เสียงที่ไพเราะล่องลอยมา “เป็นข้าเอง”
ทุกคนมองไปยังหญิงสาวที่เดินออกมาด้วยความประหลาดใจ ชุดกระโปรงยาวสีดำห่อหุ้มร่างกายสง่างาม เต็มไปด้วยความน่าหลงใหลอัศจรรย์ใจ ผมของนางถูกมัดไว้เป็นทรงสูง ตกแต่งด้วยปิ่นปักผมประดับอัญมณีสีดำจำนวนมากดูสวยสมยุคสมัย
นางช่างเป็นผู้หญิงที่สูงส่ง สุภาพเรียบร้อย และงดงามยิ่งนัก
ฮองเฮาเก็บตัวภายในวังเพียงอย่างเดียวมาจวนสิบหกปีแล้ว เหล่าบรรดาขุนนางที่อยู่ ณ ที่นั้น ต่างพากันงุนงงว่านางเป็นเทพธิดามาแต่ไหน ?
ทว่าในตอนนี้เอง ซวนหยวนหลี่ซางที่โดนอัดจนกระอักเลือดเบิกตากว้าง กล่าวขึ้น “เสด็จแม่…” ตั้งแต่ฮองเฮาได้อุทิศตนเพื่อพุทธศาสนา พระองค์ก็ไม่เคยออกจากตำหนักเฟิงหลวนเลย ใครเล่าจะคิดว่าวันนี้พระองค์จะออกมาได้
“เหล่าบรรดาขุนนางล้วนตกตะลึงตาค้าง “อะไรกัน ? นี่คือฮองเฮา ?”
“เป็นไปได้เช่นไร ? ฮองเฮารึ ?”
“อ่า…” ใบหน้าของหญิงงามผู้นี้ ดู ๆ ไปแล้วเป็นใบหน้าของผู้ที่มีอายุอานามน่าจะเพียงแค่ยี่สิบปีเท่านั้น พอ ๆ กับมู่หรูเหยียนเลยก็ว่าได้ ทว่ามาบอกพวกเขาว่านางผู้นี้เป็นฮองเฮา ช่างทำให้ยากที่จะเชื่อเสียจริง!
ซวนหยวนจือกล่าว “ใช่แล้ว นี่คือฮองเฮาของข้า ข้าตัดสินใจให้ฮองเฮาของข้าเป็นจักรพรรดินีแห่งแคว้นจื่อเยี่ย”
บรรดาขุนนางทุกคนตะลึงงัน “ฮองเฮา ? ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงอย่าได้สับสน หญิงเพียงผู้เดียวจะมาเป็นจักรพรรดินีได้อย่างไร ?”
“ฮองเฮามิใช่คนของราชวงศ์ซวนหยวน!”
เวลานี้ฮ่องเต้ประกาศแต่งตั้งให้ฮองเฮา—โอวหยางหว่านเป็นจักรพรรดินี ช่างน่าตกใจเสียยิ่งกว่าประกาศให้องค์รัชทายาทขึ้นปกครองตำแหน่งฮ่องเต้เสียอีก หากออกมาเป็นเช่นนี้ พวกเขานั้นคิดว่ายอมที่จะให้องค์รัชทายาทขึ้นเป็นฮ่องเต้ยังดีเสียกว่า อย่างไรเสียองค์รัชทายาทก็สกุลซวนหยวน
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในราชวงศ์มากมายเกินไป ทำให้พวกเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว
แม้แต่ซวนหยวนหลี่ซางก็ยังตกตะลึง เขาเคยคิดว่าเป็นองค์ชายสาม องค์ชายเจ็ด และองค์ชายเก้า ที่จะมาแย่งชิงบัลลังก์กับเขา ใครจะไปคิดว่าคนที่แย่งชิงบัลลังก์กับเขากลับเป็นเสด็จแม่ของเขาเอง
ซวนหยวนหลี่ซางเบิกตากว้าง จ้องมองมู่หรูเหยียนเขม็ง “เหยียนเอ๋อร์ หรือว่า… หรือว่าเจ้า…”
ทว่ามู่หรูเหยียนไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขา
เวลานี้ซวนหยวนจือมอบราชบัลลังก์ให้แก่ฮองเฮา เขายิ้ม กล่าวว่า “หว่านเอ๋อร์ จากนี้ไปเจ้าคือจักรพรรดินีของแคว้นจื่อเยี่ยแล้ว”
ฮองเฮาได้ขึ้นไปนั่งบนราชบัลลังก์อย่างสง่างาม
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมก็ไม่เห็นด้วย!”
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
— ปัง! —
พลังของจักรพรรดิยอดยุทธ์พลันกระจายออกมา และขุนนางผู้ที่พูดออกมาเสียงดังชัดเจนผู้นั้นก็ได้ถูกพลังของซวนหยวนจือตบลอยออกไป
“พรวด!”
ขุนนางเหล่านี้ส่วนมากเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ความแข็งแกร่งของพวกนั้นมีเพียงไม่เท่าไร เมื่อโดนซวนหยวนจือตบเช่นนั้น จึงทำให้ถึงแก่ความตายในทันที
สีหน้าของขุนนางทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก ขณะที่ซวนหยวนจือทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขากล่าวขึ้นเสียงเย็นชาว่า “หรือว่าคำพูดของฮ่องเต้ผู้นี้ พวกเจ้าไม่ยอมรับฟังกันแล้ว ? ข้าบอกว่าให้นางเป็นจักรพรรดินีนางก็คือจักรพรรดินี หากใครไม่เห็นด้วยจะต้องตายสถานเดียว!”
ซวนหยวนหลี่ซางมอบของในจวนองค์รัชทายาทให้มู่เฉียนซีจนหมดเพื่อที่จะช่วยชีวิตมู่หรูเหยียนก็ว่าแย่แล้ว ซวนหยวนจือนั้นหนักกว่า ถึงกับสั่งการขุนนางกลางท้องพระโรง เพื่อให้หญิงที่ตนเองรักได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี
พวกเขากลัวความตาย และเมื่อมองไปยังหญิงสาวที่สง่างามมีเสน่ห์บนบัลลังก์ ในใจของพวกเขาพลันเต้นแรงตื่นกลัว
หญิงสาวที่อยู่อย่างสันโดษมาสิบหกปี เพียงแค่ออกมาเผยโฉมต่อโลกเพียงครั้งเดียว กลับทำให้แคว้นจื่อเยี่ยทั้งแคว้นนั้นต้องสั่นคลอนชนิดที่ว่าพลิกฟ้าสะเทือนดิน
เสียงอันน่าเย้ายวนใจดังออกมา “พวกเจ้ามัวนิ่งเฉยอยู่ใย ? ยังไม่ทำความเคารพข้าอีก ?”
เหล่าขุนนางที่รอดชีวิตมาได้คุกเข่าลง กล่าวว่า “กระหม่อมคารวะฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระชนม์ยืนนานหมื่นปี หมื่น ๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมคารวะองค์จักรพรรดินี ขอพระองค์ทรงพระชนม์ยืนนานหมื่นปี หมื่น ๆ ปี”
จากนั้นซวนหยวนหลี่ซางถูกมู่หรูเหยียนพาตัวออกไป ซวนหยวนหลี่ซางกล่าวอย่างจนปัญญา “เสด็จแม่… เสด็จแม่ต้องช่วยข้า… ท่านต้องช่วยข้านะ…”
โอวหยางหว่านเดินมาที่ด้านหน้าซวนหยวนหลี่ซางและกล่าวขึ้นอย่างนุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความรังเกียจเกลียดชัง “ซางเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ ? เมื่อเห็นเจ้า ข้ารู้สึกอัปยศที่ให้กำเนิดคนเช่นเจ้ามายืนบนผืนแผ่นดินนี้”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าน้องชายของเจ้าตายตั้งแต่ในครรภ์เพราะว่าข้านั้นไม่อยากให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าได้เกิดมาก่อนเฟิงอวิ๋นละก็ ข้าก็คงจะไม่ให้เจ้าได้กำเนิดมา ฮ่า ๆ ๆ”
หัวใจของซวนหยวนหลี่ซางแตกสลาย “เสด็จแม่ ท่านบ้าไปแล้ว ท่านบ้าไปแล้ว ท่าน…”
“ซวนหยวนจือนั้นก็ได้ถูกข้าควบคุมไว้แล้ว องค์รัชทายาทอย่างเจ้าก็เหมือนหินใต้บาทข้า อย่างไรเสียวันนี้เจ้าก็ต้องตาย!”
“เสด็จพ่อ ช่วยข้าด้วย!” เมื่อมารดาของตนดูเหมือนว่าจะเป็นบ้าไปแล้ว เกรงว่านางคงจะเสียสติไป ซวนหยวนหลี่ซางนั้นไม่สามารถขอความช่วยเหลือใด ๆ ได้ ทำได้เพียงอ้อนวอนขอให้เสด็จพ่อของตนช่วย
ทว่าโชคร้าย ซวนหยวนจือกล่าวอย่างไม่ใยดี “เจ้าคิดไม่ซื่อ วางแผนวางยาพิษข้า เจ้าคิดว่าข้ายังจะโง่งมเก็บเจ้าไว้อีกหรือ ?” ซวนหยวนหลี่ซางรู้สึกว่าเขากําลังจะบ้า ทั้งเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเขาแท้ ๆ แต่กลับไม่สามารถพึ่งพาได้เลย ทั้งที่เขานั้นเป็นบุตรชายแท้ ๆ ของพวกเขา!
ซวนหยวนหลี่ซางมองมู่หรูเหยียนราวกับกําลังขอความช่วยเหลือ “เหยียนเอ๋อร์ช่วยข้าด้วย ข้ารักเจ้ามากเจ้าก็ทราบดี เพื่อเจ้าแล้วข้าสามารถทำอะไรก็ได้ หากไม่ใช่เพื่อปกป้องเจ้า ข้าก็คงจะไม่มาอยู่ที่ตรงนี้ในวันนี้ เจ้าต้องช่วยข้า ข้าไม่อยากตาย…”
อดีตสตรีอัฉริยะอันดับหนึ่งแห่งแคว้นมององค์รัทายาทแคว้นจื่อเยี่ยอย่างหยามเหยียด เขาผู้เคยสูงส่ง กลับต้องมาร้องไห้เหมือนดั่งสุนัขสูญบ้านต่อหน้านาง
มู่หรูเหยียนเข้ามาใกล้ซวนหยวนหลี่ซาง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “ซวนหยวนหลี่ซาง ในเมื่อท่านกล้าพูดว่ารักข้า เหตุใดจึงพาข้าไปที่ห้องบรรทมของฮ่องเต้ ในตอนนั้นข้าได้สาบานไว้แล้วว่าจะต้องควักหัวใจของท่านออกมา เอาไปโยนให้หมากิน”
เมื่อเห็นมู่หรูเหยียนผู้ที่ใจดีมาโดยตลอด แสดงออกอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ ซวนหยวนหลี่ซางจึงได้ถอยหลังไปสองสามก้าว “เหยียนเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึง ? เจ้า…”
มู่หรูเหยียน “ทั้งหมดนี้อาจารย์ได้สั่งให้ข้าเป็นคนทำ เข้ามาใกล้ชิดเจ้า ทำให้เจ้าเดินไปพบทางตันแล้วจึงวางยาพิษกู่ ให้เจ้าได้ลองเป็นฮ่องเต้ให้สนุกสักหน่อย แล้วเสด็จแม่ของเจ้าก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ของแม่อย่างเต็มที่แล้ว ตอนนี้เจ้าไม่มีคุณค่าใดที่จะมีชีวิตต่อไปอีกแล้ว”
— ฉวก! —
มีดเล่มงามในมือมู่หรูเหยียนโผล่มาแทงอกซวนหยวนหลี่ซางอย่างไร้ที่มา ฉับพลันทันใดมือเรียวบางของมู่หรูเหยียนจ้วงเข้าทะลุผ่านหน้าอกของซวนหยวนหลี่ซาง นางควานควักหัวใจของซวนหยวนหลี่ซางออกมาจริง ๆ
ซวนหยวนหลี่ซางเบิกตากว้างไม่อยากจะเชื่อ แม้หัวใจของเขาจะยังเต้น ทว่าดวงตาได้เริ่มพร่ามัวลง
“เจ้า… เจ้า… เอื้ออออ!”
— ตุบ! —
เขานั้นต้องมาตายด้วยน้ำมือของหญิงสาวที่เขาคอยปกป้องดั่งเทพธิดามาโดยตลอด
โอวหยางหว่านกล่าวอย่างรังเกียจ “เอาศพเขาออกไป ไม่ต้องให้มาขัดหูขัดตาข้า”
วันนี้ในวังหลวงได้มีการแสดงละครครั้งใหญ่ที่สะเทือนไปทั้งชั้นฟ้า แม้แต่มู่เฉียนซีเองก็ยังตกตะลึงกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
“เรื่องเช่นนี้ที่เกิดขึ้น ที่แท้ผู้อยู่เบื้องหลังของมู่หรูเหยียนคือฮองเฮา และนางก็ยอมให้มู่หรูเหยียนควักหัวใจของซวนหยวนหลี่ซางออกมา”
“เดิมทีก็ว่าหญิงผู้นั้นเป็นบ้ามากพออยู่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่านางจะบ้าคลั่งได้ถึงขั้นนี้”
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “วังวนของพวกนั้นช่างวุ่นวายนัก”
มู่อี “ท่านผู้นำตระกูล ฮองเฮาผู้นี้ช่างอันตรายเหลือเกิน ตอนนี้ฮองเฮาได้เป็นจักรพรรดินีแล้ว ควบคุมทั้งซวนหยวนจือและราชสำนัก ข้าเกรงว่านางจะลงมือกับท่านผู้นำตระกูล”
มู่เฉียนซี “ให้เตรียมพร้อมไว้ทุกอย่าง ข้ารู้สึกว่าระดับความบ้าคลั่งของนางคงไม่จบแค่เป็นจักรพรรดินีแน่ พวกเจ้าจงไปเตรียมตัวให้พร้อม เราจะนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว ข้าจะไปถามท่านอาสักหน่อยว่ามีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับท่านพ่อและองค์จักรพรรดินีพอจะเล่าให้ข้าฟังได้บ้าง”
.
Related