— เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! —
การกระทำเยี่ยงนี้ของจิ่วเยี่ยช่างป่าเถื่อนยิ่งนัก ถึงแม้ว่าเขาจะตีไม่แรง ทว่ามันทำให้นางทั้งโกรธทั้งอับอาย
มู่เฉียนซีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนลืมไปเลยว่าบุรุษผู้นี้น่าหวาดกลัวเพียงใด นางดุด่าเขาอย่างไม่ยั้งปาก “จิ่วเยี่ย เจ้าทำเกินไปแล้ว หยุดตีข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะวางยาเจ้าซะ”
— เพี๊ยะ! —
“ข้าบอกให้หยุดไงเล่า!”
เพี๊ยะครั้งที่สี่… เพี๊ยะครั้งที่ห้า…
มู่เฉียนซีดีดดิ้น นางขัดขืนอย่างบ้าคลั่ง น่าเศร้าที่ภายใต้การควบคุมของจิ่วเยี่ยนั้นนางมิสามารถขยับตัวให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเขาได้ นางกล่าวอย่างแค้นเคืองว่า… “การกระทำของเจ้าครั้งนี้ข้าจะจดจำมันเอาไว้ คอยดูเถอะต่อไปข้าจะทำให้เจ้าปวดเศียรเวียนเกล้า จะทำให้เจ้าวุ่นวายเป็นรังแตนเลยคอยดู!”
“ชาติเสือต้องไว้ลายชาติชายต้องไว้ชื่อ” จิ่วเยี่ยกล่าว เขาไม่สนใจที่นางพูด
เพี๊ยะครั้งที่เก้า…
หายกัน!
มู่เฉียนซียังคงกรุ่นโกรธ ปากของนางก็ยังคงดุด่าต่อว่าเขาอยู่ ทันใดนั้นเอง จิ่วเยี่ยคว้าเอวของนางแล้วดึงนางมากอดเอาไว้ในอ้อมแขนอุ่น ๆ
“อ๊า! ข้าอยากจะกัดเจ้าให้ตายไปเลย” มู่เฉียนซีแว้ง
เมื่อเขาได้เห็นใบหน้าที่งดงามประณีตของนางในระยะใกล้ บุรุษเยือกเย็นอดที่จะหลงใหลนางมิได้ ฟันขาวใสสะอาดของนางนี้ คงจะกัดเนื้อเขาขาดเป็นแน่แท้ และสิ่งที่นางคิดไม่ถึงนั้นก็คือการที่จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยเสียงอันเบาว่า
“กัดสิ ข้าให้เจ้ากัดได้”
“ฮึ่ม!” มู่เฉียนซีคำราม เตรียมจะยื่นใบหน้าเข้าไปกัดเขา
ทว่าริมฝีปากบางของจิ่วเยี่ยนั้นก้มลงประกบริมฝีบางของนาง จูบที่พัวพันและดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดเกิดขึ้นอีกครั้ง
มู่เฉียนซีอึ้งงัน ดวงตานางเบิกกว้างด้วยความตกใจ นางไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมาเลยแม้แต่น้อย คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเขาจะ…
นี่คือการกัดรึ ?
หากคิดจะเอาเปรียบกันอีกละก็ หึ! ไม่มีทาง เช่นนี้ข้าก็สามารถกัดเจ้าได้
มู่เฉียนซีพยายามอย่างเต็มที่ที่จะดูดลิ้นของเขาเข้ามาเพื่อกัดลิ้นเขา ทว่าจิ่วเยี่ยมีหรือจะยอมให้นางประสบความสำเร็จง่าย ๆ ทั้งสองทะเลาะกันในปาก จูบนี้หนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ พาให้อุณหภูมิในห้องสูงขึ้นเรื่อย ๆ
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าลิ้นของนางเริ่มชาจนไม่รู้สึกอะไรแล้ว และนางก็หายใจยากลำบากขึ้น ตรงกันข้าม ดูเหมือนว่าจิ่วเยี่ยไม่ท้อถอยเลย
มือขาวราวหิมะของเขาลูบใบหน้าแดงระเรื่อของนาง สัมผัสที่อ่อนโยนยังทำให้อุณหภูมิในร่างกายของนางร้อนระอุขึ้นมา กลิ่นจาง ๆ ของสมุนไพรตกลงมาที่จมูกของเขาพร้อมด้วยบรรยากาศเสน่ห์หา
หัวใจจิ่วเยี่ยเริ่มสั่นเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าเย็นฉ่ำในตอนนี้นั้นลึกลงดั่งมหาสมุทร มือเรียวยาวของเขาค่อย ๆ สอดเข้าไปที่ลำคออุ่น ๆ ของนาง
มู่เฉียนซีร่างแข็งทื่อราวท่อนไม้ตามสัญชาตญาณ ดวงตาดำจ้องมองจิ่วเยี่ยผู้ที่อันตรายยิ่ง เขาคงจะไม่มีอาการแปลกประหลาดเหมือนเมื่อครู่อีกนะ…
ขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เยี่ย… เช่นนี้แหละ! ฉีกเสื้อผ้าของนางออกให้หมด ก้มลงสัมผัสผิวของนางเลย หลังจากนั้นก็ฉีกร่างนางซะ ครอบครองหัวใจนางให้ได้ ให้นางลงนรกไปพร้อมเจ้า จากนั้นพวกเจ้าก็จะ…”
— ตูม! —
ทันใดนั้นจิ่วเยี่ยยื่นมือไปที่มุมมุมหนึ่ง พลันปล่อยพลังอันรุนแรงออกไป
หน้าต่างแตกกระจายในทันที มู่เฉียนซีเห็นเพียงเงาร่างสีเขียวล้ายกับดาวตกบินออกไป
ริมฝีปากทั้งสองแยกออกจากกัน ทั้งสองสบตากัน
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าสายตาที่จิ่วเยี่ยมองตนนั้นราวกับสัตว์ร้ายที่พร้อมจะฉีกเนื้อของเหยื่อ ครั้นแล้วนางก็รู้สึกหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทา
เมื่อนึกถึงคำพูดที่เงาร่างลึกลับนั้นกล่าวเมื่อครู่ ความรู้สึกโชคดีครอบงำนาง โชคดีจริง ๆ ที่จิ่วเยี่ยควบคุมเอาไว้ได้ ไม่ทำอะไรบ้าบิ่นลงไป
เวลานี้ เงาร่างสีเขียวลอยเข้ามาด้านในอีกครั้ง มู่เฉียนซีได้เห็นบุรุษรูปงามดั่งหยาดฟ้ามาดินผู้หนึ่งลอยมา ร่างของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายความชั่วร้ายน่ากลัว
ผมสีแดงเข้มยาวดั่งสาหร่ายทะเลยาวสลวยลงมาถึงเอว ผิวขาวดุจดั่งหิมะเหมันตฤดู ใบหน้างดงามไร้ที่ติ รูปร่างเพรียวบาง เอวคอดกิ่ว กลิ่นอายบนเรือนร่างเจือความเย่อหยิ่งเล็กน้อย อากัปกิริยามือไม้ที่แสดงออกมานั้น ดูเป็นผู้มีความสามารถไร้ขีดจำกัด หากจะกล่าวว่าบุรุษผู้นี้มีเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดให้สตรีทั่วทั้งใต้หล้านี้ชื่นชอบเขา ก็คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินจริง
สิ่งมีชีวิตที่มีเสน่ห์อันน่าหลงใหลนี้สามารถกระตุ้นให้ผู้คนโกรธได้ รอยยิ้มดูบอบบาง แต่กลับมีความก่อกวนแฝงอยู่ประหนึ่งเขาพร้อมที่จะทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายได้ตลอดเวลา เขามองจิ่วเยี่ยด้วยแววตาหยาดเยิ้มประหลาด ๆ กล่าวขึ้นว่า…
“เยี่ย เจ้าช่างไร้น้ำใจยิ่งนัก ข้ารอดจากปากเหยี่ยวปากกามาหลายหมื่นหลายพันลี้เพื่อนำน้ำอมฤทธิ์มาให้เจ้า เจ้ากลับไร้น้ำใจกับข้าเยี่ยงนี้”
น้ำเสียงชวนให้หลงใหลพร่ำบ่นเพื่อระบายความในใจ ดวงตาสีม่วงเข้มคู่นั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เมื่อได้ยินแล้วก็มิอาจควบคุมได้
ทว่าสายตาของจิ่วเยี่ยยังคงเฉยเมยมิเปลี่ยนแปลง เขากล่าวเสียงเย็นชา “เจ้ามาช้า”
“อะไรนะ ? เป็นไปไม่ได้”
ร่างสีเขียวไม่อยากจะเชื่อ หากว่าเขามาช้า คำสาปครั้งนี้ก็จะระเบิดออกมาและจิ่วเยี่ยจะต้องทำลายแคว้นจื่อเยี่ยจนพังทลายไปดั่งนรกอเวจี แต่นี่เขากลับปกติ ไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย มันช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
“ตกลงแล้วมัน…”
ในขณะที่สายตาของเขากำลังมองจิ่วเยี่ย จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ออกไป”
มู่เฉียนซีรีบลุกขึ้น “ไม่ ๆ ๆ ข้านี่แหละไปเอง ข้าออกไปเอง เจ้าสองคนคุยกันตามสบายเถอะ”
เป็นไปได้หรือไม่ว่าบุรุษผู้งดงามดั่งหยาดฟ้ามาดินผู้นี้จะเป็นคนในดวงใจของจิ่วเยี่ย รูปร่างเรียวเล็กเช่นนี้สามารถทำให้บุรุษด้วยกันหลงใหลได้ ดูจากแววตาหยาดเยิ้มที่เขามองจิ่วเยี่ยเมื่อครู่นี้ บุรุษผู้นี้ต้องคลั่งไคล้เพศเดียวกันเป็นแน่แท้
คิดได้เช่นนี้นางก็ไม่อยากเป็นก้างขวางคอของทั้งสองอยู่ที่นี่อีกต่อไป
ขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจะออกไป จิ่วเยี่ยไม่ยอม เขาคว้าร่างนางไปกอดไว้ กล่าวเสียงเบา “ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้า เจ้าต้องอยู่”
“ฮือ ๆ ๆ เยี่ย… เจ้ามันคนไร้หัวใจ ไม่เคยเข้าใจจิตใจของข้าเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดโศกเศร้าเสียใจเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนว่ามู่เฉียนซีจะรับรู้ได้ถึงหัวใจที่ใกล้จะแตกสลายของเขา บุรุษน้อยผู้น่าสงสาร แอบรักบุรุษเพศเดียวกันก็ว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากพอแล้ว ยิ่งมาแอบรักคนไร้หัวจิตหัวใจ ไร้ความรู้สึกแบบเจ้าก้อนน้ำแข็งก้อนนี้ ไม่วายมีแต่เสียใจกับผิดหวังเป็นแน่แท้
จิ่วเยี่ยไม่สนใจคำพูดของชายชุดเขียวแม้แต่น้อย เขากอดมู่เฉียนซีไว้พลันหายตัวไปส่งนางที่จวนตระกูลมู่อย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะมองดูบุรุษผู้นั้นเลย
“วันนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว พักผ่อนเถอะ”
มู่เฉียนซีพยักหน้า “อืม”
เมื่อร่างสีดำนั้นกะพริบหายไป ในตอนนั้นเองมู่เฉียนซีก็นึกขึ้นมาได้ว่านางยังไม่ได้แก้แค้นในสิ่งที่เขาทำไว้กับนางเลย นางฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด
“เจ้าก้อนน้ำแข็งบ้า กลับมาเดี๋ยวนี้! ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย”
ทันใดนั้น ร่างสีเขียวน่าหลงใหลปรากฏขึ้น ขณะนั้นนางลืมความโกรธแค้นเมื่อครู่ของตัวเองไปเสียสนิท ปล่อยให้ความสับสนผ่านไป แต่ต่อให้นางคิดอยากจะเอาคืนมากเพียงใดก็ไม่สามารถทำได้ เพราะความแข็งแกร่ง… ความแข็งแกร่งของนางสู้ไม่ได้! หากความแข็งแกร่งของนางสู้เขาได้ละก็… นางคงจะจับเขาตีก้นคืนเก้าสิบทีแน่นอน
ทันใดนั้นเอง อู๋ตี้หัวเราะอย่างน่าเกลียด กล่าวขึ้น “นายท่าน นายท่านแก้แค้นวิธีนี้ได้ที่ไหนกันล่ะ ทำเช่นนี้มันง่ายเกินไป เรื่องที่เขาทำในวันนี้มันทำให้ข้าโกรธมาก ข้าคิดว่าต่อไปพวกเราต้องเอาชนะเขาได้แน่ เขาเรียกว่าอะไรนะ…”
ใบหน้ามู่เฉียนซีหม่นคล้ำ “เจ้าเป็นแค่ลูกแมวตัวเล็ก ๆ ในหัวเจ้าคิดแก้แค้นกับคนอื่นเป็นด้วยรึ ?”
ทันใดนั้นเสี่ยวหงกล่าวขึ้น “นายท่าน จริง ๆ แล้วนายท่านจิ่วเยี่ยเขาไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย เขาเพียงแค่ใช้เข็มยาของนายท่านไม่เป็นต่างหากเล่า! นายท่านก็คิดเสียว่าเขานวดให้นายท่านก็ได้นี่ อย่าไปถือโทษโกรธเขาเลย”
ประกายแสงเย็นวาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี นางกล่าว “เสี่ยวหง เจ้านี่เห็นดีเห็นงามกับเขาไปหมดเลยนะ จิ่วเยี่ยซื้อตัวเจ้าแล้วรึ ?”
เสี่ยวหง “นายท่าน เปล่าสักหน่อย หัวใจของข้าภักดีต่อนายท่านผู้เดียวอย่างแน่นอน”
เวลาเดียวกันนั้น จิ่วเยี่ยยังอยู่ที่จวนตระกูลมู่ เขายังไม่ได้กลับไป บุรุษรูปงามในชุดสีเขียวตามเขามา กล่าวขึ้นว่า…
“เยี่ย ที่คำสาประเบิดออกเช่นนั้นแต่เจ้ากลับไม่ได้ส่งทุกคนไปลงนรก เป็นเพราะสตรีงดงามผู้นั้นรึ ? เจ้าสนใจนางเป็นพิเศษรึ ?”
น้ำเสียงเย็นชาดังออกมาจากปากจิ่วเยี่ย “จื่อโยว เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว”
.