ทันใดนั้นมู่เฉียนซีที่ถูกจิ่วเยี่ยรุกจูบอย่างรุนแรงก็ได้สติกลับคืนมา เข็มยาในมือนางไม่กี่เข็มท้ายที่สุดก็ทิ่มแทงเข้าไปตรงสะโพกของจิ่วเยี่ย
มู่เฉียนซีบ่นพึมพำในใจ ‘ถ้าเจ้าก้อนน้ำแข็งจิ่วเยี่ยรู้สึกตัวขึ้นมา หวังว่าเขาจะไม่ถือสากับเรื่องนี้นะ แม้การฝังเข็มในบริเวณนั้นจะเป็นเรื่องปกติในยุคปัจจุบัน แต่เยี่ยอ๋องผู้สูงศักดิ์กลับถูกเข็มทิ่มแทงบริเวณนั้น เขาจะต้องอยากฆ่าคนแน่นอน’
มุมปากมู่อีและจวินโม่ซีกระตุกอย่างแรง จิตใจพลันว้าวุ่นบ้าคลั่ง ท่านผู้นำสมแล้วที่เป็นถึงผู้นำตระกูลมู่ ในตอนที่นางถูกจูบ กลับยังสามารถแบ่งสมาธิในการฉีดยาให้เยี่ยอ๋องได้ อีกทั้งยังฉีดบริเวณ…
สําหรับเรื่องที่มู่เฉียนซีก่อขึ้น ตอนนี้จิ่วเยี่ยมิได้ใส่ใจ หากแต่ยาของมู่เฉียนซีกลับทําให้เขารู้สึกกังวลอย่างหาที่เปรียบมิได้ ฤทธิ์ของยากัดกินอย่างรุนแรงราวกับสัตว์ป่าไม่รู้จักพอ เมื่อจิ่วเยี่ยกำลังจะล้มลงไป ทันใดนั้นเสียงที่ไม่ถูกกาลเทศะก็ดังขึ้นมา “นายท่าน คําสาประเบิดออกมาก่อนแล้ว ท่านไม่เป็นไรใช่หรือ…”
พ่อบ้านไป๋เบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพสุดหวานวาบหวามเช่นนั้น เขาตัวแข็งทื่อ อยากทำตัวให้หายไปจากตรงนั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด! เมื่อริมฝีปากของจิ่วเยี่ยผละออกจากริมฝีปากมู่เฉียนซี เสียงพูดถูกส่งออกมาคำหนึ่ง เสียงที่ทำให้จิตวิญญาณของผู้ฟังแทบถูกแช่แข็ง
“ไสหัวไป”
— ปัง! —
สังขารแก่ชราของพ่อบ้านไป๋ ถูกพลังของเยี่ยอ๋องตบปลิวลอยไป กลายเป็นดาวส่องแสงวิบวับเบื้องบนท้องนภา
เวลานี้ลวดลายสีดำที่อยู่บนตัวของซวนหยวนจิ่วเยี่ยค่อย ๆ หดเล็กลง ไล่จากบนใบหน้าของเขาลงมาถึงร่างกาย แล้วค่อย ๆ หายไปช้า ๆ ในที่สุดใบหน้าสวยงามไร้สิ่งใดเปรียบที่ถูกบดบังด้วยลวดลายสีดำมืดเมื่อครู่ปรากฏต่อหน้ามู่เฉียนซีอีกครั้ง
เมื่อเห็นใบหน้างดงามนี้ มู่อีและพวกเบิกตากว้าง สีหน้าทาบทาความไม่อยากเชื่อ ไม่ใช่ว่าองค์ชายจิ่วเยี่ยมีใบหน้าที่เหมือนสวมใส่หน้ากากพิฆาตหรอกหรือ ? คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเก้าจะงดงามเช่นนี้ แทบจะงามกว่าชายทั้งปวงในใต้หล้าเสียด้วยซ้ำ
มู่เฉียนซีถอนหายใจอย่างโล่งอก นางมองย้อนไปยังสิ่งไม่ดีไม่งามที่ได้ทำลงไป แต่ดวงตาของจิ่วเยี่ยยังคงสงบนิ่งราวกับน้ำใสเหมือนเช่นเคย เขากล่าว “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เช่นข้านั้นอาจจะได้กลายเป็นคนแรกที่กลั้นหายใจตอนจุมพิตกัน”
นิ้วมือเรียวยาวของจิ่วเยี่ย ลูบไล้ริมฝีปากบวมแดงนั้นของมู่เฉียนซีเบา ๆ เขากล่าวด้วยเสียงอันเบาว่า “ไม่… อันที่จริงข้านั้นรู้จักกาลเทศะ”
สัมผัสเย็นยะเยือกทําให้มู่เฉียนซีถอยหลังไปหลายก้าวราวกับถูกไฟฟ้าเข้าเล่นงานทั่วร่าง หัวใจของนางเต้นระรัวอย่างห้ามไม่ได้
จูบที่บ้าคลั่งเมื่อครู่นี้ไม่ได้ทําให้หัวใจของนางเต้นรัวสักเท่าไรนัก แต่การลูบไล้อย่างฉับพลันเมื่อครู่นั้นต่างหาก ที่ทําให้หัวใจของนางเต้นไม่เป็นส่ำ
— ตึง! —
ทันใดนั้นร่างอันเรียวยาวของซวนหยวนจิ่วเยี่ยล้มลงต่อหน้านาง มู่เฉียนซีจำต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทว่าไม่รอช้า นางรีบเข้าประคองเขาไว้ ปากก็ร้องเรียก
“จิ่วเยี่ย!”
หลังจากที่มู่เฉียนซีได้ทำการตรวจร่างกายเยี่ยอ๋องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางแน่ใจแล้วว่าจิ่วเยี่ยนั้นแค่ใช้พลังจนหมดเรี่ยวแรงไป กอปรกับผลจากยาบางตัวของนาง เขาจึงสลบไสล เพียงรอให้เขาฟื้นตื่นขึ้นมาเท่านั้น ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
เจ้าก้อนน้ำแข็งนี่ก็มีตอนที่มาล้มลงต่อหน้านางด้วยเช่นกัน ช่างหาชมได้ยากอย่างแท้จริง!
ไม่รู้ว่าคำสาปที่พ่อบ้านไป๋พูดถึงนั้นคืออะไร มันถึงสามารถทำให้ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นเขาไม่สามารถควบคุมตนเอง ปฏิบัติตนน่าละอายได้เช่นนั้น “กลับจวนเถอะ” มู่เฉียนซีกล่าว
สำนักนิกายเพลิงไฟก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ กลับไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ที่นี่ เพราะพวกเขาคาดเดาได้ราง ๆ แล้วว่าพลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้นเป็นฝึมือของใคร เรื่องที่มู่เฉียนซีไม่สามารถตรวจสอบได้ ถูกผนึกไว้โดยแคว้นจื่อเยี่ย
สามนิกายใหญ่แห่งแค้วนจื่อเยี่ย สํานักนิกายเพลิงไฟ สํานักนิกายสุดโต่ง และสํานักอัสนีลึกลับ แท้จริงแล้วเจ็ดปีที่ผ่านมายังมีอีกสำนักนิกายหนึ่ง นามว่านิกายมฤตยู หัวหน้าสํานักของสํานักนั้นสนใจในตัวเยี่ยอ๋องมาก จึงฝืนลักพาตัวเยี่ยอ๋องไปยังสํานัก ผลสุดท้ายทั้งสํานักก็ถูกทําลายโดยเยี่ยอ๋องที่อายุเพียงสิบสองปี คนทั้งหมดในสำนักนั้นล้วนกลายเป็นเถ้ากระดูก อาคารของสำนักนั้นก็ถูกทำลายย่อยยับ
อาคารถูกทําลายทั้งหมด…
เหล่าคนที่ทราบเรื่องนี้ตกใจกันไม่น้อย ไม่มีใครกล้าปริปากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก อย่างไรก็ตาม เจ็ดปีต่อมาสํานักนิกายเพลิงไฟกลับทําให้เยี่ยอ๋องกริ้วอีกครั้ง และถูกองค์ชายเยี่ยทำลายล้างจนหมดสิ้นแทบไม่เหลือซาก
มู่เฉียนซีให้พวกมู่อีรีบกลับไปที่เมืองจื่อตูด้วยความเร็วสูงสุด
หลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “พ่อบ้านไป๋พาจิ่วเยี่ยกลับจวนเยี่ยอ๋องเถอะ”
เวลานี้พ่อบ้านไป๋ตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช ความโกรธของจิ่วเยี่ยเมื่อครู่นี้มิเบาเลย เขาสามารถรอดชีวิตมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ล้วนแต่เป็นความเมตตาของนายของตนที่ยั้งมือ
พ่อบ้านไป๋ยิ้ม กล่าวว่า “ผู้นำตระกูลมู่ ทหารโครงกระดูกของจวนเยี่ยอ๋องพวกนั้นไม่สามารถที่จะดูแลใครได้ หรือไม่ก็ให้นายท่านของข้าไปพักฟื้นที่จวนตระกูลมู่ก่อนสักคืนได้หรือไม่ ?”
มู่เฉียนซีกล่าวตกลง “ได้” นี่เป็นครั้งแรกที่ซวนหยวนจิ่วเยี่ยถูกทําให้มีสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ ส่วนมากแล้วเพราะเพื่อช่วยนางกับท่านอาเล็ก นางเองก็ไม่ใช่คนที่ข้ามแม่น้ำได้แล้วมารื้อสะพานทิ้ง ถึงอย่างไรหากไม่ใช่เพราะเขา เกรงว่านางกับท่านอาเล็กคงถูกสัตว์ประหลาดสี่ขาตัวนั้นทรมานจนตายไปแล้ว
มู่เฉียนซีพาจิ่วเยี่ยมาไว้ที่เรือนสุ่ยซี จากนั้นให้จวินโม่ซีไปดูแลมู่อวู่ซวง
มู่เฉียนซี “จวินโม่ซี จะดีร้ายอย่างไรเจ้าก็เป็นราชาโอสถ จะว่าไปแล้วเจ้าสามารถใช้วิธีใดรักษาท่านอาของข้าได้บ้างรึ ?”
จวินโม่ซี “ทักษะการปรุงยาของของเจ้านั้นก็ช่างพิเศษลึกลับยากจะคาดเดา ขนาดเจ้ายังไม่มีหนทาง แล้วข้าจะมีหนทางอะไรได้เล่า ?”
สีหน้ามู่เฉียนซีมืดครึ้มลง “อ้อ เช่นนั้นนับจากนี้ไป เจ้าก็รอกินแต่ผักไปทุกวันเถอะ”
จวินโม่ซีรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที “เจ้าทําแบบนี้ไม่ได้! ข้าจะตายหากไม่มีเนื้อกิน”
“เช่นนั้นท่านอาของข้า…” มู่เฉียนซีกล่าวพลางทำทีเป็นเหลือบมองมู่อวู่ซวงที่หลับใหลอยู่
จวินโม่ซีรีบกล่าว “เขาโดนพิษโบราณมา เดิมทีเขาไม่มีทางรอดชีวิตมาได้ โชคดีที่พิษถูกผนึกไว้ที่ขาของเขาถึงทําให้อาของเจ้ามีชีวิตอยู่ได้ยี่สิบกว่าปี แต่ตอนนี้นั้น… ผนึกไม่มั่นคงจนแตกออก เกรงว่าโลกนี้คงไม่มีใครแกร่งกล้าพอที่จะผนึกพิษนั้นไว้ได้อีกแล้ว หากไม่ใช่ว่าอาของเจ้ามีพลังที่แข็งแกร่ง เขาคงไม่สามารถรอดมาได้ตั้งแต่แรก
มู่เฉียนซี “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพลังนั้นจะต้านทานได้นานเพียงใด ข้ามีเม็ดยาวิเศษระดับเก้า ดอกบัวปราณเขียว อยู่ ยานี้สามารถระงับพิษในร่างกายของท่านอาเล็กได้ แต่ไม่รู้ว่าจะสามารถระงับได้อีกนานเท่าไร”
“พิษโบราณนั้นมีพลังมากเกินไป” จวินโม่ซีกล่าวอย่างจนปัญญาพลางสะบัดมือ
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ยาวิญญาณพิภพระดับเก้า เป็นสมุนไพรวิญญาณระดับไหนรึ ?”
จวินโม่ซีกล่าว “โอสถวิญญาณแบ่งออกเป็นระดับหนึ่งถึงเก้า นั่นเป็นเพียงระดับธรรมดาเท่านั้น หากเหนือจากเก้าระดับที่ธรรมดา ก็จะเป็นระดับพิภพ ยาวิเศษพิภพระดับเก้านั้น ทั้งทวีปเซี่ยโจวคงมีไม่เกินสามต้น ข้าได้ลงทุนให้ของที่ข้าแลกมาด้วยเลือดเนื้อไปแล้ว มู่เฉียนซี เจ้าต้องเลี้ยงดูปูเสื่อข้าให้ดี ๆ ล่ะ”
เพื่อเรื่องกิน ราชาโอสถถึงกับยอมมอบของสิ่งนี้ให้มู่เฉียนซี เขานั้นเต็มที่กับเรื่องกินอย่างถึงที่สุด
มู่เฉียนซีถามต่อ “ทำได้เพียงแค่หยุดมันไว้ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดที่จะสามารถล้างพิษมันได้อย่างหมดจด ?” สิ่งที่นางต้องการไม่ใช่แค่การผนึกมันไว้ชั่วคราว แต่เป็นการรักษาให้หายขาด ทําให้ท่านอาเล็กลุกขึ้นยืนได้
“ล้างพิษให้สะอาด” จวินโม่ซีกล่าว
ทว่าเขาส่ายหัว “สูตรยาของพิษโบราณนั้นหายสาบสูญไปตั้งนานแล้ว แล้วยังเป็นพิษที่ร้ายแรงเช่นนี้อีก ยิ่งเพิ่มความเป็นไปไม่ได้มากขึ้น นอกเสียจากว่า…”
“นอกจากอะไร ?” มู่เฉียนซีถามขึ้นในทันใด