เมื่อเห็นใบหน้าสตรีที่หันมา โอวหยางจูแทบหายใจไม่ออก สิบกว่าปีผ่านไปนี้… จอนผมของเขาขาวซีดไปหมดแล้ว ทว่านางกลับยังดูอ่อนเยาว์ราวกับเด็กสาววัยแรกแย้ม
โอวหยางจูอุทาน “อ๊า! ฮองเฮา หากเจ้าไม่ลงมือ ตระกูลโอวหยางของพวกเราจะถูกเจ้าเด็กมู่เฉียนซีเล่นจนตาย”
“มู่เฉียนซี!” ดวงตาที่ไร้คลื่นคู่นั้นฉายแววเย็นยะเยือก
โอวหยางจูอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นภายในตระกูลโอวหยางด้วยใบหน้าหม่นเศร้า เดิมทีเขาคิดว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากฮองเฮา แต่สุดท้ายนางหมุนตัวกลับไปคุกเข่าลงที่ห้องโถงพุทธเพื่อสวดมนต์
โอวหยางจูใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ กล่าวเสียงแหบแห้ง “ฮองเฮา เจ้าโปรดช่วยตระกูลโอวหยางด้วยเถอะ ตระกูลโอวหยางเป็นบ้านพระมารดาของเจ้า”
“เจ้ากลับไปเถอะ” เสียงที่ไม่แยแสดังออกมา ทําให้โอวหยางจูสิ้นหวัง เขาออกจากตําหนักเฟิงหลวนอย่างหมดหวัง ตอนนี้จิตใจของเขากลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ฮองเฮานางไม่ลงมือช่วย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถต่อกรกับตระกูลมู่ที่มีมู่อวู่ซวงอยู่ได้
เมื่อโอวหยางจูจากไป เสียงของฮองเฮาดังขึ้น “ตระกูลโอวหยาง ไม่จําเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป”
“ขอรับ”
เงาสีดําหลายร่างพุ่งออกมาจากตําหนักเฟิงหลวน ในคืนนั้น เสียงร้องโหยหวนของคนในตระกูลโอวหยางยังคงดังอย่างต่อเนื่อง จากนั้นที่นั่นก็ได้กลายเป็นทะเลเพลิง
โอวหยางจูหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ ตระกูลโอวหยางของข้าไร้ค่าแล้ว นางจะทําลายตระกูลโอวหยางของข้าอย่างโหดเหี้ยม แม้นางไม่ฆ่าข้า ข้าก็จะไม่เปิดโปงนาง จะไม่ทรยศนาง!”
โอวหยางจูเศร้าโศกสิ้นหวังอย่างยิ่ง ในที่สุดเขาตัดสินใจกวัดแกว่งดาบเชือดคอฆ่าตัวตาย สุดท้าย… ทั่วทั้งตระกูลโอวหยางไม่มีเหลือแม้แต่ชีวิตเดียว
……
วันรุ่งขึ้น มู่เฉียนซีเมื่อได้รับข่าวนี้พลันนิ่งอึ้งตะลึงลาน กล่าวว่า “ตระกูลโอวหยางถูกทําลายแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน ?”
“คือ…” มู่เอ๋อร์รายงาน “ท่านผู้นำ ท่านคิดว่าองค์ชายเยี่ยเป็นคนทําหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซีส่ายหัว กล่าวว่า “ไม่น่าใช่ หากเป็นจิ่วเยี่ยทำ ตระกูลโอวหยางทั้งหมดคงกลายเป็นกระดูกขาว ไม่ใช่ถูกเผา”
…
“ใคร ? ใครกันที่ทําลายตระกูลโอวหยาง ?” ซวนหยวนจือกล่าวอย่างกรุ่นโกรธ
ซวนหยวนหลี่ซาง “เสด็จพ่อ เมื่อวานมู่เฉียนซีบอกให้ท่านฆ่าโอวหยางจื่อ ดูเหมือนว่าพวกเขายังคงไม่ยินยอม ดังนั้น…”
“เจ้าสารเลวมู่เฉียนซี ตระกูลมู่ของพวกมันบังอาจยิ่งนัก พวกเขาคิดว่าจะจัดการอย่างไรกับตระกูลโอวหยางก็ได้เช่นนั้นหรือ ? ฝันไปเถอะ…”
ไม่นานก็มีข่าวว่าตระกูลโอวหยางถูกทําลายโดยตระกูลมู่ ลือกันว่าตระกูลมู่กําลังบ้าคลั่ง บุกทำลายกองกําลังศัตรู ทําให้วงศ์ตระกูลใหญ่ในแคว้นจื่อเยี่ยตกอยู่ในอันตราย ถึงแม้จะเป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีหลักฐาน กลับส่งผลกระทบต่อธุรกิจของตระกูลมู่อย่างหนัก
“พี่ใหญ่!” เยวี่ยเจ๋อมาหามู่เฉียนซีเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนรับมือ ผลกระทบจากการวิพากษ์วิจารณ์ส่งผลกระทบมากขึ้นเรื่อย ๆ
มู่เฉียนซีกล่าว “เยวี่ยเจ๋อ เขาใช้วิธีไหนกับเรา เราก็แค่เอาคืนเขาไปเช่นนั้น ราชวงศ์ต้องการใช้แรงกดดันจากคำวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนเพื่อโจมตีตระกูลมู่ของข้า ช่างเป็นวิธีที่โง่เง่าเสียจริง”
ไม่นานนัก ทั่วทั้งเมืองหลวงก็มีข่าวว่าองครักษ์เงาของราชวงศ์สังหารตระกูลโอวหยางโดยไม่รู้ตัว เพราะตระกูลโอวหยางซ่องสุมสมัครพรรคพวกเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ทุจริต และรับสินบน จึงมีการรายงานการกระทำความผิดต่าง ๆ ออกมา พวกเขานั้นเป็นญาติของราชวงศ์ ราชวงศ์ตั้งใจที่จะลอบสังหารพวกเขาเพื่อป้องกันไม่ให้หน้าตาของราชวงศ์ต้องแปดเปื้อน
ตระกูลโอวหยางทําเรื่องพวกนี้จริง ๆ ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ สุดท้ายผู้คนเชื่อในสิ่งหลังมากกว่าการคาดเดาว่าตระกูลมู่เป็นคนทำโดยไร้หลักฐาน
เรื่องนี้ทําให้ซวนหยวนหลี่ซางและซวนหยวนจือที่วางแผนทั้งหมดนี้โกรธจนใบหน้าเครียดคล้ำ เหตุการณ์ที่ตระกูลโอวหยางถูกทําลายได้หยุดลงแล้ว และตระกูลมู่ก็ได้กลับคืนสู่เส้นทางที่ถูกต้องแล้ว ตระกูลมู่ถูกทําลาย ทั่วทั้งโลกธุรกิจนอกจากหอการค้าอันดับหนึ่งของแคว้นเซี่ยโจว ทั่วทั้งอาณาจักรจื่อเยี่ยไม่มีอำนาจใดกล้าท้าทายตระกูลมู่
คลื่นลูกใหญ่ของเมืองจื่อตูสงบลงอย่างมากหลังจากที่ตระกูลโอวหยางถูกทําลายไปในที่สุด
……
มู่เฉียนซีได้รับข่าวจากสำนักศึกษา บอกว่าใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว หากท่านผู้นำตระกูลมู่ไม่ติดธุระอันใดก็ขอให้กลับไปเรียนไปสอบ
ช่วงนี้นางได้ศึกษายาชนิดใหม่ ๆ มาพอสมควร อีกทั้งยังแลกเปลี่ยนความรู้ใหม่ในการปรุงยามากมายกับจวินโม่ซีจนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ดังนั้นมู่เฉียนซีจึงเตรียมตัวที่จะไปยังสำนักศึกษาเพื่อสอบปลายภาคและฝึกฝนพลังวิญญาณ
หลังจากที่มู่เฉียนซีกลับมาที่สำนักศึกษา นางพบว่าเจ้าก้อนน้ำแข็งจิ่วเยี่ยไม่อยู่ ดูเหมือนว่าจิ่วเยี่ยคงจะไม่กลับมาแล้ว นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อฝึกจนถึงจอมภูตระดับหนึ่ง ความเร็วในการฝึกฝนจอมภูตระดับต่อไปจะช้ากว่าเดิมมาก
อาถิง “สำนักศึกษานี้เป็นดินแดนล้ำค่า ป่าในภูเขาด้านหลังเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ เจ้าไปฝึกที่นั่นจะได้ผลลัพธ์อย่างคุ้มค่า แต่ข้าอยากจะเตือนเจ้าว่า ที่นั่นมีสัตว์วิญญาณอยู่ไม่น้อย อย่าถูกสัตว์วิญญาณกลืนกินเข้าล่ะ”
ร่างสีม่วงอ่อนพุ่งเข้ามา มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะถูกสัตว์วิญญาณกลืนกินได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ?”
ความรวดเร็วในการฝึกฝนที่ภูเขาด้านหลังมีไม่น้อย บางครั้งมีสัตว์วิญญาณระดับสอง ระดับสามที่ไม่กลัวตายเข้ามาจู่โจม มู่เฉียนซีสามารถใช้พวกมันเพื่อฝึกฝีมือได้ นางฝึกฝนที่ภูเขาด้านหลังเป็นเวลาหลายวัน ความแข็งแกร่งของนางพัฒนาขึ้นมาก ทว่านางรู้สึกแปลก ๆ ขึ้น เหตุมาจากนางถูกสัตว์วิญญาณระดับสามที่แข็งแกร่งตัวหนึ่งจับตามองอย่างเศร้าโศก
มู่เฉียนซีเป็นจอมภูตระดับต่ำตัวเล็ก ๆ แน่นอนว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน แต่ถ้าหากสู้ไม่ได้ อย่างไรยังสามารถหนีได้!
เงาร่างของมู่เฉียนซีพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว นางพบว่าเมื่อตัวเองมาถึงหน้าผา สัตว์วิญญาณระดับสามที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ไล่ตามนางมาอย่างที่คิดไว้
นางตะลึงงัน ‘ที่นี่คงมิใช่ดินแดนของสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งอีกตัวหนึ่งหรอกกระมัง ?! เจ้าตัวนั้นถึงไม่ได้ติดตามข้ามา’
นางกวาดตามองไปรอบ ๆ ทว่าไม่พบสัตว์อสูรที่ทรงพลัง กลับพบหลุมศพอันงดงาม ม่านตาของนางหดเล็กลงขณะที่มองดูตัวอักษรบนหลุมศพซึ่งสลักไว้อย่างเห็นได้ชัดเจน
…น้องชายของข้า ซวนหยวนจิ่วเยี่ย…
นี่เป็นหลุมศพของซวนหยวนจิ่วเยี่ย แต่ซวนหยวนจิ่วเยี่ยยังมีชีวิตดีอยู่นี่!
บุรุษแข็งแกร่งเช่นนั้น เกรงว่าทั่วทั้งแคว้นจื่อเยี่ยคงมีแต่ตัวเขาเองที่สามารถสังหารเขาได้
ขณะนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง มู่เฉียนซีหันกลับมาเห็นร่างสีขาวกําลังใกล้เข้ามา เขามีรูปร่างสูงโปร่งสง่างาม คางเรียว สวมเสื้อชุดคลุมสีขาวพระจันทร์ปักด้วยดอกลิลลี่แสนประณีต มันประดับประดาร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
ผมสีดําเหลือบวาวน้อย ๆ ราวกับผ้าไหมเนื้อดี ใบหน้าละเอียดอ่อนสมบูรณ์แบบ สว่างไสวภายใต้แสงอาทิตย์ เขาผู้สง่างามสูงส่งเช่นนี้ กลับมีแววตาเย็นชาไม่แยแสทุกสิ่ง แววตานั้นมองมู่เฉียนซีอย่างเฉยเมย
เขากล่าว “ข้าตั้งกับดักไว้ที่นี่ คาดไม่ถึงว่าผู้นำตระกูลมู่จะบุกเข้ามาได้ ผู้นำตระกูลมู่ เจ้าเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น เช่นนั้น…”
ร่างสีขาวสุกสว่างราวดวงจันทร์สว่างวาบ ฉับพลันทันใดร่างซวนหยวนชิงอวิ๋นเข้ามาใกล้มู่เฉียนซี!
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
มู่เฉียนซีโบกมือ เข็มยานับไม่ถ้วนพุ่งออกไปด้านหลังของซวนหยวนชิงอวิ๋นอย่างรวดเร็ว
“อวิ๋นอ๋อง ครั้งก่อนพวกเราไม่ได้ประมือกันในรอบชิงชนะเลิศการจัดอันดับอัจฉริยะของแคว้นจื่อเยี่ย หากจะสู้ตอนนี้ ข้าก็จะสู้เป็นเพื่อนท่านเอง”
ใบหน้าซวนหยวนชิงอวิ๋นยังคงสงบนิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของสตรีผู้นำตระกูลมู่ เขาสะบัดมือทั้งสองข้าง พุ่งโจมตีกลับด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว ทว่ามู่เฉียนซีหลบการโจมตีของเขาได้ การเคลื่อนไหวของนางว่องไว บางเบาราวกับขนนกที่ล่องลอยตามลม
มู่เฉียนซีอดกล่าวชื่นชมไม่ได้ “ข้าต้องบอกเลยว่าอวิ๋นอ๋อง ท่านแข็งแกร่งกว่าอวิ๋นซินหรานเสียอีก หากตอนนั้นพวกเราสู้กัน ข้าคงจะสู้ท่านไม่ได้เป็นแน่ แต่ตอนนี้คนที่แพ้ต้องเป็นท่านอย่างแน่นอน!”
“ผนึกมังกรวารี!”
มังกรวารีสีฟ้าปรากฏขึ้นต่อหน้ามู่เฉียนซี มันพุ่งเข้าหาซวนหยวนชิงอวิ๋นอย่างรวดเร็ว มู่เฉียนซีปลายเท้าแตะลงที่พื้น และเมื่อซวนหยวนชิงอวิ๋นหลบการโจมตีของมังกรวารีที่ปรากฏขึ้นข้างตัวเขา กับดักยาทั้งเจ็ดเข้าล้อมรอบร่างเขาทันที
.