“อ๊า!” หัวหน้าสำนักจี๋หั่วคุกเข่าลงกับพื้น ร้องคร่ำครวญเจ็บปวดทั่วกายใจ “เจ้าไม่ใช่มนุษย์! เจ้ามันไม่ใช่มนุษย์!”
เริ่มตั้งแต่ศีรษะลงมา ร่างของเขาค่อย ๆ กลายเป็นโครงกระดูกขาว จากนั้นล้มลงไปกับพื้นภายในชั่วพริบตา
เขาตายลงในที่สุด
ผมเงาดำราวน้ำหมึก เสื้อผ้าอาภรณ์ชุดดำของจิ่วเยี่ยพัดไสวตามสายลมในอากาศยามรัตติกาลนี้ ดวงตาโหดร้ายคู่หนึ่งเต็มไปด้วยความเย็นชา แววตากระหายเลือดจ้องมองมู่เฉียนซี ใบหน้างดงามอย่างไม่มีใครเทียบได้ของเขาในตอนนี้ น่าเกลียดน่ากลัวดั่งปีศาจร้าย ลวดลายสีดำเหล่านั้นกระจัดกระจายไปทั่วร่างของเขา ทำให้เขาดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
ร่างของจิ่วเยี่ยที่ลอยอยู่ในอากาศค่อย ๆ เข้าใกล้มู่เฉียนซีและทุกคน
“ท่านผู้นำตระกูล รีบพานายท่านสามหนีไป!” มู่อีกล่าวอย่างร้อนใจ
กลิ่นอายของจิตสังหารแผ่กระจายไปทั่ว ทันใดนั้นบรรยากาศบริเวณโดยรอบดูเหมือนว่ามีภูติผีปีศาจนับพันนับหมื่นกำลังร้องโหยหวนอยู่ ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บราวกับว่าความตายอยู่ตรงหน้า
มู่เฉียนซีผลักมู่อีออก รีบกล่าวว่า “พวกเจ้าหลีกไป!”
มู่อีขมวดคิ้วมุ่นเป็นกังวล “ท่านผู้นำ!”
“นี่เป็นคำสั่งของข้า!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่แยแสสิ่งใด ในใจนางมีเพียงคำถามเดียว ‘จิ่วเยี่ยเป็นอะไร ?’
“ซีเอ๋อร์!” มู่อวู่ซวงอยากจะลุกขึ้นไปยืนขวางหน้า ห้ามนางเอาไว้ ทว่าสองขาของเขามิอาจพยุงตนเองให้ยืนขึ้นได้เสียด้วยซ้ำ
— ตุบ! —
มู่อวู่ซวงหมดแรงเป็นลมล้มไป เขาโพล่งขึ้นด้วยเสียงอันดัง “ซีเอ๋อร์ ห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาด”
มู่เฉียนซีตอบเสียงเบา “วางใจเถอะท่านอาเล็ก ข้าจะไม่เป็นอะไร…”
“คุ้มกันท่านอาเล็กเอาไว้ให้ดี ข้าจะไปดูจิ่วเยี่ยสักหน่อย” มู่เฉียนซีกล่าว ฉับพลันทันใดมู่อีและคนอื่น ๆ ทำได้แค่มองดูท่านผู้นำที่กำลังจะเข้าไปใกล้บุรุษผู้กระหายเลือดและโหดเหี้ยมเหมือนปีศาจผู้นั้น พวกเขาอยากจะเข้าไปห้ามใจจะขาด ทว่านี่เป็นคำสั่งของท่านผู้นำ พวกเขามิอาจข้องขัด
นางเดินไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจิ่วเยี่ย เขาในตอนนี้นั้น นิ่งสงบราวกับรูปปั้นแกะสลัก ทว่ากำลังจ้องมองมู่เฉียนซีตาไม่กะพริบ
มู่เฉียนซียื่นมือไปสัมผัสใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวนั้น กระซิบกับเขาว่า “จิ่วเยี่ย เจ้าเป็นอะไรหรือ ? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้” และสิ่งที่ทำให้นางตกใจยิ่งไปกว่านั้นคือ… ลวดลายสีดำบนใบหน้าและบนร่างกายของเขา เต็มไปด้วยพลังอันชั่วร้าย มันไม่ใช่ยาพิษและไม่ใช่พิษของกู่ (สัตว์พิษห้าชนิด)
มู่อี จวินโม่ซี และคนอื่น ๆ มองดูสิ่งที่เกิดขึ้น พวดเขาตะลึงตาโตจนลูกตาแทบถลนออกมานอกเบ้า มู่เฉียนซีนางไม่เพียงแต่เข้าใกล้บุรุษโหดเหี้ยมผู้นั้น กลับยังยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าของเขาด้วย นางช่างกล้ามาก!
มืออันเย็นยะเยือกคู่นั้นจับข้อมือนางแน่นราวกับกระดูกจะหัก เขากล่าวกับนางเบา ๆ “ไปซะ! รีบพาคนของเจ้าหนีไปเร็ว ๆ”
น้ำเสียงของเขาดูเหมือนว่ากำลังข่มอะไรบางอย่าง ราวกับว่าในร่างกายของเขามีสัตว์ร้ายสิงสู่อยู่และมันพร้อมที่จะระเบิดออกมากลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในที่นี้ รวมทั้งมู่เฉียนซีด้วย
ไม่นานนักเขาก็ค่อย ๆ ปล่อยมือนางออก นางตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “มู่อี รีบพาท่านอาเล็กหนีไปให้เร็วที่สุด!”
“ท่านผู้นำ แล้วท่านล่ะ ?” มู่อีกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง
“ที่จิ่วเยี่ยต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะมาช่วยข้าไว้ ตอนนี้สถานการณ์ของเขาไม่สู้ดีนัก ในฐานะที่ข้าเป็นหมอปรุงยาคนหนึ่ง ข้าจะดูอาการเขาหน่อย บางทีอาจจะพอมีทางแก้ไขได้บ้าง”
“ท่านผู้นำ แต่มันอันตรายมาก!” องครักษ์เงาต่างพากันกระวนกระวายใจ
“เจ้ารีบไปเร็ว!” มืออันทรงพลังผลักนางออกอย่างแรง
“ท่านผู้นำ…” มู่อีในตอนนี้นั้นกระวนกระวายยิ่งนัก
พวกเขาไม่ทันหนีไป ทันใดนั้นลวดลายสีดำก็โผล่ออกมาจากร่างของจิ่วเยี่ยเป็นกระแสน้ำวนรุนแรงล้อมรอบตัวเขาไว้
จวินโม่ซีกล่าวขึ้น ใบหน้าแสดงเพียงความตกใจ “นั่นมันอะไรกันแน่ ?”
เมื่อชิงอิ่งเห็นภาพนี้ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย เขากล่าวเบา ๆ “เหมือนว่าข้าจะเคยเห็น แต่ข้านึกไม่ค่อยออก”
ฉากตรงหน้านี้เหนือจินตนาการอย่างแท้จริง
“อ๊าก!” เสียงคำรามเพราะความเจ็บปวดดั่งสนั่น
มู่เฉียนซีขมวดคิ้วแน่น นึกฉงนสงสัย เงาดำนั่นมันคืออะไรกันแน่ที่สามารถทำให้คนเย็นชาไร้ความรู้สึกมาโดยตลอดอย่างจิ่วเยี่ยเจ็บปวดถึงเพียงนี้ได้
มู่เฉียนซีหยิบขวดยาออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน นางเตรียมยาหลากหลายชนิดรวดเร็วในชั่วพริบตา
“ยาแก้ปวด ยากล่อมประสาท ยานอนหลับ ตอนนี้คงมีเพียงยาสามชนิดนี้แล้วล่ะ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องลองดู หวังว่าคงจะช่วยลดความเจ็บปวดของเขาได้บ้างนะ” มู่เฉียนซีพึมพำกับตัวเอง
สีหน้าของจวินโม่ซีเคร่งขรึมลง เขากล่าว “มู่เฉียนซี นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร ? ถึงแม้ว่ายาของเจ้าจะวิเศษ แต่ข้าก็ไม่คิดว่ามีประโยชน์ในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้หรอก”
— ตูม! ตูม! —
ภูเขาที่พวกเขาเหยียบอยู่นั้นกำลังจะพังทลายลง ทำให้พวกเขาไม่สามารถทรงตัวได้
มู่อีกล่าวขึ้น “ท่านผู้นำ เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ด่วนเลย มิเช่นนั้นมีหวังต้องถูกฝังกลบทั้งเป็นอยู่ที่นี่แน่ ๆ”
มู่เฉียนซีมองบุรุษที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังชั่วร้ายนั่น นางพูดอะไรไม่ออก เดิมทีคิดว่าที่ผู้คนกล่าวขานกันว่าเกรงกลัวจิ่วเยี่ยมาก คงเป็นเพียงคำพูดที่เกินไป ตั้งใจจะประณามให้เขาเป็นปีศาจที่ดูน่ากลัว สำหรับตัวนาง นางคิดไม่ถึงว่าจิ่วเยี่ยจะทำเรื่องที่น่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ แต่ถึงกระนั้นนางก็จะลองดู
ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจะเข้าไปใกล้จิ่วเยี่ย จู่ ๆ ร่างสีเขียวเข้าขวางหน้านางไว้ เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “อย่าเข้าใกล้เขา เขาอันตรายมาก”
— เปรี้ยะ! —
พลังทำลายล้างพุ่งเข้าหาชิงอิ่ง มันตบเขาอย่างแรง เวลานี้จิ่วเยี่ยปรากฏตัวอยู่ต่อหน้ามู่เฉียนซี สองมือยื่นไปบีบคอนางอย่างแรง
เมื่อมู่อี จวินโม่ซี และทุกคนเห็นเช่นนี้ก็เจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก น่าเศร้า พวกเขาทำได้เพียงกัดริมฝีปากแน่น มิกล้าเปล่งเสียงแต่อย่างใด เพราะพวกเขากลัวว่าหากส่งเสียงออกไปจิ่วเยี่ยผู้ที่เวลานี้เสียสติ โหดร้ายราวภูตผีปีศาจจะพลั้งมือทำร้ายนางจนตาย
มู่เฉียนซีรู้สึกหายใจยากลำบากและวิงเวียนศีรษะอย่างยิ่ง นี่จิ่วเยี่ยแค้นที่มิอาจฆ่านางได้ในครั้งแรกที่เจอกัน เพราะ… เพราะนางมีอาถิงอยู่หรืออย่างไร ? เขาถึงได้เป็นเช่นนี้
ขณะที่มู่เฉียนซีมิอาจทนได้นั้น จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าเงาดำลงมาปกคลุมนางไว้ ทันใดนั้นนางรู้สึกประหนึ่งได้ฟื้นตื่นขึ้นมา
“มู่… เฉียน… ซี…” เสียงเรียกชื่อนางดังขึ้นเบา ๆ
“อือ… อือ…” ดวงตาของนางเบิกกว้าง ตาดำงามแทบถลน นางมองจิ่วเยี่ยด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
มู่อี จวินโม่ซี และคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นี่ ครั้งนี้มัน…
ท่านผู้นำตระกูลมู่… มู่เฉียนซี… โดนปีศาจร้ายซวนหยวนจิ่วเยี่ยจูบ
‘นางถูกเยี่ยอ๋องผู้โหดร้ายจูบอย่างบ้าคลั่ง มันช่างแปลกประหลาดเสียจริง!’
จูบนี้ของจิ่วเยี่ยนั้นช่างดูบ้าคลั่งยิ่งนัก ไม่มีกลยุทธ์และทักษะในการจูบแต่อย่างใด เขาจูบนางราวกับว่าต้องการระบายอะไรบางอย่างที่อัดอั้นตันใจ
เขาอยากจะได้นางมาครอบครอง ?
หรือต้องการจะขออะไร ?
ฉากนี้เป็นฉากที่ต้องจดจำไปตลอดกาล!
สายลมในยามรัตติกาลพัดผ่านเช่นเคย ทำให้ชุดคลุมดำสีเข้มกับชุดยาวผ้าแพรสีม่วงพาดพันกัน ชุดคลุมของทั้งสองพันกันแทบจะแยกจากกันไม่ออก จูบนี้ราวกับยาวนานชั่วฟ้าดินสลายก็มิอาจแยกทั้งสองออกจากกันได้
.