รถม้าคันใหม่ของมู่เฉียนซีเพิ่งถูกออกแบบมาใหม่วันนี้ และพิมพ์เขียวกำลังถูกส่งไปที่กองช่างฝีมือเพื่อรีบสร้าง เช่นนั้นแล้วแน่นอนว่าวันนี้นางจะต้องนั่งรถม้าของตระกูลโอวหยางไป
บนรถม้า มู่เฉียนซีหลับตาพักผ่อน นางเดินทางอย่างราบรื่นมาตลอดจนถึงจวนตระกูลโอวหยาง เมื่อมู่เฉียนซีมาถึง ผู้นำตระกูลโอวหยางมารอรับพร้อมด้วยคนรับใช้ผู้หนึ่ง
ใบหน้าผู้นำตระกูลโอวหยางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“อา… ผู้นำตระกูลมู่ยอมมาช่วยรักษาลูกสาวคนเล็กของข้า ข้าโอวหยางจูสำนึกบุญคุณ”
แม้ผู้นำตระกูลโอวหยางจะยิ้มแย้ม คุณชายรองโอวหยางเฉียงกลับแสดงสีหน้าขุ่นเคือง เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากซัดมู่เฉียนซีเข้าสักหมัด
ผู้ที่เดิมทีเป็นคนไร้ความสามารถ โดนพวกโอวหยางรังแกอยู่ตลอดอย่างมู่เฉียนซี มาวันนี้กลับเกิดเหตุพลิกผัน นางยิ่งใหญ่ขึ้นมาจนพวกเขาต้องมาคอยต้อนรับนางกันทั้งตระกูล ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
แต่เมื่อสายตาอันโหดร้ายของโอวหยางเฉียงประสานเข้ากับดวงตาเย็นยะเยือกของเยวี่ยเจ๋อ เขาก็ทำได้เพียงค่อย ๆ เก็บซ่อนสายตาเช่นนั้นเอาไว้ เขารู้ตัวเองว่าตอนนี้ไม่สามารถสู้รบปรบมือกับชายบัดซบผู้นี้ได้
มู่เฉียนซีแสร้งทำตัวใสซื่อ กล่าวขึ้น “ข้าขอเข้าไปดูอาการของโอวหยางเหว่ยหน่อยเถอะ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าอาการของนางเป็นอย่างไร ไม่แน่ใจว่ายาฟื้นฟูว่านหลิงที่พ่อข้าให้ไว้จะสามารถรักษาอาการของโอวหยางเหว่ยได้หรือไม่”
ผู้นำตระกูลโอวหยางยิ้มแย้ม กล่าวเชื้อเชิญ “ได้ เชิญด้านใน… เชิญด้านใน…”
ผู้นำกระกูลโอวหยางรีบเร่งพามู่เฉียนซีไปถึงห้องส่วนตัวของโอวหยางเหว่ย
โอวหยางเหว่ยที่นอนอยู่บนเตียงสภาพย่ำแย่แทบไม่เหลือเค้าความเป็นมนุษย์ บนร่างของนางนั้น ผิวหนังหนึ่งในสามส่วนกลายสภาพเป็นเหมือนซากศพกำลังเน่าเปื่อยและมีสีดำ โอวหยางเหว่ยอยู่ในสภาพใกล้ตายเต็มที บัดนี้อยู่ในภาวะนิทรา ปากก็พร่ำเพ้อด้วยเสียงอันเบาบาง แต่ผู้คนรอบข้างกลับสามารถฟังได้อย่างชัดเจน
“มู่เฉียนซี ข้าจะสับเจ้าให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้น!”
“มู่เฉียนซี ข้าจะสับเจ้าให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้น!”
“มู่เฉียนซี…”
ใกล้จะตายอยู่รอมร่อ ปากยังคอยสาปแช่งมู่เฉียนซีอีก เห็นได้ชัดว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลโอวหยางเกลียดมู่เฉียนซีมากเพียงใด
ใบหน้าของผู้นำตระกูลโอวหยางแสนอึดอัดใจ กล่าวขึ้น “ผู้นำตระกูลมู่ ลูกสาวข้าอายุยังน้อย นางไม่ค่อยรู้เรื่องทั้งยังเอาแต่ใจอยู่บ้าง ขอเจ้าจงอย่าได้ถือสาวาจานางเลย…
การรักษาสำคัญกว่า… การรักษาสำคัญกว่า…” เขาพูดซ้ำ ๆ เพราะเกิดกลัวว่าหากมู่เฉียนซีได้ยินคำพูดจากปากเหว่ยเหว่ยมากกว่านี้จะเกิดเปลี่ยนใจหันหลังกลับไป หากเป็นเช่นนั้นเหว่ยเหว่ยคงไม่พ้นต้องตาย
เยวี่ยเจ๋อที่อยู่ด้านข้างกลอกตามองบน หึ! อายุยังน้อย
ปีนี้โอวหยางเหว่ยก็จะอายุสิบแปดปีแล้ว แต่พี่ใหญ่ของเขาอายุยังไม่ถึงสิบหก หนังหน้าของโอวหยางจูหนาเสียยิ่งกว่ากำแพงเมือง ช่างกล้าพูดต่อหน้าพี่ใหญ่ว่าโอวหยางเหว่ยอายุยังน้อย
มู่เฉียนซีตรวจดูอาการทางร่างกายของโอวหยางเหว่ยอย่างมีท่วงท่า คิ้วงามขมวดชิดติดกัน
นั่นทำให้หัวใจของโอวหยางจูเต้นไม่เป็นส่ำ!
“ผู้นำตระกูลมู่ หรือว่าแม้แต่ยาวิเศษที่ท่านผู้นำตระกูลรุ่นก่อนให้ไว้ก็ไม่สามารถที่จะช่วยลูกสาวข้าได้ ?” โอวหยางจูกล่าวถาม สีหน้ามีเพียงความตระหนกไร้สีหน้าอื่นเคลือบแฝง
มู่เฉียนซีถอนหายใจ “อาการหนักเกินไป เหตุใดโอวหยางเหว่ยถึงได้น่าสงสารนัก เหตุใดนางต้องมาป่วยเป็นโรคเช่นนี้ ?”
เยวี่ยเจ๋อครุ่นคิด ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าโอวหยางเหว่ยนางป่วยเป็นโรคอะไร แต่สัญชาตญาณของเขาบอกได้ว่าเรื่องนี้ต้องมีเหตุเกี่ยวกับพี่ใหญ่ของตนอย่างแน่นอน
ทว่าวันนี้ พี่ใหญ่กลับแสดงอาการเศร้าโศกออกมาให้เห็นขนาดนี้ การแสดงละครครั้งนี้ช่างแสดงได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ
ผู้นำตระกูลโอวหยางเอ่ยถาม “เช่นนั้นแล้วจะสามารถรักษาได้หรือไม่?”
“ก็อาจเป็นไปได้ ทว่าอาการของนางหนักมาก ดังนั้นแล้วจึงต้องใช้ยาฟื้นฟูว่านหลิงที่พ่อข้าทิ้งไว้ให้ อีกทั้งยังต้องใช้วารีไร้รากอีกชนิดหนึ่งร่วมกัน ราคาของทั้งสองสิ่งนี้ ไม่ใช่แค่แพงธรรมดาทั่วไปเลย” มู่เฉียนซีกล่าวพร้อมยิ้มเจื่อน
“ผู้นำตระกูลมู่ ขอแค่เจ้าสามารถช่วยลูกสาวข้าได้ ขอแค่เป็นเรื่องที่พวกเราตระกูลโอวหยางสามารถทำได้ ตัวข้าจะตอบตกลงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง” ผู้นำตระกูลโอวหยางยืนยันอย่างแข็งขัน
มู่เฉียนซียิ้ม “อืม ในเมื่อท่านผู้นำตระกูลโอวหยางรักลูกสาวดั่งชีวิตตน ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ข้ามู่เฉียนซีเห็นแก่ความรักที่ท่านมีให้ลูกสาว คำขอของข้าก็คงจะไม่เป็นการขอเกินไป”
โอวหยางจู “เช่นนั้นผู้นำตระกูลมู่รีบพูดความต้องการของเจ้ามาเถอะ อาการป่วยของเหว่ยเหว่ยจะรอช้ามิได้”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเบา “เมื่อก่อนตัวข้ายังอายุน้อยไม่ค่อยรู้เรื่อง พวกเจ้าเอาทรัพย์สมบัติตระกูลข้าไป ทั้งร้านโอสถ ร้านผ้าไหม โรงเตี๊ยม สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ท่านพ่อข้าสร้างมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ข้าขอแลกสมบัติบางส่วนกับโอวหยางเหว่ย วันนี้ข้าจะนำสมบัติพวกนั้นกลับไป ข้าอยากจะขอแลกเปลี่ยนเพื่อนำของที่เคยเป็นของตระกูลมู่กลับไปอีกครั้ง คิดว่าท่านผู้นำตระกูลโอวหยางคงจะไม่ปฏิเสธใช่ไหม ?”
“ฮัลลัลลา!” มู่เฉียนซีกล่าวพลางสะบัดมือ เพียงพริบตามีคนนำสิ่งของแวววับจำพวกเพชร พลอย หยก และไข่มุกเข้ามา ส่วนมากนั้นล้วนแต่เป็นของปลอม
ในอดีตมู่เฉียนซีโดนมู่หรูอวิ๋นหลอก เพราะโดนโอวหยางเหว่ยคอยชักนำอีกที เมื่อก่อนนางจึงโดนหลอกไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง
แน่นอนว่าผู้นำตระกูลคนก่อนหน้านั้นตามเล่ห์กลคนน่ารังเกียจพวกนี้ไม่ทัน แต่หลังจากที่นาง ‘มู่เฉียนซีคนใหม่’ มาแล้ว จึงได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างชัดเจน
โอวหยางเหว่ยใช้กลอุบายเพื่อให้ได้สินทรัพย์เหล่านี้มา นำรายได้เข้ามาสู่ตระกูลโอวหยางมากมาย คนโง่เท่านั้นถึงจะยอมเอาของมีค่าที่ได้มามหาศาลในชั่วข้ามคืนมาแลกกับของชั้นเลวคุณภาพต่ำเช่นนี้
แม้ว่ามูลค่าของทรัพย์สินเหล่านี้ที่ต้องให้มู่เฉียนซีจะมากมาย ทว่าในตอนนี้ชีวิตลูกสาวของเขาตกอยู่ในกำมือของมู่เฉียนซี
โอวหยางจู “ทรัพย์สินพวกนี้แต่เดิมเป็นของตระกูลมู่ เมื่อผู้นำตระกูลมู่ต้องการแลกคืน พวกเราไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ขอเพียงแต่ผู้นำตระกูลมู่รักษาเหว่ยเหว่ยใหหายดีได้ก็เพียงพอ”
โอวหยางจูกล่าวกับโอวหยางจื่อ “จื่อเอ๋อร์ เอาของล้ำค่าเหล่านี้ที่ผู้นำตระกูลนำมาแลกเปลี่ยนไปเก็บไว้ แล้วเอาโฉนดที่ดินกับหนังสือลายลักษณ์อักษรมาให้แก่ผู้นำตระกูลมู่ด้วย”
โอวหยางจื่อใบหน้าบูดบึ้งราวกับมีอาการเลือดตกอยู่ภายในใจ ทรัพย์สมบัติล้ำค่าเช่นนั้นจะมาแลกกับของห่วย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร มู่เฉียนซีช่างใจดำเสียจริง!
แต่ว่า… เขาก็ไม่เคยย้อนคิดว่าสิ่งของห่วยแตกพวกนั้น เดิมทีแล้วมันเป็นของตระกูลใคร
แลกสมบัติที่เคยเป็นของตระกูลมู่คืนไป สำหรับตระกูลโอวหยางยังถือว่าสบาย ๆ
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เยวี่ยเจ๋อ เจ้าตรวจสอบบัญชีให้ดีล่ะ ดูว่าขาดอะไรไปหรือไม่ อย่าให้ผิดพลาดนะ”
“ขอรับ”
เมื่อเยวี่ยเจ๋อตรวจดูเสร็จก็ผงกหัว “เรียบร้อยแล้วพี่ใหญ่ ไม่มีอะไรตกหล่น”
โอวหยางจูเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า… “เช่นนั้นผู้นำตระกูลมู่ เมื่อเราได้ตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ควรเริ่มทำการรักษาเหว่ยเหว่ยได้แล้วกระมัง”
มู่เฉียนซีเลิกคิ้ว “ผู้นำตระกูลโอวหยางรีบร้อนไปใย ? เมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่การเสนอข้อแลกเปลี่ยนมูลค่าเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ผู้นำตรกูลโอวหยางคงไม่คิดว่าชิวิตลูกสาวมีค่าแค่เพียงข้อเรียกร้องเล็ก ๆ เท่านั้นหรอกใช่ไหม ?”
เจ้าเด็กมู่เฉียนซีนี่สารเลวนัก! ยังไม่พออีกหรือไร ?!
นี่มันเรียกว่าการแลกเปลี่ยนอย่างสมราคาที่ไหนกัน? มูลค่ามันต่างกันมากเกินไป ราวกับสิ่งหนึ่งดั่งฟ้า อีกสิ่งหนึ่งดั่งใต้ดิน
โอวหยางจูก่นด่าสาปแช่งมู่เฉียนซีอยู่ในใจไม่รู้กี่ร้อยรอบ แต่เขายังปั้นหน้ายิ้มแย้ม กล่าวขึ้น “ไม่ทราบว่าผู้นำตระกูลมู่ยังมีความต้องการอันใด ?”
“อืม… ให้ข้าคิดอีกสักหน่อย ดูซิว่าตระกูลโอวหยางยังมีของอะไรที่มีค่าอีก” มู่เฉียนซีกล่าวไปพลางลูบคางไปพลาง
นางมองไปทางเยวี่ยเจ๋อ ถามขึ้น “เยวี่ยเจ๋อ เจ้ารู้จักเมืองจื่อตูดีกว่าข้า บอกข้าหน่อยสิว่าสมบัติใดในเมืองจื่อตูที่มีราคาบ้าง”
เวลานี้ โอวหยางจู โอวหยางจื่อ และโอวอยางเฉียง สามคนถึงขนาดพาลด่าบิดามารดาอยู่ในใจแล้ว
ใจพวกเขารู้สึกเหมือนว่ามู่เฉียนซีจะไม่ยอมเลิกราหากว่านางยังไม่ได้กวาดเอาสิ่งของมีค่าไปให้หมดจากตระกูลโอวหยาง
เมื่อครู่ที่นางบอกว่านั่นไม่ได้เป็นการขออะไรที่มากเกินไป แหกตากันชัด ๆ!
เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามู่เฉียนซีและเยวี่ยเจ๋อเตรียมตัวกันมาก่อนแล้ว เยวี่ยเจ๋อนำเอากระดาษออกมาแผ่นหนึ่งและเริ่มอ่าน “พี่ใหญ่ ถนนจื่ออวิ๋น ถนนสายที่ครึกครื้นที่สุดสายหนึ่งของเมืองจื่อตู ร้านรวงบนถนนจื่อตูนั้นล้วนแต่เป็นของตระกูลโอวหยาง…
ไม่หมดเพียงเท่านั้น ที่นอกเมืองยังมีคฤหาสน์อีกหลายหลัง มีพื้นที่กว้างขวาง… และยังมี…”
เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเยวี่ยเจ๋อก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อเล็กน้อย
.