็กไป ข้าจะนำทัพไปตีเมืองหลวงแคว้นชิง และยึดดินแดนแคว้นชิงทั้งแคว้น เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ ?” มู่เฉียนซียิ้มมุมปากเล็กน้อย
ฉินป้ากล่าวเสียงเย็นชา “มู่เฉียนซี เจ้าเป็นคนโลภมากอย่างแท้จริง เจ้าไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย แต่เจ้าคิดว่าหากเจ้ายึดครองแคว้นชิงได้ เจ้าจะควบคุมทั้งแคว้นได้รึ ?”
“ข้าคิดว่าได้” มู่เฉียนซีตอบสบาย ๆ
ท่าทีนี้ของนางทำให้ฉินป้ารู้สึกไม่พอใจทันที “นี่เจ้า…”
อ้านจิ่วผงะไปครู่หนึ่ง หญิงสาวผู้นี้ นางมีนามว่ามู่เฉียนซี
“จะ… เจ้า… เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ แล้วข้าจะยอมมอบดินแดนบางส่วนของแคว้นชิงให้กับแคว้นจื่อเยี่ย ข้ามอบให้มากที่สุดเท่าที่จะให้ได้แล้ว”
“สมองเจ้ามันกลวงไปแล้วรึ ?! ข้าไม่ได้ต้องการต่อรองกับเจ้า ข้าเพียงบอกให้เจ้ารู้ก็เท่านั้น”
มู่เฉียนซีหันไปมองซวนหยวนชิงอวิ๋นก่อนจะกล่าวว่า “ชิงอวิ๋น แม่ทัพเยวี่ย พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรรึ ?”
ในดินแดนทางตะวันตกของเซี่ยโจว ทั้งสี่แคว้นไม่มั่นคงสักเท่าไหร่นัก หากสามารถควบคุมทั้งสามแคว้นเอาไว้ได้ นั่นก็ถือว่ามั่นคงขึ้นมาหน่อย
ซวนหยวนชิงอวิ๋น “ทุกอย่างแล้วแต่เฉียนซีจะตัดสินใจ ข้านั้นไร้ข้อกังขา”
แม่ทัพเยวี่ย “ข้าคิดว่าแคว้นชิงมาล่วงเกินเปิดศึกกับแคว้นจื่อเยี่ยก่อน ตอนนี้แคว้นจื่อเยี่ยของพวกเราก็ต้องทำให้เต็มที่”
มู่เฉียนซีหันไปมองอ้านจิ่ว “เสี่ยวจิ่ว กว่าเจ้าจะปีนป่ายขึ้นมาจากนรกได้นั้นไม่ง่ายเลย เจ้ามาร่วมมือทำการใหญ่กับข้าสักหน่อยดีหรือไม่ล่ะ ?!”
ทุกคนได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ถึงกับเหงื่อตก ความหวาดกลัวแล่นเข้าเกาะกุมจิตใจ ฝีมือการฆ่าสังหารเมื่อครู่ของอ้านจิ่วผู้นี้ช่างน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าอะไร ใครจะคิดว่าผู้นำตระกูลมู่จะกล้าใช้งานเขาด้วยท่าทีสบาย ๆ
อ้านจิ่ว “ตกลง ถึงแม้ว่าข้าจะออกจากตระกูลซวนหยวนแล้ว แต่ถึงอย่างไรข้าก็เกิดในแคว้นจื่อเยี่ย”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพึงพอใจก่อนจะหันไปออกคำสั่งทันที “ทหาร เตรียมยกทัพบุกโจมตีเมืองหลวงแคว้นชิง!”
การยกทัพไปบุกโจมตีแคว้นชิงในครั้งนี้ นับว่าไม่ได้เป็นเรื่องยากแต่อย่างใด เพราะทหารในแคว้นชิงนั้นยังไม่ทันได้เตรียมตัวรับมือ อีกทั้งพวกเขายังมีตัวประกันที่สำคัญอยู่ในมือนั่นก็คือฉินป้า ฮ่องเต้แห่งแคว้นชิง
มีฮ่องเต้เป็นตัวประกันเช่นนี้ ไม่มีทางที่ศัตรูจะไม่ยอมเปิดประตูเมืองยอมจำนน อีกทั้งยังมีกองหน้าที่แข็งแกร่งและกล้าหาญปีนป่ายขึ้นมาจากนรก มู่เฉียนซีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอ้านจิ่วผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด
อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพแคว้นจื่อเยี่ยพรั่งพร้อมอย่างมาก ทัพของแคว้นจื่อเยี่ยจึงยกทัพไปถึงเมืองหลวงแคว้นชิงได้อย่างราบรื่น
แม่ทัพเฮยที่ประจำการอยู่ ณ ด่านเมืองหลวงในเวลานี้ไม่ได้สนใจตัวประกันอย่างฉินป้าแม้แต่น้อย ต่อให้ฉินป้าต้องตาย เขาก็ไม่ยอมเปิดประตูเมืองเด็ดขาด
มู่เฉียนซีแค่นเสียงเย็นชา “พวกเจ้าฟังให้ดี หากพวกเจ้ายังไม่ยอมเปิดประตูเมือง ข้าจะสังหารตัวประกันผู้นี้ทิ้ง”
ด้านบนของกำแพงเมือง แม่ทัพเฮยนำตัวคนสองคนออกมา เขากล่าวเสียงดุดัน “มู่เฉียนซี อย่าคิดว่าเจ้ามีตัวประกันเพียงฝ่ายเดียว ข้าก็มีตัวประกันเช่นกัน!”
ที่แท้แม่ทัพเฮยก็ได้นำตัวไป๋กั๋วกงกับไป๋มู่เฟิงออกมาจากคุกหลวง
แม่ทัพเฮย “ผู้นำตระกูลมู่ ความสัมพันธ์ของเจ้ากับไป๋มู่เฟิงนั้นไม่เลวเลย หากเจ้าฆ่าฉินป้า ข้าก็จะเป็นผู้ที่ขึ้นครองบัลลังก์ แต่เจ้าดูไป๋มู่เฟิงผู้นี้สิ เขายังหนุ่มอยู่เลย…”
เมื่อฉินป้าได้ยินคำพูดนี้ของแม่ทัพเฮยก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันใด “เจ้าบังอาจคิดก่อกบฏ ข้ามองเจ้าผิดไปจริง ๆ”
แม่ทัพเฮย “ฝ่าบาทยังมองสถานการณ์ไม่ชัดเจนอีกรึพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ฝ่าบาทมีสถานะเป็นเพียงแค่นักโทษ ไม่มีสิทธิ์มาตะโกนว่าคนนั้นคนนี้ก่อกบฏ และไม่มีสิทธิ์ออกเสียงด้วยซ้ำไป ฝ่าบาท กระหม่อมกำลังช่วยแคว้นชิงอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้นเอง ไป๋มู่เฟิงตะโกนขึ้นมา “เฉียนซี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า ยกทัพเข้ามาฆ่าเจ้าสุนัขเรื้อนตัวนี้ได้เลย!”
ส่วนไป๋กั๋วกงในเวลานี้ เขาดูโศกเศร้าเสียใจยิ่งนัก เพื่อนางปีศาจผู้นั้นผู้เดียว ฮ่องเต้ผู้ที่เขาจงรักภักดีมาโดยตลอดถึงกับยอมจับคนในจวนไป๋กั๋วกงทั้งหมดเข้าคุกหลวงโดยที่ไม่ไตร่ตรองความถูกผิดใด ๆ ตอนนี้ทัพของแคว้นชิงพ่ายแพ้ศึกรบ แม่ทัพของแคว้นตนยังจะมาจับตัวพวกเขาเป็นตัวประกันเพื่อมาข่มขู่ทัพของแคว้นจื่อเยี่ย ช่างเป็นเรื่องน่าขำขันเสียจริง
ไป๋กั๋วกง “ผู้นำตระกูลมู่ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา ให้ทัพของเจ้าชนะศึกแล้วฆ่าคนผู้นี้เป็นการแก้แค้นให้พวกเรา พวกเราก็พอใจมากแล้ว”
มู่เฉียนยิ้ม นางกล่าวสั่งอ้านจิ่วว่า “เจ้าผู้กล้า เจ้าเข้าไปช่วยพวกเขาและเปิดประตูเมืองประเดี๋ยวนี้!”
มุมปากของอ้านจิ่วกระตุกเล็กน้อย นอกจากฝ่าบาทก็ไม่เคยมีใครบังอาจกล้าสั่งเขามาก่อนเลย
“เสี่ยวจิ่ว…” ซวนหยวนชิงอวิ๋นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มู่เฉียนซีเรียกเบา ๆ ทว่าเขาไม่ได้สนใจแต่อย่างใดว่าน้องชายตนเองจะโกรธหรือไม่โกรธมู่เฉียนซี
ทันใดนั้นร่างสีดำก็ปรากฏขึ้นบนกำแพงเมือง
— ปัง! ปัง! ปัง! —
ร่างของแม่ทัพเฮยถูกโยนลงไป และไป๋กั๋วกงกับไป๋มู่เฟิงก็ถูกช่วยเอาไว้ได้
— ตูม! —
เพียงหนึ่งหมัดของอ้านจิ่วก็สามารถเปิดประตูเมืองหลวงของแคว้นชิงได้ จากนั้นทัพของแคว้นจื่อเยี่ยก็บุกเข้าประตูเมืองไป
หลังจากที่ยกทัพฝ่าประตูเข้าเมืองหลวงแคว้นชิงได้ มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นว่า “ทุกอย่างใกล้เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าสามพี่น้องปรึกษากันเถอะว่าจะเอาอย่างไรต่อ ข้าต้องขอตัวก่อนแล้ว”
การที่มู่เฉียนซีชี้นิ้วสั่งเช่นนี้ทำให้อ้านจิ่วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา เขาปีนป่ายขึ้นมาจากนรก ผ่านความมืดมนมามากมายไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ มู่เฉียนซีเป็นคนแรกที่กล้าทำให้เขาโกรธเกรี้ยวได้ถึงเพียงนี้
ส่วนซวนหยวนหลี่เทียนก็กล่าวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว “มู่เฉียนซี เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน ? จะทิ้งให้พวกเราจัดการรึ ? เดิมทีก็เป็นเจ้าเองที่ให้ยกทัพมา”
สุดท้ายเสียงที่นิ่งสงบของอ้านจิ่วก็ดังขึ้น “ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาบ่น เรายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ”
หากจะว่ามู่เฉียนซีเอาแต่ชี้นิ้วสั่งการก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพียงแต่ตอนนี้นางเสียเวลามามากเกินไปแล้ว หม้อเทพนิรันดร์บอกนางเอาไว้ว่าอีกไม่นานจะเข้าสู่นิทรา นางจึงต้องรีบกลับไปหาท่านอาให้เร็วที่สุด
……
“ท่านอา ข้ากลับมาแล้ว”
แม้เวลานี้ทั้งสองแคว้นจะกำลังสู้รบกัน ทว่ามู่เฉียนซีนั้นได้กลับมายังจวนตระกูลมู่แล้ว
เมื่อมู่อวู่ซวงเห็นหลานสาวกลับมา ดวงตาของเขาก็อ่อนโยนลง “ซีเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ ?”
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “ท่านอา ครั้งนี้ข้าไม่เพียงแต่จะกลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น ข้ายังนำหม้อเทพนิรันดร์กลับมาได้ด้วยเจ้าค่ะ”
“เจ้าหม้อเทพนิรันดร์ แล้วเจ้าจะตรวจร่างกายของท่านอาอย่างไรหรือ ?” มู่เฉียนซีถามหม้อเทพนิรันดร์
“เจ้าฟังข้าให้ดี” เสียงขรึม ๆ ของหม้อเทพนิรันดร์ดังขึ้นมา
“เจ้าว่ามาเลย”
มู่เฉียนซีทำตามที่หม้อเทพนิรันดร์บอก นางตรวจร่างกายและขาทั้งสองข้างของท่านอา หลังจากที่ตรวจเสร็จ หม้อเทพนิรันดร์ก็เงียบไป
มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว มู่อวู่ซวงเห็นหลานสาวเป็นกังวลเช่นนี้ เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซีเอ๋อร์ไม่ต้องกังวลใจไปหรอกนะ”
มู่เฉียนซี “เจ้าหม้อเทพนิรันดร์ เจ้าอย่าบอกนะว่าหม้อเทพนิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่และล้ำค่าที่สุดอย่างเจ้าจะแก้พิษของท่านอาไม่ได้!”
หม้อเทพนิรันดร์กล่าวขึ้น “ใครบอกว่าข้าไม่มีวิธี เพียงแค่มันยุ่งยากไปหน่อยก็เท่านั้นเอง”
“ยุ่งยากงั้นรึ ?” มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว
หม้อเทพนิรันดร์ “พิษที่ท่านอาของเจ้าโดนนั้นไม่ใช่พิษโบราณธรรมดา มันเป็นพิษโบราณที่เลวร้ายมากและไม่ปรากฏให้เห็นนานมากแล้ว เอาล่ะ แน่นอนว่าข้านั้นรู้วิธีการแก้พิษนี้ แต่มู่เฉียนซีที่รัก… ตอนนี้เจ้าอยู่ในเซี่ยโจว เจ้าคิดว่าในเซี่ยโจวจะมีสมุนไพรวิญญาณที่แก้พิษนี้ได้งั้นหรือ ? อืม… หากเป็นพิษโบราณทั่ว ๆ ไป แน่นอนว่าข้าสามารถใช้สมุนไพรวิญญาณชนิดที่ใกล้เคียงหรือชนิดที่พอจะทดแทนได้ แต่พิษที่เล่นงานท่านอาของเจ้าไม่ธรรมดา และตอนนี้พิษก็ลุกลามจนน่ากลัวมากแล้ว”
มู่เฉียนซี “เจ้าหม้อ เราต้องใช้สมุนไพรวิญญาณชนิดใดเจ้าบอกข้ามา และอ้อ… เจ้าเลิกเรียกข้าว่าที่รักซะที”
.