“อ๊า! พี่ใหญ่ พวกเราทาผงดอกไม้เน่านั่นแล้วไม่ใช่รึ ? กลิ่นของมันยังเหม็นติดตัวอยู่เลย เหตุใดผึ้งปีศาจนั่นถึงโจมตีเราเช่นนี้ล่ะ ?”
“พี่ใหญ่! นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?”
การโจมตีของผึ้งปีศาจเหล่านี้ทำให้พวกเขาตั้งตัวรับมือไม่ทัน ไม่นานนัก ทั้งใบหน้าและร่างกายของพวกเขาก็บวมเป่งน่าเวทนา
“อ๊าก! พี่ใหญ่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ไอ้พวกผึ้งปีศาจมันต่อยพวกเราอย่างบ้าคลั่งโหดเหี้ยมกว่าฝ่ายตรงข้ามเสียอีก!”
“พี่ใหญ่ ช่วยข้าด้วย…”
มู่เฉียนซีนอนเอนกายอยู่บนต้นไม้ด้วยท่าทีเกียจคร้าน นางยิ้มสะใจ ตาก็เฝ้าดูการต่อสู้ดิ้นรนของศิษย์สำนักศึกษาแคว้นชิงอย่างเพลิดเพลิน นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า… “วิธีนี้ของพวกเจ้าไม่เลวเลย เพียงแต่พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงใช้สัตว์พิษนี่มาโจมตีคนอย่างข้า พวกเจ้าคิดผิดยิ่งนัก เฮ้อ… เช่นนั้นก็ขอให้พวกเจ้าสนุกกับสิ่งที่พวกเจ้าเตรียมมาก็แล้วกัน ฮ่า ๆ ๆ”
ผึ้งปีศาจรุมโจมตีพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง ต่อให้พวกเขาพยายามใช้พลังจิตต่อต้านเพียงใด ก็มิอาจต่อต้านเหล่าผึ้งปีศาจนี้เอาไว้ได้
ใบหน้าของพวกเขาบวมเป่งราวกับหัวหมู เสียงก็แหบแห้ง คิดจะตะโกนขอความช่วยเหลือก็ไม่อาจตะโกนได้ ร่างกายพวกเขาในตอนนี้บวมเป่งจนอัปลักษณ์ สุดท้าย…
— แควก! —
ร่างบวมจนเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่รับไม่ไหว มันฉีกขาดหลุดรุ่ย สภาพของพวกเขาแย่ยิ่งกว่าคำว่า ‘อนาถ’ เสียอีก นี่เป็นการแก้แค้นของฝ่ายตรงข้ามอย่างแท้จริง
— ขวั่บ! —
พวกเขาอยู่ในอาการร่อแร่เต็มที จากนั้นมู่เฉียนซีพ่นยาเพื่อขับไล่ฝูงผึ้งปีศาจบ้าคลั่งออกไป จากนั้นเก็บป้ายหยกทั้งหมดมา นางแกว่งป้ายหยกเบา ๆ พร้อมทั้งกล่าวว่า… “ยังเหลือสำนักศึกษาอีกสำนักหนึ่ง หากเก็บป้ายหยกของพวกนั้นมาได้ เราก็ชนะ”
“อืม” ซวนหยวนชิงอวิ๋นพยักหน้า
เดิมทีการแข่งขันนี้มีระยะเวลาสามวัน แต่เนื่องจากสำนักศึกษาแคว้นชิงก่อเรื่องขึ้น จึงทำให้ระยะเวลาในการแข่งขันเป็นไปเร็วกว่ากำหนด
มู่เฉียนซีและซวนหยวนชิงอวิ๋นพบว่าตรงหน้ามีศิษย์สำนักศึกษาจงหลิงนอนอยู่บนพื้น ทั้งสองจึงรีบเข้าไปเก็บป้ายหยกไม่รอช้า เมื่อเก็บป้ายหยกมาได้ทั้งหมดแล้ว มู่เฉียนซีกล่าวกับซวนหยวนชิงอวิ๋นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“อวิ๋นอ๋อง เรารีบไปกันเถอะ”
กลิ่นอายของความแข็งแกร่งกระจัดกระจายอยู่บริเวณรอบ ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าบนเกาะแห่งนี้จะมีผู้ที่ไม่ได้เรียนเชิญมาด้วย ทั้งสองรีบไปอย่างรวดเร็ว ทว่ายังคงรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ตามมาจากด้านหลัง
เมื่อไปถึงสถานที่ที่เต็มไปด้วยก้อนหินใหญ่มากมาย ทั้งสองโดนล้อมทันที
สายตาของพวกมันเย็นชา แหลมคม ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือกแปลกประหลาด
มู่เฉียนซีกวาดสายตามองไป “พวกนักฆ่า พวกเจ้าเป็นคนของเหยียนหลัวใช่หรือไม่ คนว่าจ้างคราก่อนของพวกเจ้าก็ซวยไปแล้ว หรือว่าครานี้จะเป็นคนใหม่ที่จ้างพวกเจ้ามา”
หัวหน้าของพวกมันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ในเมื่อผู้นำตระกูลมู่รู้แล้วว่าพวกข้าเป็นใคร เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็มิอาจมีชีวิตอยู่ต่อได้”
มู่เฉียนซียิ้มเยือกเย็น “อวิ๋นอ๋อง ดูเหมือนว่าครานี้ลำบากท่านแล้ว ท่านหาโอกาสแล้วก็หนีไปซะเถอะ”
ราชาแห่งภูตระดับสูงหกคน และไหนจะยังมีจักรพรรดิยอดยุทธ์อีกหนึ่ง พวกมันแข็งแกร่งกว่าคนของสำนักจินติ่งมาก
“อู๋ตี้ เสี่ยวหง ลงมือ!”
“อู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้า มาแล้ว!”
— ขวั่บ! —
เงาร่างสีขาวปรากฏขึ้น อู๋ตี้เริ่มโจมตีศัตรูในทันที
“เพลิงคลั่งเผาสวรรค์!” เปลวไฟอันน่ากลัวของเสี่ยวหงพุ่งเข้าปิดล้อมราชาแห่งภูตคนหนึ่ง และเปิดทางออกให้ซวนหยวนชิงอวิ๋นได้หนี
มู่เฉียนซีผลักซวนหยวนชิงอวิ๋นออกไป ตะโกนด้วยเสียงอันดัง “อวิ๋นอ๋อง ฉวยโอกาสนี้รีบหนีไปซะ”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นผงะไปครู่หนึ่ง เขาคิดมาโดยตลอดว่ามู่เฉียนซีเหมือนกันกับเขา คือเป็นคนที่ไม่สนใจผู้อื่นนอกจากคนที่ห่วงใยจริง ๆ ชีวิตคนอื่นจะเป็นอย่างไรเขาไม่สนใจ แต่ในช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้ เขาไม่คิดเลยว่านางจะผลักเขาให้เอาตัวรอดก่อนนาง
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างรีบร้อน ใบหน้าแสดงเพียงความกังวล
“ซวนหยวนชิงอวิ๋น นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมางุนงง ไปเร็ว!”
นางไม่ต้องการเปิดเผยพลังของอาถิงออกมาต่อหน้าซวนหยวนชิงอวิ๋น พยายามรอให้ซวนหยวนชิงอวิ๋นหนีไปให้ไกลก่อนถึงจะปล่อยพลังของอาถิงออกมาจัดการกับเหล่านักฆ่านี้ แต่คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นอ๋องจะ…
— ตูม! —
ขณะเดียวกันนั้น จักรพรรดิยอดยุทธ์ชี้กระบี่ยาว มุ่งหน้าเข้าหามู่เฉียนซี
“ระวัง!” ซวนหยวนชิงอวิ๋นรีบดึงร่างของมู่เฉียนซีหลบคมกระบี่นั้น พลันร่างของทั้งสองล้มลงไปกับพื้น
— ตุบ! —
มู่เฉียนซีปลอดภัย ซวนหยวนชิงอวิ๋นกลับเป็นผู้ที่ถูกคมดาบนั้นแทน
นักฆ่าระดับจักรพรรดิยอดยุทธ์นั่นเลียปากด้วยท่าทีเย่อหยิ่งน่าหมั่นไส้ “หึ! หลบได้งั้นรึ ? ครานี้อย่าหวังเลยว่าจะหลบได้ง่าย ๆ”
แสงเย็นวาบกะพริบผ่านดวงตาของนักฆ่า กระบี่ในมือฟาดลงมาอีกครั้ง
ทันใดนั้นเอง อาถิงกำลังจะลงมือช่วยนาง ซวนหยวนชิงอวิ๋นกลับเร็วกว่า มือข้างซ้ายของเขาเคลื่อนไหว พลังก็เคลื่อนย้ายก้อนหินก้อนใหญ่นั้น
— ตูม! —
เกิดเสียงดังสนั่น ใต้ร่างของมู่เฉียนซีและซวนหยวนของอวิ๋น ปรากฏถ้ำขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งสองร่วงหล่นลงไปในถ้ำนั้นอย่างควบคุมมิได้ทว่าหลบคมกระบี่ได้อีกครั้ง
เสี่ยวหงและอู๋ตี้รีบกระโดดตามลงไป ตะโกนถามอย่างตระหนกตกใจ “นายท่าน ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”
“ตามพวกมันไป!” นักฆ่าผู้นั้นตะโกนเสียงกราดเกรี้ยว
มู่เฉียนซีและซวนหยวนชิงอวิ๋น ไม่รู้เลยว่าตนเองร่วงลงมานานแค่ไหนกว่าจะถึงก้นถ้ำ ในที่สุด ร่างของทั้งสองกระแทกลงก้นถ้ำอย่างรุนแรง มู่เฉียนซีขมวดคิ้วขึ้นด้วยความเจ็บปวดเหลือจะทน
เบื้องหน้าเต็มไปด้วยความมืด มู่เฉียนซีหยิบไข่มุกราตรีออกมาพลันมีเสียง ‘วิ๊ง’ ดังขึ้น เวลานี้เห็นได้ชัดเจนว่าบาดแผลของซวนหยวนชิงอวิ๋นฉีกเนื่องจากการที่ร่างของเขาตกลงมากระแทกพื้นถ้ำอย่างรุนแรง
มู่เฉียนซีหยิบยาลูกกลอนออกมายัดเข้าปากเขาทั้งหมดไม่รีรอ
“กินเข้าไปหมดนี่เลย”
เมื่อเขารู้ว่ายาลูกกลอนที่ยัดเข้าปากเขาทั้งหมดเป็นยาห้ามโลหิตระดับสาม เขาก็เกือบจะสำลักออกมา ดูเหมือนว่าข่าวลือเรื่องที่นางฟุ่มเฟือยนั้นท่าจะเป็นเรื่องจริง
ยาระดับสามเช่นนี้ เอามากินทีเดียวได้รึ ?
นางพันแผลให้ซวนหยวนชิงอวิ๋นด้วยความรวดเร็ว “พอจะไหวหรือไม่ ? ต่อให้เราหนีลงมาตรงนี้ได้ ข้าว่าพวกมันคงไม่ปล่อยพวกเราไปง่าย ๆ แน่ ทางที่ดีเราควรหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดแล้วค่อยหาทางออกกัน”
บาดแผลของซวนหยวนชิงอวิ๋นพันไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งกลืนยาคำโตของนางเข้าไป สีหน้าซวนหยวนชิงอวิ๋นในตอนนี้ดีขึ้นมาก เขาพยักหน้าตอบนาง “ข้าดีขึ้นมากแล้ว ข้าไหว”
“งั้นเราไปกันเถอะ”
มู่เฉียนซีสังเกตบริเวณรอบ ๆ ถ้ำก่อนจะพบว่ามีร่องรอยของการขุด ร่องรอยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเป็นแน่แท้
มู่เฉียนซีกล่าว “อวิ๋นอ๋อง ท่านค้นพบสถานที่แห่งนี้จึงเปิดค่ายกลที่นี่ใช่หรือไม่ ? แล้วรู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน ?”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวตอบ “ข้าเพียงแค่เห็นว่าที่นี่มีก้อนหินแปลก ๆ เดาเอาว่าที่นี่ต้องเป็นที่ที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ สถานการณ์มันคับขัน ข้าก็เลยลองดู แต่ข้าไม่คิดว่าจะทำเราร่วงลงมาตรงนี้ได้ ส่วนที่เจ้าถามว่าที่นี่คือที่ไหน ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ทางด้านหน้ามืดสนิท เมื่อมองดูแล้วราวกับเป็นทางมืดยาวไม่มีที่สิ้นสุด
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “อวิ๋นอ๋อง ตอนแรกท่านมีโอกาสหนีไป เหตุใดถึงไม่หนีไปล่ะ มาขวางคมกระบี่นั่นทำไม เท่าที่ข้ารู้จักท่านมา ท่านเป็นคนที่ไม่สนใจใครมิใช่หรือ ?”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวตอบตามจริง “เพราะเจ้าเป็นว่าที่พระชายาของจิ่วเยี่ย”
มู่เฉียนซีหันไปถามเขาอีกครั้งอย่างฉงนสงสัย “แต่เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าเยี่ยอ๋องผู้ที่อยู่ในจวนนั้น อาจจะไม่ใช่ซวนหยวนจิ่วเยี่ยตัวจริง”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “แต่อย่างน้อย สถานะของเจ้าก็เป็นชายาของเขา”
ทั้ง ๆ ที่แท้ที่จริงแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุผลใดตนเองถึงทำเช่นนั้นไป เขาก็ยังตอบนางไปแบบนั้น บางที… อาจจะเป็นเพราะนางเป็นคนเดียวที่เต็มใจช่วยชีวิตเขาไว้หลังจากที่เสด็จแม่ของเขาจากไป หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่อยากให้สตรีวิเศษผู้นี้ตายไปต่อหน้าต่อตาเขาก็เป็นได้
.