ราชาแห่งภูตและราชายอดยุทธ์ทั้งเก้าสิบเก้าร่างรวมพลังกันเพื่อต่อสู้ อีกทั้งยังอาวุธลับอันแปลกประหลาดที่ได้ทำลายกวาดล้างราชายอดยุทธ์ของตระกูลโอวหยางไปทั้งหมด
“พรวด!”
โอวหยางฉีกระอักเลือดคำโต ใบหน้าเขาซีดขาวราวกระดาษ
“มู่เฉียนซี เจ้ามันทำเกินไปแล้ว”
“ข้าก็แค่ตอบโต้ท่านด้วยวิธีการเดียวกับท่านก็เท่านั้น” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
— ตูม! —
โอวหยางฉีบาดเจ็บสาหัส แต่หัวสมองกลับคิดร้าย ฉวยโอกาสคว้ามือไปหยิบอาวุธลับจากองครักษ์เงาของตนมาแล้ววิ่งไปยังมู่เฉียนซี “ฮ่า! ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะลากเจ้าไปกับข้าด้วย!”
ขณะที่เขากำลังจะเข้าไปใกล้มู่เฉียนซีนั้น เสียงแมวเหมียวฟังดูน่ารักพลันดังขึ้น สร้างความประหลาดใจอย่างมาก
“เมี้ยว! ใต้หล้านี้ ข้าเป็นผู้เดียวที่อยู่ยงคงกระพัน!”
ทันทีที่วาจาอันเย่อหยิ่งนี้ดังออกมาจากปากเจ้าแมว แสงสีขาวนุ่มนวลสว่างวาบขึ้น
— ขวับ! —
กรงเล็บอันแหลมคมของแมวน้อยข่วนบาดลึกเข้าที่คอของโอวหยางฉี เลือดสีแดงสดไหลย้อยลงมาจากคอโอวหยางฉีทันที เขาเบิกตากว้าง ดวงตาแทบจะถลนออกมาก่อนจะอุทานด้วยเสียงแหบพร่า “สัตว์วิญญาณระดับเจ็ด!”
‘ก่อนหน้านี้ไม่นาน นางมู่เฉียนซีมีแค่สัตว์วิญญาณระดับสามมิใช่รึ ? เหตุใดตอนนี้ นางถึงได้มีสัตว์วิญญาณระดับเจ็ดแล้วล่ะ ?!’
มีเพียงสัตว์วิญญาณระดับเจ็ดขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถพูดได้ อู๋ตี้หลับใหลไปเป็นเวลานาน มันได้กลืนกินผนึกวิญญาณระดับสูงที่มู่เฉียนซีซื้อไว้เป็นจำนวนมาก จนในที่สุดความแข็งแกร่งของมันพุ่งขึ้น กลายเป็นสัตว์วิญญาณระดับเจ็ด
“เมี้ยว!”
อู๋ตี้กลับเข้าไปในอ้อมแขนของมู่เฉียนซี ทำท่าทางราวกับผู้ที่มีความดีความชอบ
— พลั่ก! —
ร่างของโอวหยางฉี ท่านผู้นำรองแห่งตระกูลโอวหยางในตอนนี้นั้น ล้มพับลงไปกับพื้นอย่างน่าสังเวช ลมหายใจกระตุกเฮือกสุดท้าย แววตาไร้สัญญาณชีวิต
“ท่านผู้นำรอง!”
หัวหน้าคนสำคัญของพวกเขาตายลงไปเสียแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ก็อาการสาหัส ภายในชั่วพริบตา กลุ่มลอบสังหารของตระกูลโอวหยาง ถูกมู่เฉียนซีกวาดล้างหมดไม่มีเหลือแม้แต่คนเดียว
มู่เฉียนซีกกล่าวอย่างลำพองตน “เหอะ! นึกว่าจะเก่งกาจอย่างฝีปาก ที่แท้ฝีปากกล้าความสามารถน่าอับอาย องครักษ์เงา! นำศพโอวหยางฉีผู้นี้กลับไปด้วย หลังจากกลับไปถึง ข้าจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่นี้ให้กับตระกูลโอวหยาง”
“ขอรับ!”
……
“เวลาก็ล่วงเลยเป็นเดือน ๆ แล้ว เหตุใดทางด้านฉีเอ๋อร์ยังไม่ส่งข่าวอะไรมาเลย” โอวหยางจูกล่าวถามขึ้น ใบหน้าหม่นดำคล้ำเครียด ทันทีที่กล่าวจบ มีข้ารับใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามารายงานอย่างตระหนกตกตื่น
“ท่านผู้นำ มีบางอย่างส่งมาให้จากจวนตระกูลมู่ บอกว่าเป็นของขวัญให้ท่านไปดูด้วยตาตัวเองขอรับ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ? ของขวัญส่งมาจากจวนตระกูลมู่เช่นนั้นรึ ? สิ่งใดกัน ?” กล่าวจบโอวหยางจูรีบไปเปิดออกดู ยังไม่ทันไรกระอักเลือดคำโตออกมาทันที
“พรวด!”
น่าตกใจนัก! ของขวัญที่ว่าเป็นโลงศพ เลวร้ายไม่พอภายในโลงศพนี้ยังเป็นร่างน้องชายของเขา โอวหยางฉี
“ฉีเอ๋อร์!” โอวหยางจูตะโกนก้อง พลันร้องไห้สะอึกสะอื้นแทบไม่เหลือเค้าความเป็นผู้นำตระกูล ความโศกเศร้าเกาะกุมจิตใจ
“มู่เฉียนซี มู่อวู่ซวง ตระกูลมู่ทั้งตระกูล พวกเจ้าสมควรตายนัก! สมควรตาย!” ดวงตาโอวหยางจูแดงก่ำด้วยความเกลียดชังโกรธแค้น ความเกลียดชังอย่างที่สุดนี้เปรียบได้กับความเกลียดชังเข้ากระดูกดำ
ทว่า… ในเวลานี้สถานการณ์ของตระกูลมู่ตรงข้ามกับตระกูลโอวหยางอย่างสิ้นเชิง มู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่ได้ไปขอให้ราชาโอสถรักษาอาการเจ็บป่วย นางกลับมาอย่างปลอดภัย ท่านผู้นำตระกูลมู่หายดีกลับมา ตระกูลมู่ประหนึ่งได้รับการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายจิตใจให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
มู่เฉียนซีกลับมาถึงจวน นางรีบไปที่เรือนอวู่โยวทันที ดูเหมือนว่ามู่อวู่ซวงจะรู้ล่วงหน้าว่านางจะมา เขาออกไปรอนางที่สวนไม้ไผ่ด้านนอก
มู่เฉียนซีมองท่านอาผู้อ่อนโยนและไร้เทียมทานดั่งเทพผู้เป็นเซียนในทั้งใต้หล้า จากนั้นนางก็วิ่งไปหาท่านอา กล่าวขึ้นว่า… “ท่านอาเล็ก ข้าหาสมุนไพรวิญญาณที่จะรักษาดวงตาของท่านได้ครบหมดแล้ว ไม่นานข้าจะนำมันมาปรุงยาแก้พิษให้ท่านได้แน่”
มู่อวู่ซวงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องรีบหรอก ซีเอ๋อร์เพิ่งจะกลับมาถึง พักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนไม่ดีกว่าหรือ ? ข้ามองไม่เห็นมาสามปีแล้ว รออีกหน่อยมิเป็นปัญหา”
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวขึ้น “ท่านอาเล็ก ท่านรอได้ แต่ข้ารอไม่ได้”
“ซีเอ๋อร์เชื่อข้าเถอะ พักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อน” มู่อวู่ซวงยังคงยืนกรานเช่นเดิม “เจ้าเดินทางมาตั้งไกล พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนแล้วค่อยเริ่มปรุงยาก็ย่อมได้ หากร่างกายพร้อม เจ้าก็จะปรุงยาแก้พิษออกมาได้ดีที่สุดมิใช่รึ ?”
มู่เฉียนซีใคร่จะบอกกับท่านอาเสียเหลือเกินว่าร่างกายตนนั้นแข็งแรงดี พร้อมสำหรับการปรุงยาอย่างมาก แต่ว่า… เมื่อเห็นสีหน้าของท่านอาที่ดูรักและห่วงใย นางทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ
“ก็ได้เจ้าค่ะท่านอา ข้าพักผ่อนก่อนก็ได้ ท่านอาเตรียมตัวให้ดีนะเจ้าคะ ข้าจะไม่ทำให้ท่านอาผิดหวัง” กล่าวจบมู่เฉียนซีก็รีบกลับไปพักผ่อน
ในค่ำคืนนั้น นางนอนหลับโดยไม่ฝันอะไรใด ๆ ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่จนถึงเช้าวันใหม่ ตื่นขึ้นมาไม่รีรอ รีบรุดไปยังห้องปรุงโอสถ
หลิงซือหลินกล่าวขึ้น “ท่านผู้นำขอรับ สิ่งที่ท่านผู้นำได้นำมา ข้าจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้วขอรับ”
มู่เฉียนซีตะโกนสั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “องครักษ์เงาทั้งหลายจงฟังคำสั่งข้าให้ดี ตราบใดที่ข้ายังไม่ออกไปจากห้องปรุงโอสถ ห้ามให้ใครหน้าไหนมารบกวนข้าเป็นอันขาด”
จากนั้น นางก็ได้นำแมวน้อยผู้น่ารักออกมา อีกทั้งกล่าวกำชับ “อู๋ตี้ เจ้าเฝ้าด้านนอกให้ดี ๆ เข้าใจหรือไม่ ?”
“เมี้ยว!” อู๋ตี้พยักหน้า กระดิกหางฟู ๆ ตอบรับ
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปในห้องปรุงโอสถ รวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อที่จะเริ่มปรุงยาแก้พิษให้กับมู่อวู่ซวงผู้เป็นอาสุดรัก นางไม่มียาลูกกลอนที่จะรักษาดวงตาของท่านอาได้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงปรุงยาแผนปัจจุบันขึ้นมาใหม่เพื่อรักษาดวงตาท่านอาเล็ก
หลังจากที่นางได้ปรุงยาและได้ทดลองยาครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายได้ยาออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด นางก็วางมือ
มู่เฉียนซีค่อย ๆ เทยาลงในขวดแก้วใสด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด จากนั้นเปิดประตูออกไป ขมวดคิ้วเล็ก ๆ …เวลานี้ท้องนภามืดลงแล้ว
หลังจากที่นางใจจดใจจ่ออยู่กับการปรุงยามาเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม สีหน้าของนางกลับมิได้ดูเหนื่อยล้าแต่อย่างใด ในทางกลับกัน นางยังดูสดใสมีชีวิตชีวา
‘อีกไม่นานดวงตาของท่านอาเล็กก็จะกลับมามองเห็นชัดเจนอีกครั้ง’
“ไป! ไปที่เรือนอวู่โยวกัน”
…
มู่เฉียนซีมาถึงเรือนอวู่โยว แม้ว่าตอนนี้จะเป็นยามราตรีที่ท้องฟ้ามืดเป็นสีดำทมิฬ ภายในห้องมู่อวู่ซวงกลับยังสว่างจ้า
— ก๊อก ๆ ๆ! —
มู่เฉียนซีเคาะประตูเบา ๆ
เสียงมู่อวู่ซวงดังลอดประตูออกมา เขากล่าวพร้อมแย้มรอยยิ้มด้วยเพราะรู้ว่าหลานสาวผู้เป็นที่รักมาหาแล้ว “ซีเอ๋อร์มานี่มา มาหาอา เจ้าไม่จำเป็นต้องเคาะประตูเลย”
มู่เฉียนซีเดินเข้าไป มือก็หยิบขวดยาแก้พิษออกมา ปากก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอา ข้าปรุงยาแก้พิษได้แล้ว”
ภายในขวดแก้วใส มียาเหลวสีฟ้าอ่อนบรรจุอยู่ มือของมู่อวู่ซวงสัมผัสกับความเย็นของขวดแก้ว จากนั้นถามขึ้น “ยานี่หยดใส่เข้าไปในดวงตาเลยหรือไม่ ?”
“มิใช่เจ้าค่ะ เราต้องใช้เข็มยา” มู่เฉียนซีส่ายหน้า นางหยิบเข็มยามาสองเข็ม เอาเข็มยานั้นดูดยาในขวดไปครึ่งขวด ใจสั่นเล็กน้อยเมื่อมองเข็มยาที่เย็นเยียบนั้น
เมื่อคิดว่ามันจะต้องแทงเข้าไปทะลุดวงตาของนายท่านสาม องครักษ์เงาที่คอยปกป้องมู่อวู่ซวงคิดกังวล ทนไม่ได้ ต้องห้ามท่านผู้นำตระกูลมู่มู่เฉียนซีไว้
“ท่านผู้นำ เอ่อ… นั่น… นั่นมันอันตรายเกินไปนะขอรับ” องครักษ์เงากล่าวตะกุกตะกัก
สิ่งที่ท่านผู้นำตระกูลมู่มู่เฉียนซีบอกให้ทำ เขารู้ดีว่านายท่านสามผู้มีความสามารถและปราดเปรื่องของเขานั้นยอมทำตามเป็นแน่ แต่การที่เอาเข็มยาแทงเข้าไปในดวงตาเช่นนี้มันมิใช่เรื่องเล่น ๆ!
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นว่า “เข็มยาของข้าจะแทงเข้าที่เนื้อเยื่อดวงตาเท่านั้น มิใช่แทงเข้าไปในลูกตาโดยตรง ไม่เป็นอันตรายแน่นอน อีกอย่าง หากข้าไม่มั่นใจในยาของข้าเต็มสิบส่วน ข้าไม่มีวันเอามาใช้กับท่านอาเล็กของข้าหรอก”
“เจ้าออกไปก่อน” มู่อวู่ซวงสั่งองครักษ์เงา น้ำเสียงเคร่งขรึมแสดงอำนาจ
“ขออภัยนายท่านสาม ข้าน้อยกังวลจนเกินไป ได้โปรดนายท่านอภัยให้ข้าน้อยด้วยขอรับ”
จะสงสัยใครก็สงสัยได้ แต่จะสงสัยหลานสาวผู้เป็นที่รักต่อหน้านายท่านสาม มิควรทำเป็นอันขาด องครักษ์เงาที่คอยปกป้องทำได้เพียงยอมรับผิดและออกไปจากห้องแต่โดยดี
มู่เฉียนซีเดินเข้าใกล้มู่อวู่ซวง กล่าวว่า “ท่านอา หากเข็มแทงเข้าไปแล้วท่านจะรู้สึกเจ็บได้ ขอให้ท่านอาทนสักหน่อยนะเจ้าคะ”
มู่อวู่ซวงยิ้ม กล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่เป็นไร มีซีเอ๋อร์อยู่กับข้าตรงนี้ เจ็บเพียงเล็กน้อยจะเป็นไรไปเล่า ? ไม่ได้เห็นหน้าซีเอ๋อร์มาเป็นเวลาสามปีแล้ว ข้าก็อยากเห็นซีเอ๋อร์หลานสาวข้าว่าตอนนี้จะโตแค่ไหนแล้ว”
“ท่านอา…” มู่เฉียนซีซึ้งใจ น้ำตาใสรื้นขึ้นมา ทว่านางเก็บข่มอารมณ์ไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกเรียกความกล้า
“ท่านอา… เช่นนั้นข้าจะลงมือแล้วนะเจ้าคะ”
“อืม”
มู่เฉียนซีเอาเข็มยาที่บรรจุไปด้วยยาแก้พิษเย็นฉ่ำ แทงเข้าไปในเนื้อเยื่อดวงตามู่อวู่ซวง มือบางค่อย ๆ กดยาลงไปอย่างช้า ๆ
.