— ตูม! ตูม! —
เสียงกึกก้องกัมปนาทดังขึ้นกลางเวทีประลอง
ซวนหยวนชิงอวิ๋นไม่พ่ายแพ้ต่อการโจมตีอันรุนแรงของสัตว์วิญญาณระดับห้า เขายังมีพลังตอบโต้กลับได้ นี่ถือเป็นเรื่องน่าทึ่ง แต่มู่เฉียนซีรู้ดีว่าชิงอวิ๋นเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋น ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาจึงถือว่าไม่เลวร้ายนัก หากสู้กันอาจจะพอถูไถ
ความแข็งแกร่งของสัตว์วิญญาณระดับห้า ไม่ใช่ว่าผู้ใดจะมาดูถูกได้ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดเลือดพล่าน หลังจากการต่อสู้อันรุนแรง ซวนหยวนชิงอวิ๋นผู้สวมชุดคลุมขาวส่องแสงสว่างราวสีของดวงจันทร์ เวลานี้เปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด
ร่างเฮาฉางเซิ่งโผล่เข้ามา ลอบโจมตีซวนหยวนชิงอวิ๋นไม่รอช้า
“เจ้าร้ายกาจมากนักมิใช่รึ ? เพียงข้ากวาดตามองผ่านเก้าสมาชิกของสำนักศึกษา ก็รับรู้แล้วว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!”
ไหล่ซ้ายของซวนหยวนชิงอวิ๋นถูกเจาะทะลุ เผยให้เห็นรอยเลือดที่มองเห็นถึงกระดูกลึก ๆ โลหิตแดงฉานไหลออกมาช่างดูน่าสะพรึงยิ่งนัก
มู่เฉียนซีตะโกนก้อง “พอได้แล้วชิงอวิ๋น!”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นกำดาบยาวในมือแน่น ลอบถอนหายใจก่อนจะกล่าวว่า “ข้ายอมรับความพ่ายแพ้”
ร่างสีม่วงพุ่งเข้ามา มู่เฉียนซีรีบพาซวนหยวนชิงอวิ๋นลงจากเวที
“พี่สาม”
ซวนหยวนหลี่เทียนได้สติขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บสาหัส เมื่อเห็นมู่เฉียนซีกำลังช่วยซวนหยวนชิงอวิ๋น พลันตัวแข็งทื่อไป ครั้งที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส นอกจากนางจะให้เขายอมแพ้ ก็ยังไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขาเพียงน้อยนิด ตอนนี้… องค์ชายสามได้รับบาดเจ็บสาหัส นางกลับดูแลอย่างห่วงใย ช่างแตกต่างกันกับเขาอย่างสิ้นเชิง
ซวนหยวนหลี่เทียนมองมู่เฉียนซีที่นำยาให้ซวนหยวนชิงอวิ๋นกิน ใส่ยา ทั้งยังพันแผลให้เขาอย่างตั้งใจ ดวงตาของเขาแดงก่ำ ความอิจฉาริษยาบังเกิด
“พรวด!” ซวนหยวนหลี่เทียนกระอักเลือดออกมา
มู่หรูอวิ๋นร่ำไห้ กล่าวอย่างตระหนกว่า “ท่านพี่หลี่เทียนเป็นอะไร ? อย่าทําให้ข้ากลัวเลย”
ทว่าซวนหยวนหลี่เทียนกลับพึมพํากับตัวเอง “ซีเอ๋อร์มีความสัมพันธ์อันดีเช่นนี้กับองค์ชายสามตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? ทั้ง ๆ ที่ไม่นานมานี้ พวกเขายังเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน อีกทั้งองค์ชายสามไม่เคยสนิทสนมกับหญิงสาวคนใดมาก่อน เหตุใดจึง…”
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงต่ำ “ชิงอวิ๋น ในเวลาสามวัน เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงสองครั้งแล้ว เจ้าคิดว่าการทําให้โลหิตเปื้อนกายตนเอง มันสนุกมากนักหรืออย่างไร ?”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ไม่ใช่เพราะมีหมอเทวดาอยู่ด้วย ข้าถึงไร้ยางอาย ดูสิ ข้าเองมิใช่ว่าจะไร้กําไร…”
ทันใดนั้นมู่เฉียนซีรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของซวนหยวนชิงอวิ๋น เพิ่มขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
“ปรมาจารย์ภูติระดับหนึ่ง เจ้าทะลวงผ่านแล้ว”
“อืม” ซวนหยวนชิงอวิ๋นพยักหน้าอย่างสงบเงียบ
มู่เฉียนซีทําแผลสุดท้ายให้เขาเป็นที่เรียบร้อย นางกล่าว “หากเป็นไปได้ จะไม่มีครั้งหน้าอีก”
เวลานี้ เฮาฉางเซิ่งตะโกนขึ้นบนลานประลอง “สำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ยของพวกเจ้าไม่มีคนแล้วหรือ ? หากไม่มีผู้ใดกล้าเสนอหน้าขึ้นมาแล้ว ก็จงยอมยอมแพ้ไปเสีย!”
ร่างสีม่วงลอยขึ้นไปบนลานประลอง เสียงเย็นชาดังขึ้นในทันใด “ใครบอกว่าสำนักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ยของเราไม่มีใครแล้ว ข้าผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มยังไม่ได้ลงสนาม”
เฮาฉางเซิ่งหัวเราะ “ฮ่า ๆ ๆ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่มีใครแล้วจริง ๆ จอมภูตขั้นสูงสุดระดับเก้ายังพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช เจ้าเป็นจอมภูตระดับสองยังจะกล้าออกมาสู้ มาเพื่อตายรึ ?”
มู่เฉียนซีค่อย ๆ อุ้มเจ้าแมวสีขาวหิมะออกมา ยิ้มเยือกเย็นให้คู่ต่อสู้ตรงหน้าก่อนจะแค่นเสียงกล่าว “เฮาฉางเซิ่ง เจ้าคิดว่าเจ้ามีสัตว์พันธสัญญาเพียงผู้เดียวรึ ? ข้าก็มี”
สายตาทุกผู้ทุกคนจับจ้องมองก้อนปุย ๆ สีขาวในอ้อมกอดของมู่เฉียนซี เวลานี้มิมีผู้ใดเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เฮาฉางเซิ่งยิ้มหยัน พลางกล่าว “เจ้านี่ถือเป็นสัตว์วิญญาณชนิดใดกันล่ะ ตัวเล็กกระจ้อยร่อยเท่านี้ ยัดใส่ซอกฟันเฮยเว่ยของข้ายังไม่พอ”
อู๋ตี้สั่นหูเล็ก ๆ น่ารักของมันก่อนจะกล่าวโต้ “ข้าอู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า ที่เจ้าบอกว่าให้ข้ายัดฟันอัปลักษณ์ของงูโสโครกนั่นยังไม่พอ แล้วเราจะได้รู้กัน”
“ดี เจ้าประสบความสําเร็จในการดึงดูดความสนใจของข้าแล้ว เช่นนั้นวันตายของเจ้าก็มาถึงแล้ว”
อู๋ตี้พุ่งออกไป ร่างนั้นรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ
ทุกคนเบิกตากว้าง “นี่มันสัตว์วิญญาณอะไรกัน เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้ ?”
“โฮกกกก!”
ไม่นาน เกล็ดของงูเหลือมดําเฮยเว่ย ถูกกรงเล็บเจ้าแมวอู๋ตี้ฉีกทึ้ง มันร้องโหยหวนจากความเจ็บปวดที่พุ่งเข้าเล่นงาน
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
ภายใต้การโจมตีของอู๋ตี้ที่รวดเร็วราวสายฟ้าแลบ เกล็ดสีดํานับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงพื้น
— ตูม! ตูม! ตูม! —
งูเหลือมดำพยายามอย่างบ้าคลั่งที่จะจับลูกแมวเจ้าเล่ห์น่ารังเกียจอู๋ตี้ ทว่ามันคว้าน้ำเหลว
เมื่อเห็นว่าสัตว์พันธสัญญาของตนมีบาดแผลนับไม่ถ้วน เฮาฉางเซิ่งตกใจอย่างมาก รีบวิ่งเข้าหามู่เฉียนซี
เจ้าแมวขาวนั่นร้ายกาจนัก มันร้ายกว่างูเหลือมดําของเขาเสียอีก เขาสิ้นไร้ที่พึ่ง ไม่อาจพึ่งพาสัตว์พันธสัญญาของตนเองได้อีกต่อไป เขาจะชนะได้ก็ต่อเมื่อจัดการกับสตรีผู้นี้
สตรีผู้นี้เป็นเพียงจอมภูตระดับสองเท่านั้น ช่างง่ายต่อการจัดการนัก
“ผนึกมังกรวารี!”
ขณะที่บุรุษผู้หยิ่งผยองในตนเองกําลังใกล้เข้ามา มู่เฉียนซีใช้พลังโจมตีออกไปอย่างไม่เกรงใจ
เฮาฉางเซิ่งกล่าวอย่างเย็นชา “เหอะ! จอมภูตธาตุวารีรึ ? พลังยังอ่อนแอเกินไป ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!”
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
ฉับพลันทันใด กับดักยานับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมา ส่งพิษจํานวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไป มันรวดเร็วอย่างยิ่งจนเฮาฉางเซิ่งเร่งโบกแขนเสื้อเพื่อปัดมัน เขากล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “บัดซบ! สตรีกระจอกเจ้าเล่นอะไร ?”
“อ๊าก! ตาของข้า ตาของข้ามองไม่เห็นแล้ว”
“หึ ๆ ๆ บุปผาหลั่งสายฝน! ทำลายมันซะ”
มู่เฉียนซีฉวยโอกาสตอนที่เฮาฉางเซิ่งโดนพิษตาบอดไปชั่วคราว นางโจมตีต่อไปไม่ลังเล
“บุปผาหลั่งสายฝน!”
“วารีสะท้านสวรรค์!”
“ผนึกมังกรวารี!”
มู่เฉียนซีดูเหมือนไม่กลัวการสิ้นเปลืองพลังลมปราณเลย การโจมตีธาตุวารีอันทรงพลังของนาง ตกลงมาจากด้านบนอย่างบ้าคลั่ง
เฮาฉางเซิ่งไม่สนใจบาดแผลของตัวเอง เขาออกจากวงล้อม รุดเข้าหามู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวอย่างดุร้าย “แม้ว่ากลยุทธ์ของเจ้าจะแปลกประหลาด ทําให้ผู้คนไม่สามารถป้องกันได้ และพลังวิญญาณก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่ความแข็งแกร่งระดับสี่ของข้า ข้ามั่นใจนักว่าเจ้าไม่สามารถดิ้นรนเพื่อเอาชนะข้าได้ สตรีกระจอกงอกง่อยอย่างเจ้า ไสหัวไปจากเวทีประลองเดี๋ยวนี้!”
ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงหยอกล้อดังขึ้นในหูของเฮาฉางเซิ่ง
“ฮิ ๆ ๆ เจ้าช่างกล้าเอ่ยวาจารุกไล่ ไหนเจ้าจะให้ใครไสหัวลงเวที ใครกัน ตัวเจ้าเองหรืออย่างไร ?”
เวลานี้ แมวขาวอู๋ตี้นั่งยอง ๆ อยู่บนไหล่ของเขา กรงเล็บแหลมคมของมันวางตรงคอของเขา
เพียงแค่มันเคลื่อนไหวเบา ๆ เขาก็จะตายทันที
เขามองเฮยเว่ย สัตว์พันธสัญญาของตัวเองด้วยร่างและแววตาอันแข็งทื่อ ทันใดนั้น พลันพบว่างูเหลือมขนาดมหึมาตัวนั้นไม่มีเกล็ดบนร่างมันหลงเหลืออีกต่อไปแล้ว มันเปลือยเปล่าทั้งยังเต็มไปด้วยเลือดอาบ ช่วงหัวอันน่าเกรงขามของมัน บัดนี้ล้มลงกับพื้น ลมหายใจรวยรินอ่อนแรง
มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว “อู๋ตี้ เจ้าช้าเกินไป”
“นายท่าน ข้ารู้ผิดแล้ว ข้าไม่คิดว่าการถลกเอาเกล็ดงูเล็ก ๆ นั่นออกมาจะสนุกถึงเพียงนี้ จึงเผลอเล่นไปสักหน่อย” อู๋ตี้กล่าวอย่างไร้เดียงสา
ทุกคนในที่นั้นได้ยินคําอธิบายจากแมวขาวน่ารักตัวนี้ แทบล้มร่างลงกับพื้น สนุกรึ ?
งูเหลือมถึงกับน้ำตาไหลนองหน้า ‘อ๊าก! ข้าจะถูกเจ้าเล่นจนตายเลยรึ ?’
เฮาฉางเซิ่งโกรธจนกระอักเลือด เจ้าแมวงั่งตัวนี้ทําเพื่อความสนุกสนานเพียงเท่านั้น เพื่อความสนุกของมัน มันถึงกับทําลายสัตว์พันธสัญญาของเขาเช่นนี้
“ข้า… ข้ายอมแพ้… ไม่สู้แล้ว!”
เขาไม่อยากสู้กับหญิงวิปริตและแมววิปโยคตัวนี้แล้ว สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าแมวขาวน่ารักตัวนี้คิดว่าการถลกหนังสนุกหรือไม่ ทันใดนั้น อยู่ ๆ มันก็มาดึงเขาไปอย่างแรง
“อ๊า!” เฮาฉางเซิ่งร้องโหยหวนออกมาในทันใด
“เจ้า… เจ้า…”
อู๋ตี้ยิ้มไร้เดียงสาและกล่าวว่า: “เมื่อครู่นี้เจ้าต้องการโจมตีนายท่านของข้า ข้าก็ต้องตอบโต้อะไรบางอย่าง ไว้ให้เจ้าเป็นที่ระลึกเช่นไรล่ะ ฮ่า ๆ ๆ”
อาจารย์ใหญ่เวินกล่าวอย่างกรุ่นโกรธในอารมณ์ “มู่เฉียนซี อีกฝ่ายยอมแพ้แล้ว ทว่าสัตว์พันธสัญญาของเจ้ายังลงมืออยู่ พวกเจ้าทําผิดกฎอย่างร้ายแรง”
.