มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญา “อาถิง พอได้แล้ว ให้เวลาเยียวยาเถอะ”
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมลงมือ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเขาอันตรายมากแค่ไหน ?”
รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้ามู่เฉียนซี “จิ่วเยี่ย เจ้าไม่ใช่ว่าพูดไว้แล้วรึ ? ต่อให้เขาอันตรายเพียงใด เขาก็ไม่ทำร้ายข้า และที่ผ่านมา เขาไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ทำร้ายข้าเลย ข้าจะลงมือฆ่าเขาได้อย่างไร ?”
“ขัดใจ! โอยยยย! น่าโมโหนัก น่าโมโหนัก!”
ทันใดนั้นเอง มู่เฉียนซีโดนพลังบางอย่างดึงเข้าไปสู่อ้อมกอดกว้างขวางระคนเย็นยะเยือก
“ข้าพอใจในการตัดสินใจของเจ้า”
จิ่วเยี่ย! เขามาอยู่ชิดร่างของนาง เสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความยินดีอยู่บ้าง ช่างทำให้คนที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้นตกอยู่ในภวังค์
มู่เฉียนซีกระตุกมุมปาก อาถิง ข้าโดนเจ้าหลอกเสียอนาถ พรสวรรค์ของเจ้านั้นเหมือนจะใช้ได้ไม่ง่ายเลย เกรงว่าจิ่วเยี่ยคงจะฟื้นตัวได้ตั้งนานแล้ว หากจะลงมือจริง ๆ แล้วจิ่วเยี่ยสวนกลับขึ้นมา เช่นนั้นนางคงทำได้แค่เพียงรอความตาย!
อาถิงกล่าวอย่างเขินอาย “พลังนั้นฟื้นฟูได้น้อยมาก ข้าจึงเกิดปัญหาในการควบคุมเวลาเล็กน้อย ใครให้เจ้าลงมือชักช้านักเล่า”
“เหอะ! เวลาที่เจ้าหยุดไว้มีเพียงไม่นาน นั่นไม่เพียงพอให้ข้าลงมือตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เจ้าบ้าอาถิง!”
“โอกาสมีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว เจ้าพลาดมันไปแล้ว ต่อไปหากอยากจะจัดการกับเขาอีกก็ยากแล้ว ยากแสนยาก” อาถิงเองก็รู้สึกว่าปฏิบัติการนี้ล้มเหลวไปแล้ว เมื่อพูดจบประโยคนั้น เขาก็เข้าสู่ภาวะหลับใหลเพื่อที่จะฟื้นฟูพลังของตน …ชายผู้นั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน จิ่วเยี่ยสามารถที่จะต้านทานพลังแห่งกาลเวลาได้
มู่เฉียนซีถูกใครบางคนกอดไว้ในอ้อมกอด นางกล่าว “อาถิงงี่เง่าไปบ้าง แต่อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้มีนิสัยเลวร้าย”
สีหน้าของจิ่วเยี่ยหม่นคล้ำ เขากล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “อย่าได้พูดถึงเขาต่อหน้าข้าอีก”
“ได้ ต่อไปนี้ข้าจะไม่พูดถึงเขาต่อหน้าเจ้าอีกอย่างแน่นอน” มู่เฉียนซีตอบรับกลับพลางทำท่าทางสดใส ขณะนี้เขากอดนางไว้แน่นประหนึ่งว่าอยากจะดูดนางเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อและไขกระดูกในร่างกายตน
น้ำเสียงทุ้มต่ำดังใกล้ ๆ หูมู่เฉียนซี “โชคดีที่เจ้าไม่ได้เลือกผิด”
“จิ่วเยี่ย เจ้าช่วยข้า ปกป้องข้ามาตั้งหลายครั้งครา ขอแค่จากนี้ไปเจ้าไม่ทำร้ายข้า เช่นนั้นแล้ว ข้ามู่เฉียนซีก็จะไม่ทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน เจ้ามีความสามารถที่แข็งแกร่ง ต่อให้ข้าคิดอยากที่จะทำร้ายเจ้า ก็ทำได้เพียงนึกคิดแต่ไร้ซึ่งแรงพลังที่จะทำได้ เจ้าวางใจได้เลย คำพูดคำนี้จะมีผลตลอดไปไม่มีวันหมดอายุ” มู่เฉียนซีกล่าว ทำท่ามือทาบหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจอย่างหนักแน่น
ถึงแม้ว่าหมอปีศาจมู่เฉียนซีจะไม่ใช่คนดี แต่ว่าคนที่ดีกับนาง นางก็จะดีและจริงใจต่อผู้นั้นกันเช่นกัน
“อืม” จิ่วเยี่ยส่งเสียงตอบขรึม ๆ
“จิ่วเยี่ย เจ้าปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ?” มู่เฉียนซีกล่าวพลางดิ้นรน มือของเขานั้นแข็งเสียงยิ่งกว่าเหล็กกล้า ทำให้รู้สึกเจ็บ
“ข้าขอกอดอีกสักหน่อย แสงจันทร์นั้นช่างงดงาม” จิ่วเยี่ยกล่าว เขากอดนางไว้ สายตาทอดมองชมแสงจันทร์อย่างสบายใจ
มู่เฉียนซีมองพระจันทร์เสี้ยวอย่างเบื่อหน่าย ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าองค์ชายจิ่วเยี่ยเป็นบุรุษผู้ชื่นชอบชมจันทร์ มู่เฉียนซีอยู่ในท่าเดิมนานเข้าก็แข็งทื่อ ตัวของนางนั้นกำลังจะเหน็บชาแล้ว ในที่สุดองค์ชายจิ่วเยี่ยผู้กำลังดื่มด่ำกับแสงจันทร์ก็ยอมปล่อยตัวนางเสียที
เช้าของวันที่สอง มีเสียงแหลมลอยมาในอากาศ “อ๊า! เกิดอะไรขึ้นกับสมุนไพรในสวนของข้า สมุนไพรวิญญาณของข้าล่ะ ?!”
มู่เฉียนซีหยิบสมุนไพรสองต้นออกมา แสยะยิ้ม กล่าวกับจวินโม่ซี “ยาทั้งสองชนิดนี้ที่ข้าอยากได้ ข้าเจอมันแล้ว ขอขอบคุณสําหรับความเอื้ออาทรของท่านราชาโอสถ”
จวินโม่ซีถลึงตาใส่มู่เฉียนซีสตรีตรงหน้า ต่อให้เจ้าต้องการสมุนไพรวิญญาณสองชนิดนี้ ก็คงไม่ต้องถึงขนาดที่ทำให้สวนของข้าสะอาดโล้นกระมัง ?! อ๊ากกกก เอาสวนสมุนไพรของข้าคืนมา!!!”
จวินโม่ซีอยากจะพุ่งไปข้างหน้า ยื่นมือเข้าใกล้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างกวนอารมณ์ หยิกทึ้งดึงแก้มนางอย่างหนัก ๆ สักทีสองที
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไร้เดียงสา “ท่านว่าอย่างไรนะ ? ตอนที่ข้าพบสมุนไพรวิญญาณสองต้นนี้ สมุนไพรอื่น ๆ ของท่านก็ยังอยู่ดี ข้าไม่ได้ทําอะไรบ้าคลั่งที่จะเป็นการทําลายสมุนไพรวิญญาณทั้งสวนของท่านเลย”
จวินโม่ซีขมวดคิ้วเป็นปมแน่น วาจา สีหน้า ท่าทางนางไม่น่าเชื่อถืออย่างที่สุด “เจ้าเป็นคนทําแน่นอน แต่เจ้ามัน… เจ้ามันไม่ยอมรับ”
“ต่อให้ท่านจะใส่ร้ายข้า ก็ต้องมีเหตุมีหลักฐานเสียบ้างซี่! ไม่มีหลักฐานจะมากล่าวพล่อย ๆ ไม่ได้นา ท่านไม่อยากให้สมุนไพรวิญญาณสองต้นนี้กับข้าก็กล่าวมาตรง ๆ เถิด จำเป็นที่จะต้องมาใส่ร้ายข้าเช่นนี้ด้วยหรือ หือ ?” มู่เฉียนซีกล่าวค่อนแคะพลางเลิกคิ้ว
จวินโม่ซีกรุ่นโกรธ เขากระอักเลือดออกมาจนได้ “อั่ก! เจ้า… เจ้านี่มันช่างเล่นลิ้นเล่นคำเสียจริง”
มู่เฉียนซีโบกมือไม่ใส่ใจ “ข้าได้ของที่ข้าต้องการแล้ว ข้าขอตัวไปก่อน เจ้าไม่ต้องไปส่ง”
“ไป! ไปรึ ?!” จวินโม่ซียังไม่ทันได้กล่าวอะไรอีก มู่เฉียนซีและองครักษ์เงาตระกูลมู่รีบกลับออกไปอย่างรวดเร็ว จากไปลับสายตา
จวินโม่ซีกรุ่นโกรธหนัก “นางตัวร้ายขโมยสมุนไพรข้า! กลับมานี่เดี๋ยวนี้ เจ้าต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน”
“ช้าก่อน!”
ไม่ว่าจวินโม่ซีจะตะโกนอย่างไร มู่เฉียนซีก็ไม่หันหลังกลับมา ในที่สุดเขาก็ทําได้เพียงเก็บข้าวของตนเองแล้วตามไป ปากก็ด่าก็สาปแช่งไปตลอดทางที่ไล่ตามพวกนั้น “บัดซบ! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอหญิงวายร้ายเจ้าเล่ห์เจ้ากลเช่นนี้”
บัดนี้ผู้เป็นเทพเทวดาลึกลับที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอกยากจะคาดเดาความคิดนั้น ได้กลายเป็นบุรุษใจร้อนรุ่ม วิงไล่ตามด่าคนกลางถนนไปเสียแล้ว…
ทว่านั่น หืม ? พวกเขาไม่ได้ไปที่เมือง กลับไปที่เทือกเขาชีชง หรือว่ามู่เฉียนซีนางยังต้องการสมุนไพรวิญญาณอะไรอีก ? ขณะที่กําลังไล่ตาม จวินโม่ซีก็บ่นพึมพํากับตัวเอง
พวกเขาเดินจากหุบเขาราชาโอสถไปยังเทือกเขาชีชง ไม่มีเมืองใด ๆ พวกเขาจึงทําได้เพียงตั้งค่ายพักผ่อนเท่านั้น
กองไฟลุกโชนขึ้นในเวลากลางคืน มู่เฉียนซีบอกให้พวกองครักษ์เงาไปหาไก่ฟ้าและกระต่ายป่ามา เหตุเพราะกินอาหารแห้งที่เตรียมมาไม่ค่อยจะอร่อยลิ้น นางรู้สึกอยากกินเนื้อสัตว์บ้างสักหน่อย
ในขณะที่พวกเขาไปล่าสัตว์นั้น มู่เฉียนซีใช้พื้นที่ในมิติของนางผสมสมุนไพรเป็นเครื่องปรุงออกมาได้หนึ่งขวด นางรอจนได้เนื้อสัตว์ที่ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วมา ก็นำเนื้อนั้นมาทาด้วยเครื่องปรุงรสที่นางปรุงขึ้นเอง ผ่านไปเพียงไม่นาน กลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกไปสี่ทิศสี่ทาง
เมื่อเนื้อถูกย่างจนเป็นสีเหลืองทอง นางก็โรยเครื่องปรุงเสริมรสเค็มลงไปเล็กน้อยเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว
พวกองครักษ์เงาดวงตาเป็นประกาย หนึ่งในนั้นกล่าว “ท่านผู้นำตระกูลฝึกยุทธ์ ปรุงโอสถ หรือจะหาเงินหาทองคำได้เก่งมากข้าก็คิดว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าท่านยังจะทำเนื้อย่างได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้อีก”
ท่านผู้นำตระกูลเป็นผู้ที่ก่อนหน้านี้อยู่อย่างเป็นที่เคารพสูงส่งเสมือนไกลห่างจากพวกเขา สิ่งที่นางเคยกระทำมาทั้งหมดก่อนหน้านี้มันช่างทำให้ทนไม่ได้ อยากจะมองข้ามมันไป …ณ ตอนนี้ ไม่ว่าท่านผู้นำตระกูลจะทำอะไร ก็ทำให้พวกเขานั้นรักและเคารพจนยอมพลีกายถวายชีพให้ได้
ตำแหน่งของนางที่อยู่ในใจพวกเขานั้น สูงกว่าผู้นำตระกูลมู่รุ่นก่อน ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ข้าย่างตามแบบฉบับของข้าเอง ฮิฮิ เป็นอย่างไร น่ากินหรือไม่ล่ะ ? ข้าว่าพวกเจ้าเองก็น่าจะย่างออกมาได้ดีเช่นกัน”
หากเป็นอาหารอย่างอื่น นางไม่กล้ารับประกันอย่างแน่นอนว่ารสชาติของมันจะโอชะ แต่ว่าหากเป็นเนื้อย่างของนางละก็ รสชาติเป็นหนึ่งแน่นอน เพราะนางเป็นคนที่ต้องเข้าป่าเขาลึกอยู่เป็นประจำ เพื่อที่จะประทังท้องตัวเองให้อิ่มสบาย ทักษะพวกนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ไว้
มู่เฉียนซีฉีกขากระต่ายตัวหนึ่ง ส่งไปตรงหน้าจิ่วเยี่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนจะกล่าวกับเขาว่า “ลองชิมดูสิว่าเจ้าชอบหรือไม่ ถึงแม้รสชาติมันจะเลี่ยนไปหน่อยก็เถอะ”
จิ่วเยี่ยรับขากระต่ายนั้นไปโดยไม่รังเกียจ ทันใดนั้นมีเสียงท้องร้อง ‘โครกกกก!’ ลอยมาจากที่ใดที่หนึ่ง …จวินโม่ซี!
มู่เฉียนซีอมยิ้ม กล่าวขึ้น “ฮ่า ๆ ในเมื่อหิวแล้วก็ออกมาเถอะ ท่านจะซ่อนตัวไปจนถึงเมื่อไหร่เล่า ?”
จวินโม่ซีกระโจนออกมา จ้องมองกระต่ายย่างในมือมู่เฉียนซีไม่วางตา “ข้ากินด้วย! ข้าขอกินด้วย!”
จะอย่างไรเสียนางก็ได้ลักเอาสมุนไพรของเขามาตั้งมากมาย เอาน่องกระต่ายให้เขาไปสักน่องเป็นการทดแทนน้ำใจก็คงจะหายกัน แต่ว่า… เมื่อนางกำลังจะยื่นน่องกระต่ายย่างไปให้เขานั้น มือนางพลันถูกจิ่วเยี่ยหยุดไว้
เงาร่างสีดําสนิทที่ขวางหน้ามู่เฉียนซีไว้ราวกับเทพมาร หยิบฉวยเอาขากระต่ายที่นางจะมอบให้จวินโม่ซีไป และค่อย ๆ กินช้า ๆ
แม้จวินโม่ซีจะเกรงกลัวจิ่วเยี่ย ทว่าเวลานี้หิวนัก! เขาโกรธมากจนตาลาย กัดฟันกล่าวออกไป
“เจ้า… เจ้าทำอะไรลงไป ?!”
“เจ้าอย่าได้คิดว่ามีพลังแข็งแกร่งแล้วจะเก่งกล้ากว่าผู้ใด! ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งมากก็มิสมควรมาแย่งของกินผู้อื่นไปกินหน้าตาเฉยแบบนี้ได้”
.