ซวนหยวนหลี่เทียนไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไรกับมู่เฉียนซี แต่เมื่อเขาคิดถึงเรื่องที่นางจะต้องไปแต่งกับคนอื่น เขาก็โกรธแทบคลั่ง!
สำหรับซวนหยวนจือ มิใช่เขาไม่รักหลี่อ๋องโอรสชาย แต่ว่าเรื่องตอนนี้ใกล้จะจบแล้ว นี่เป็นแผนการสมบูรณ์แบบที่สุดที่จะทำให้ตระกูลมู่ถึงกาลพินาศ แล้วเขาจะยอมให้โอรสชายของตนเองมาทำมันพังได้อย่างไร ? ซวนหยวนจือกล่าววาจาเย็นชา “หุบปากเสีย ที่นี่ไม่มีที่ให้เจ้าพูด!”
“ฝ่าบาท ข้า…” ในตอนนี้เอง เยวี่ยเจ๋อก้าวออกมา เขาไม่ต้องการให้พี่ใหญ่ของเขาติดกับดักฮ่องเต้ ใจเขารู้ดีว่าอันที่จริงมีเรื่องส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวอยู่บ้าง เขานั้นไม่อยากให้พี่ใหญ่ไปแต่งงานกับจิ่วเยี่ยเลย
ทว่า… เขายังไม่ทันพูดออกมา มู่เฉียนซีกล่าวตัดหน้า “เจ้าถอยไปเถอะ”
“พี่ใหญ่!”
“ถอยไป ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงดุดัน
เยวี่ยเจ๋อรู้สึกว่าพี่ใหญ่กําลังโกรธ จึงทำได้เพียงแค่ถอยออกไป
มู่เฉียนซีเงยหน้ามองซวนหยวนจือ “ฝ่าบาท หากข้าไม่ทำตามพระราชโองการ หากข้าไม่แต่งงานล่ะจะเป็นเช่นไร ?” ซวนหยวนจือกล่าว “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกเองถึงความต้องการสองประการ จิ่วเยี่ยตรงตามที่เจ้าต้องการทุกประการ ซีเอ๋อร์ หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหลอีกครั้ง ข้าก็มิอาจไว้หน้า อำนาจราชวงศ์ซวนหยวนมิใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถท้าทายได้”
ในตอนนั้นมู่เฉียนซีไม่ได้คิดให้ละเอียดถี่ถ้วนในเรื่องคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นสามี ในบรรดาบุตรชายของซวนหยวนจือ นางลืมไปเสียสนิทว่ามีผู้หนึ่งที่มีคุณสมบัติถึงมาตรฐานสองข้อนั้น น่าเจ็บใจนัก! ก่อนหน้านี้นางมองข้ามมาโดยตลอด จิ่วเยี่ยเป็นบุตรชายของฮ่องเต้หนังหน้าหนาแห่งแคว้นจื่อเยี่ย หากนางขัดพระราชโองการ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้ซวนหยวนจือลงมือกับตระกูลมู่ได้อย่างชอบธรรม แม้ตอนนี้ความแข็งแกร่งของท่านอาเล็กจะอยู่ในระดับสามของจักรพรรดิลี้ลับแล้ว แต่นางก็ไม่ต้องการให้ตระกูลมู่ที่กว่าจะทำให้มั่นคงได้ต้องมาเผชิญความยากลำบาก นางจะไม่ยอมให้ตระกูลตนต้องมาเละเทะเพราะหมากเกมนี้ของราชวงศ์เด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม มันก็แค่การหมั้นหมาย นางเพียงต้องรับพระราชโองการไว้ก็พอแล้ว รอให้ซวนหยวนจือติดกับก่อน แล้วค่อยให้จิ่วเยี่ยมาจัดการแก้ปัญหาให้ก็จบ
มู่เฉียนซีรู้สึกสดใสขึ้นมาในทันที ‘เหอะ! ฮ่องเต้ซวนหยวนจือเอ๋ย ข้าจะปล่อยให้ท่านได้ใจไปสักพักก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวก็จะถึงคราวที่ท่านต้องร้องขอความเมตตาแล้ว!’
มู่เฉียนซีมองซวนหยวนจือ กล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมีพระมหากรุณาธิคุณยากจะที่จะทดแทน มู่เฉียนซีขอรับพระราชโองการ”
ซวนหยวนจือยิ้ม “อย่างนี้สิ ถูกต้องแล้ว”
เกากงกงส่งพระราชโองการให้แก่มู่เฉียนซี แม้ว่าซวนหยวนหลี่ซางจะถูกมู่เฉียนซีปฏิเสธเสียจนสีหน้าซีดขาว ร่างกายเบาหวิวดูล่องลอยไร้วิญญาณ แต่เมื่อนึกได้ว่าพรุ่งนี้มู่เฉียนซีจะไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์อีกต่อไป เขาก็รู้สึกตื่นเต้นกว่าใคร ๆ เขากอดมู่หรูเหยียนไว้ ปากก็กล่าวขึ้นเบา ๆ “หรูเหยียน ข้ารักเจ้ามาตลอด และต่อไปข้าก็จะรักเพียงเจ้าคนเดียว”
“อา… เหตุใดพระองค์ถึงได้ดีกับหรูเหยียนนัก” มู่หรูเหยียนนั้นซาบซึ้งใจเป็นที่สุด
แต่ซวนหยวนหลี่เทียนตกอยู่ในภาวะอารมณ์หม่นหมองไม่สบอารมณ์ เขารู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านใจ อยากจะพุ่งเข้าไปฉีกพระราชโองการนั่นออกเป็นชิ้น ๆ เสียจริง
สีหน้าของซวนหยวนชิงอวิ๋นยังคงสงบนิ่งราวรูปปั้นเหมือนดั่งก่อนหน้า เหมือนกับว่าการปะทะบาดหมางใจกันก่อนหน้านี้ ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรกับเขาแม้แต่น้อย
เยวี่ยเจ๋อมองมู่เฉียนซีพี่ใหญ่ตน ในใจพลันเจ็บแปลบ ๆ ขึ้นมา ดูเหมือนว่าตนกับมู่เฉียนซีจะห่างกันไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ
ซวนหยวนจือกล่าวขึ้น “ซีเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าหมั้นกับจิ่วเยี่ยแล้ว เช่นนั้นสินสอดทองหมั้นที่เจ้าเอาคืนไปก็ควรส่งกลับมาเพื่อเตรียมการสำหรับงานมงคลของพวกเจ้าทั้งสอง”
ผู้คนในที่นั้นล้วนแต่ขมวดคิ้วมุ่น ในที่สุดฝ่าบาทก็ขายบุตรชายไปจนได้ ตอนนี้ได้เวลาที่จะเก็บเงินแล้ว อันที่จริงการกระทำนี้จัดได้ว่าน่าไม่อายเหลือหลาย หนังใบหน้าไม่หนาจริงคงทำไม่ได้
มู่เฉียนซี “ขอฝ่าบาทโปรดวางใจ พรุ่งนี้ข้าจะเตรียมไว้ให้พร้อม รับรองว่าเพียงพอสำหรับประมูลยาจักรพรรดิหวงหลัวตานระดับเจ็ดแน่นอน ส่วนส่วนที่เหลืออยู่นั้น ตระกูลมู่ยังมีความจำเป็นต้องใช้มันอยู่”
“นั่นก็ดีแล้ว เพียงพอสำหรับซื้อยาหวงหลัวตานก็เพียงพอแล้ว” ซวนหยวนจือยิ้ม กล่าวอย่างพอใจ
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างก้าวร้าว “ฝ่าบาททรงสนใจแต่สินสอดทองหมั้น โอรสของท่านคิดจะอภิเษกสมรสกับข้ามู่เฉียนซี กลับไม่มีสินสอดทองหมั้นเพียงพอให้ข้าบ้าง นี่มิใช่เป็นการดูถูกตระกูลมู่ของของข้าไปหน่อยรึ ?”
เมื่อก่อนนั้นหัวใจของมู่เฉียนซีทุ่มเทไปให้ซวนหยวนหลี่เทียนอย่างสุดตัว นางต้องการตบแต่งตนเข้าราชวงค์ซวนหยวนเพราะรักหลี่อ๋อง ไม่พูดเปล่า ยังขนเอาสินสอดทองหมั้นมากมายไปให้ทางราชวงศ์เป็นราคาสูงเสียดฟ้า และนางยังไม่เคยกล่าวถึงสินสอดที่ราชวงค์ควรมอบให้แก่ฝั่งนางเลย
เมื่อโอรสแห่งราชวงศ์จะแต่งงานทั้งที จะไม่มีสินสอดทองหมั้นให้ฝ่ายหญิงบ้างเลยได้อย่างไรกัน ?
ทุกคนในที่นั้นล้วนแต่กลั้นลมหายใจจนใบหน้าบ้างเขียวคล้ำบ้างดำแดง เดิมทีคิดว่าการที่ฝ่าบาททรงปะทะกับตระกูลมู่ในครั้งนี้ คงได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เป็นแน่แท้ กลับคาดไม่ถึงว่าในตอนสุดท้าย ผู้นำตระกูลมู่เองก็จะสวนกลับเอาคืนในแบบเดียวกัน
สินสอดทองหมั้นจากตระกูลมู่ไม่เล็กน้อยอย่างแน่นอน… ถ้าหากสินสอดทองหมั้นจากทางราชวงศ์มาแบบตระหนี่ถี่เหนียวละก็ มันคงจะดูไม่เข้าท่า
ซวนหยวนจือเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้น “เหมืองวิญญาณแห่งเดียวในแคว้นจื่อเยี่ยของข้า ให้เป็นสินสอดแก่เจ้า เป็นเช่นไรล่ะ ?”
“ฝ่าบาท!”
โอวหยางจื่อโพล่งออกมา กรุ่นโกรธแทบลมจับ เขาอยากได้สิทธิ์ในการขุดหยกที่เหมืองวิญญาณแห่งนี้มาแต่ไหนแต่ไร ก็ไม่เคยได้รับสิทธิ์นั้น มาวันนี้ซวนหยวนจือจะยกเหมืองวิญญาณแห่งนั้นให้เป็นสินสอดแก่มู่เฉียนซี
มู่เฉียนซี “เช่นนั้นตกลง! พรุ่งนี้ตอนที่ข้านำสินสอดเข้ามาส่งมอบที่วังหลวง ขอให้ฝ่าบาทมอบโฉนดที่ดินของเหมืองวิญญาณให้แก่ลูกน้องของข้า วันนี้ข้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อย เช่นนั้นขอตัวก่อน! มู่เฉียนซีถือพระราชโองการไว้ นางกลับออกไปโดยไม่สนใจสีหน้ายับยู่ยี่ของซวนหยวนจือ
“พี่ใหญ่!” เยวี่ยเจ๋อร้องเรียกก่อนจะตามนางออกไป
หลังจากออกจากวังหลวงมา มู่เฉียนซีก่นด่าอยู่บนรถม้า ไอ้จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เอ๊ย! บังคับขายลูกชายหน้าด้าน ๆ แล้วยังมีการเปลี่ยนผู้ที่จะถูกขายอีก เล็งเป้าที่ข้านักนะ อยากตายรึอย่างไร ?!”
เยวี่ยเจ๋อจ้องมองมู่เฉียนซี “ไม่เป็นไรนะพี่ใหญ่”
มู่เฉียนซี “อืม ข้าไม่เป็นไร วันดี ๆ ของเขานั้นเหลืออีกไม่มากหรอก หากเขาอยากเล่นกับข้านัก ข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนเขาเอง ข้าแค่ไม่ชอบการที่เขาขายบุตรชายอย่างไร้ยางอายเท่านั้น”
เมื่อมู่เฉียนซีกลับมาถึงจวนตระกูลมู่ก็พบว่าจิ่วเยี่ยยืนอยู่ในห้องของนาง ภายใต้แสงจันทร์ส่องเป็นประกาย ร่างสูงยาวกอปรกับเงาที่ทอดจากร่างจิ่วเยี่ยลงมานั้นดูมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ดวงตาสีฟ้ายังคงเยือกเย็นอย่างเคย เขามองมาที่นาง กล่าวขึ้น “เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า เป็นว่าที่ชายา”
มู่เฉียนซีพึมพํา “ซวนหยวนจือประกาศพระราชโองการเร็วเสียเหลือเกิน เหอะ!”
“จิ่วเยี่ย เจ้าอย่าได้คิดจริงจังกับพระราชโองการนั้นเลย ซวนหยวนจือขายบุตรชายตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าเองเพิ่งเคยเจอฮ่องเต้ประเภทนี้เป็นครั้งแรก” มู่เฉียนซีกล่าวพลางเตรียมเผาราชโองการนั้น แต่… แขนของนางกลับถูกจิ่วเยี่ยคว้าเอาไว้
“อย่าเผา… ต่อไปนี้ข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้า” เสียงนุ่มนวลผิดไปจากเคยกล่าวออกมา ดวงตาสีฟ้าราวน้ำแข็งจับจ้องมู่เฉียนซีอย่างตั้งใจ
มู่เฉียนซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ช้าก่อนจิ่วเยี่ย เจ้าคงจะไม่ได้เชื่อซวนหยวนจือแล้วจะแต่งงานกับข้าจริง ๆ หรอกใช่หรือไม่ ?”
แม้ว่าจิ่วเยี่ยนั้นจะเคยช่วยเหลือนางมาหลายครั้ง ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายนาง แต่สำหรับเรื่องแต่งงานกับเขา มันเป็นเรื่องที่นางไม่เคยคิดฝันมาก่อน สําหรับนาง การสัมผัสกับความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงมีความเกี่ยวข้องต่อการแต่งงานโดยตรง ฝันร้ายเมื่อก่อนหน้านั้นที่นางได้ลืมไปแล้วกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
ดวงตาดำของมู่เฉียนซีดูลึกล้ำ เปรียบได้เหมือนกับตาของงูและแมงป่องที่เยือกเย็น ทำให้จิ่วเยี่ยเองก็เกิดอาการตกใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่หรอก” จิ่วเยี่ยกล่าว ซวนหยวนจือยังไม่มีคุณสมบัติที่จะทำให้เขาเชื่อฟัง หากเขาอยากจะแต่งงาน เขาก็จะแต่งเองไม่ต้องให้ใครมาบังคับ
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึง… ?” ดวงตางามของมู่เฉียนซีฉายแววสงสัย
“เป็นคู่หมั้นของข้า เช่นนั้นก็จะไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรเจ้าอีกแล้ว ไม่ดีหรือ ?” เขาตอบกลับ …แท้จริงแล้วเขาคิดเปลี่ยนวิธีการปกป้องนางให้ครอบคลุมขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
มู่เฉียนซียิ้มเจ้าเล่ห์ กล่าวขึ้น “หึ ๆ ก็ดี แม้ตอนนี้จะไม่มีทางเลิกล้มการหมั้น แต่ต่อไปนี้มีองค์ชายจิ่วเยี่ยที่เป็นคู่หมั้นคอยคุ้มหัวอยู่ก็ไม่เลวเลย! เช่นนั้นต่อไปก็ต้องขอให้เจ้าช่วยดูแลข้าแล้ว กรุณาด้วย”
แม้น้ำเสียงของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าจะดูไม่ระวังปากระวังคำ เหมือนนางกำลังพูดล้อเล่น แต่อันที่จริงนางยอมรับว่าเขามีคุณสมบัติเป็นคู่หมั้นของนางได้อย่างแท้จริง
จิ่วเยี่ยรู้สึกดีอยู่เช่นกัน พยักหน้าเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ “ว่าที่ภรรยาของข้า แน่นอนว่าข้าต้องดูแลเป็นอย่างดี”
มู่เฉียนซีถามขึ้น “อื้ม จิ่วเยี่ย ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่ ?”
“ไม่มี ข้าได้ยินข่าว เพียงแค่แวะมาเท่านั้น” จิ่วเยี่ยกล่าว ไม่รู้เพราะเหตุใดเช่นกันแต่กลิ่นอายความเยือกเย็นแผ่ออกมาจากกายเขาอยู่ตลอดเวลา เขาไม่ใช่อยากจะแผ่ความเยือกเย็นใส่สตรีตรงหน้า ทว่าบางทีมันเป็นไปเอง
“วันนี้ข้าถูกซวนหยวนจือวางแผนกลั่นแกล้ง ต่อไปนี้ข้าจะเอาคืนเขาให้หนัก ถ้าข้าทำเช่นนั้น ไม่ได้กระทบอะไรกับเจ้าใช่หรือไม่ ?” มู่เฉียนซีขมวดคิ้วถามขึ้น
หากว่าวันนี้ ซวนหยวนจือมิได้พระราชทานงานสมรสให้แก่นาง นางคงลืมไปแล้วว่าจิ่วเยี่ยเองก็เป็นโอรสของเขา
.