จิ่วเยี่ยเอามือปัดเส้นผมที่ปลิวไสวบนหน้าผากนางเบา ๆ ดวงตาสีฟ้าเยือกเย็นจ้องลึกเข้าไปในดวงตานาง เขากล่าวกับนางว่า “ไม่ว่าข้าจะเป็นใคร ข้าก็ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเจ้าได้”
ทั้งสองสบตากัน ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกคู่นั้น เผยให้เห็นความอบอุ่นขึ้นชวนให้ใจชื้น เมื่อเห็นดวงตาที่อบอุ่นเช่นนี้แล้ว ใจของมู่เฉียนซีเต้นแรงอย่างมิอาจควบคุมได้
“อ๊าก! อ๊าก! อ๊าก! นี่มันพิษบ้าอะไรกัน ?!”
เสียงร้องตะโกนแสดงความเจ็บปวดของจวินโม่ซีดังขึ้น เสียงนั้นทำลายบรรยากาศของชายจิ่วเยี่ยหญิงมู่เฉียนซีลง จวินโม่ซีอยากจะคว้ามือมู่เฉียนซีเพื่อถามให้แน่ชัดว่านี่มันพิษใดกัน ทว่าเพียงเห็นสายตาของจิ่วเยี่ยเท่านั้น ประหนึ่งกล้ามเนื้อใกล้ปากแข็งค้าง มิกล้าเอ่ยปากกล่าวสิ่งใดทั้งนั้น
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ท่านยอมรับความพ่ายแพ้แล้วรึ ?”
“ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแพ้แล้ว เจ้ารีบบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่านี่มันเป็นพิษใด ปรุงเยี่ยงไร ?”
ในตอนที่ราชาโอสถจวินโม่ซีเอ่ยปากกล่าว ปากของเขาสามารถขยับได้เพียงเล็กน้อย สิ่งที่เขาสนใจในตอนนี้หาใช่ยาแก้พิษ กลับเป็นส่วนผสมของการปรุงยาต่างหาก สมกับที่เป็นราชาโอสถยิ่งนัก!
“ดี ท่านมิอาจกลับคำได้แล้ว”
“ข้าจวินโม่ซี เป็นผู้รักษาสัจจะอยู่แล้ว”
“ยาพิษชนิดนี้ไม่มีชื่อแต่อย่างใด มันทำให้เส้นประสาทของท่านมีอาการชา การทำงานของร่างกายท่านมิอาจทำตามสมองที่สั่งการได้ จากนั้นมันจะทำให้กล้ามเนื้อเป็นตะคริว” มู่เฉียนซีอธิบายอย่างช้า ๆ
“เส้นประสาทชา หมายความว่าอย่างไรกัน ?” จวินโม่ซีถาม แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
“เส้นประสาทมีอาการชาก็คือ…”
มู่เฉียนซีอธิบาย ขณะที่จวินโม่ซีก็ฟังอย่างตั้งใจ สุดท้ายนางหยิบยาแก้พิษออกมายื่นให้จวินโม่ซี ทว่าเขากลับปฏิเสธทันควัน “ไม่ ข้าไม่ดื่มยาที่เจ้าปรุงมาแล้ว เจ้าต้องปรุงยาใหม่ให้ข้า ข้าจะดูว่าเจ้าปรุงยาแก้พิษอย่างไร ?”
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กล่าวถามออกไป “หืม ? ท่านแน่ใจรึว่าจะทนพิษได้ ?”
ทุกย่างก้าวของจวินโม่ซีในเวลานี้แข็งทื่อ ทั่วร่างของเขาทั้งเจ็บทั้งชา แต่เขาพยักหน้าอย่างเฉยเมย “ข้าทนได้อยู่แล้ว ข้าเป็นใครเจ้าลืมไปแล้วรึ ? ข้า… ราชาโอสถผู้ยิ่งใหญ่ รู้ไว้เสียด้วย!”
“ดี งั้นท่านพาข้าไปห้องโอสถท่าน ท่านจับตาดูให้ดีล่ะ”
“เชิญทางนี้ เชิญ…”
สำหรับเรื่องการปรุงยา ทั้งสองสนทนากันอย่างถูกคอ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพียงกล่าวถึงการปรุงยาก็ตื่นเต้นแล้ว มู่เฉียนซีลืมจิ่วเยี่ยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นางไปเสียสนิท
ดวงตาสีฟ้าเยียบเย็นคู่นั้นเฝ้ามองทั้งสองเดินจากไป จากนั้นความเย็นยะเยือกแผ่คลุมเปลี่ยนบรรยากาศให้เหน็บหนาวเย็นภายในชั่วพริบตาเดียว
มู่อีอดไม่ได้ที่จะบ่นพร่ำในใจ ‘ท่านผู้นำ ท่านทิ้งเยี่ยอ๋องไว้เช่นนี้แล้วก็เดินจากไปเฉย ๆ ผู้ที่ต้องอยู่กับบรรยากาศอันเย็นยะเยือกกลับเป็นพวกเรา เฮ้อ…’
บรรยากาศความเย็นยะเยือกนี้… ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
“อ้อ มันเป็นเช่นนี้นี่เอง”
“สวรรค์ เช่นนี้ก็เข้ากันได้รึ ?!”
“คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าโอสถสองชนิดนี้จะปรุงรวมกันได้ด้วย โอ้!”
จวินโม่ซีราชาโอสถผู้นี้ ได้เห็นขั้นตอนก็ตื่นเต้นส่งเสียงดังราวเด็กน้อย ทว่าลมหายใจของเยี่ยอ๋องในเวลานี้นั้น ทวีความน่ากลัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง มู่อีอยู่ใกล้ ๆ รู้สึกได้ว่าราชาโอสถผู้นี้จะต้องกลายเป็นโครงกระดูกขาวในอีกไม่นานเป็นแน่
ในที่สุดจวินโม่ซีก็ได้แก้พิษ และเขายังมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับยาพิษที่ทำให้เส้นประสาชาของมู่เฉียนซี แต่อย่างไรเสีย เขาก็ต้องทำตามสัจจะที่ให้ไว้กับนาง
“ในเมื่อเจ้าต้องการหยกจันทราชิงหลานกับดอกขี้เหล็กอำพันก็ตามข้ามา”
จวินโม่ซีหันหลัง พานางไปที่สวนสมุนไพรในทันที เขาชี้ไปที่สวนสมุนไพรก่อนจะกล่าวว่า “ขอเพียงแค่เจ้าหาหยกจันทราชิงหลานกับดอกขี้เหล็กอำพันเจอได้ก่อนฟ้าสาง ข้าก็จะมอบให้เจ้าทันที”
สวนสมุนไพรของราชาโอสถนั้นมีสมุนไพรวิญญาณหลากหลายนับพันชนิด ดูเหมือนว่าสมุนไพรวิญญาณแต่ละชนิดไม่ได้จัดระเบียบให้ดี ทั้งหมดอยู่รวมกันอย่างยุ่งเหยิง
สมุนไพรวิญญาณทั้งสองชนิดมีขนาดเล็ก หากจะหาให้เจอได้นั้นคงจะใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นนางกล่าวว่า… “มู่อี เจ้าเชิญท่านราชาโอสถกลับไปก่อนเถอะ ข้าไม่ชอบให้ใครมามองดูเวลาหาสมุนไพร”
“เจ้าไม่ต้องเชิญข้าหรอก ข้าจะกลับไปนอนให้สบายใจข้าสักหน่อย”
จวินโม่ซีรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากหลังจากที่เจ็บปวดเพราะโดนยาพิษของนางมานาน หลังจากที่เขาไปจากสวนสมุนไพร มู่เฉียนซีก็สั่งให้มู่อีคอยจับตาดูราชาโอสถผู้นี้เอาไว้จนกว่านางจะเก็บสมุนไพรวิญญาณเสร็จเรียบร้อย
หลังจากที่ทุกคนจากไป เหลือเพียงแต่จิ่วเยี่ยที่อยู่กับนาง
เมื่อมู่เฉียนซีกวาดตามองสวนสมุนไพรกว้างใหญ่ นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเล่ห์นัก พ่ายแพ้แล้วยังคิดจะใช้อุบายนี้เล่นงานข้า หึ ๆ! ท่านคิดผิดเสียแล้วราชาโอสถ”
“สมุนไพรวิญญาณในสวนนี้ ข้าจะเอามันไปทั้งหมดนี่แหละ” กล่าวจบ นางใช้พลังจิตครอบคลุมสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดและนำมันไปเก็บไว้ที่ศาลาเรือนรางเก้าชั้นทันที
‘เมื่อสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ของข้าแล้ว การที่จะหาสมุนไพรวิญญาณที่ข้าต้องการก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับข้า’ มู่เฉียนซีคิด
ทันใดนั้น กล้วยไม้ขนาดเล็ก ดอกไม้ทรงกลมสีน้ำตาล ทั้งสองอย่างนี้ปรากฏขึ้นในมือของนางทันที
“ในที่สุดข้าก็เจอ”
สวนสมุนไพรกว้างใหญ่ มีสมุนไพรมากมาย กลับหายวับไปภายในชั่วพริบตาต่อหน้าซวนหยวนจิ่วเยี่ย ทว่าเขาไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด
มู่เฉียนซีขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ศาลาเรือนรางเก้าชั้นอยู่ในร่างของนาง นี่เป็นความลับสุดยอดของนางก็ว่าได้ แต่สำหรับเจ้าก้อนน้ำแข็งจิ่วเยี่ยหาใช่ความลับ …ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน เขาก็รับรู้ได้ว่าอาถิงอยู่ในร่างของนาง
จิ่วเยี่ยมองมู่เฉียนซี เขากล่าวว่า “ถึงแม้ศาลาเรือนรางเก้าชั้นจะเป็นเคล็ดเทพต้านสววรค์ แต่มันก็ไม่ได้เป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธ์นิรันดร์ที่แข็งแกร่งที่สุด ต่อไปรอให้เจ้าแข็งแกร่งกว่านี้ก็เปลี่ยนมันซะ”
มุมปากมู่เฉียนซียกขึ้นเป็นรอยยิ้ม สีหน้าประหนึ่งอยากจะกล่าวว่า ‘ช่วยไม่ได้’ ปรากฏบนใบหน้านาง เหอะ… คิดว่านางไม่รู้รึว่ามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ที่แข็งแกร่งกว่าอาถิงคือสิ่งใด ? อีกอย่าง คนอย่างอาถิงใช่ว่าจะบอกให้ย้ายแล้วจะย้ายออกไป!
มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้น “เพราะเหตุใดรึ ?”
ถึงแม้ว่าอาถิงจะปากร้าย เย่อหยิ่ง และเจ้าอารมณ์ แต่ถึงอย่างไรแล้วทั้งคู่ก็มีพันธสัญญาต่อกัน หากไม่มีอะไรผิดพลาด นางก็จะไม่ยอมเสียอาถิงไปโดยเด็ดขาด
จิ่วเยี่ยกล่าวสี่คำ น้ำเสียงเฉยเมยตามเคย “อ่อนแอยิ่งนัก”
“อ๊าก! ข้าจะสู้กับเขาแล้วนะ”
เวลานี้เอง เสียงอาถิงตะโกนขึ้นด้วยความโกรธดังในหูมู่เฉียนซี “เขากล้าต่อว่าว่าข้าอ่อนแอ บังอาจนัก!”
“ถึงแม้ว่าเราทั้งสองอ่อนแอ แต่เราจะแข็งแกร่งไปด้วยกัน อีกอย่าง จิ่วเยี่ย หากเจ้าคิดว่าอาถิงอ่อนแอ เหตุใดตอนแรกเจ้าถึงอยากได้เขาล่ะ ?” มู่เฉียนซีกล่าวเพียงสั้น ๆ ทว่าคำพูดนี้เป็นการปกป้องอาถิง
อาถิงเป็นผู้ที่มีพันธสัญญากับนางคนแรก นอกจากท่านอาเล็กแล้ว อาถิงก็เป็นคนหนึ่งที่นางใส่ใจมาก
อาถิงบ่นพึมพำ “หญิงอัปลักษณ์อย่างเจ้าก็ใจดีเป็นเหมือนกันนี่”
การที่มู่เฉียนซีปกป้องอาถิงเช่นนี้ทำให้อารมณ์โกรธจิ่วเยี่ยปะทุ กลิ่นอายความน่ากลัวแผ่กระจายทั่วร่างกายของเขา มู่เฉียนซีเห็นยังรู้สึกกลัวขึ้นมา
อาถิงตะโกนอีกครา เขาเองก็เคืองก็ขุ่นมัว “บุรุษผู้นี้เป็นบ้าหรืออย่างไร ?! แต่เจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอกหญิงอัปลักษณ์ ข้าไม่ยอมให้บุรุษผู้นี้ทำร้ายเจ้าเป็นอันขาด”
จิ่วเยี่ยบีบแขนนาง “ข้าต้องการเขาก็เพราะเขามีประโยชน์กับข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” ดวงตาสีฟ้ามองมู่เฉียนซีอย่างล้ำลึกราวกับจะสะกดวิญญาณของนาง “แต่ตอนนี้สิ่งที่ข้าอยากได้ก็คือ…”
ทันใดนั้นจิ่วเยี่ยก็หยุดกล่าว บรรยากาศโดยรอบนิ่งเงียบลงเช่นกัน
อาถิงตะโกนขึ้นอีกครา “หญิงอัปลักษณ์! เจ้าจัดการกับบุรุษผู้นี้เสียเถอะ เขาน่ารำคาญนัก ปักเข็มพิษที่ร่างกายเขาสักร้อยเล่มแล้วเอาไปฝังทั้งเป็นเลย เหอะ! ดูซิว่าจะตายหรือไม่”
มู่เฉียนซีผงะไปชั่วขณะ และกล่าวด้วยความประหลาดใจ “โอ้! อาถิง นี่เป็นพลังของเจ้ารึ ? เจ้าหยุดเวลาได้หรือ ?”
“พลังบ้าบออะไรของเจ้า นี่มันเป็นพรสวรรค์พิเศษของข้าต่างหากเล่า เร็วสิ เจ้ารีบลงมือเสียที พลังของข้าเพิ่งจะกลับมาได้เล็กน้อยเท่านั้น หากเจ้ามัวพิรี้พิไรไม่ยอมลงมือกับบุรุษผู้นี้เสียที มีหวังเจ้าโดนลงมือแทนแน่นอน กล้าดีอย่างไรมาว่าข้าอ่อนแอ ข้าจะให้เจ้าดูความแข็งแกร่งของข้า หึ!”
อาถิงหน้าบูดหน้าบึ้ง ใบหน้าเขาดูบิดเบี้ยวเพราะความโกรธอัดแน่นสุมในใจ
.