มู่เฉียนซีกล่าวต่อ “อีกไม่นานข้าก็จะอายุสิบหกปี โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สินสอดนี่ก็สามารถที่จะพอยื้อเวลาเอาไว้ได้ เห็นแก่การที่ฝ่าบาทต้องเหน็ดเหนื่อยกับการปกป้องดูแลข้ามาครึ่งปี หนี้สินที่ติดค้างอยู่ ข้าจะไม่คิดดอกเบี้ย แต่ข้าขอให้พระองค์คืนมันให้ครบจำนวนก่อนที่ข้าจะบรรลุนิติภาวะ ฝ่าบาท พระองค์คิดเห็นเช่นไร ?”
เส้นเอ็นบนหน้าผากซวนหยวนจือกระตุกอย่างแรง
“ซีเอ๋อร์ เวลาที่เจ้าจะบรรลุนิติภาวะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เหลืออีกเพียงแค่สามเดือนเท่านั้น ข้าเกรงว่าภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ ข้าคงจะรวบรวมเงินมากมายขนาดนั้นไม่ไหว”
อันที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าอับอายเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ แต่ซวนหยวนจือจนปัญญา อย่างไรเขาก็ไม่สามารถหาเงินมาคืนได้ครบจริง ๆ
อย่าว่าแต่สามเดือนเลย ต่อให้คืนในสามปี แม้เขาจะเป็นเจ้าแคว้นก็ยังไม่สามารถทำได้
มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก “คืนไม่ครบรึ ? เช่นนั้นข้าก็ไม่ทำให้พระองค์ลำบากใจแล้ว”
ซวนหยวนจือตกตะลึง ในตอนแรกมู่เฉียนซีพูดจากดดันให้ลำบากใจ แต่กลับมาพูดดีเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?
“เอาอย่างนี้แล้วกัน!ได้ยินมาว่าราชวงศ์ของแคว้นจื่อเยี่ยมีสวนสมุนไพรขนาดใหญ่ ช่วงนี้ข้ามีความสนใจในเรื่องการปรุงยา ฝ่าบาท พระองค์นำสมุนไพรวิญญาณนั่นมาจำนองกับข้าสิ ถือว่าใช้แทนครึ่งนึงของส่วนน้อยนั่นแล้วกัน” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงใส ใบหน้าเยาว์วัยของนางเปื้อนยิ้ม
เป็นอีกครั้งที่ทำให้มุมปากของทุกคนกระตุกอย่างแรง ปรุงยารึ ? มิใช่เรื่องที่ผู้ใดจะฝึกหัดกันได้ง่าย ๆ นึกไม่ถึงว่าท่านผู้นำตระกูลมู่จะมาสนใจวิชาชีพที่ผลาญเงินเช่นนี้
นางคงจะไม่ขอสมุนไพรวิญญาณในสวนหลวงกับฝ่าบาท เพียงเพื่อให้นางนำไปใช้ฝึกปรุงยาได้อย่างสุรุ่ยสุร่ายทั้งหมดใช่ไหม ?!
แท้ที่จริงแล้วสวนสมุนไพรหลวงของแค้วนจื่อเยี่ยก็มีคุณค่าทางเงินตราเทียบได้กับเงินที่ยืมมู่เฉียนซีไป เพื่อที่จะรีบจบบทสนทนาที่ทำให้เขาไม่สบายใจในงานเลี้ยงอาหารค่ำครั้งนี้ ซวนหยวนจือจึงคิดตอบตกลง
“เสด็จพ่อ!”
ในตอนนี้เอง ซวนหยวนหลี่ซางทนไม่ไหว เปิดปากกล่าวขึ้น “หากสมุนไพรวิญญาณในสวนหลวงถูกผู้หญิงมือเติบอย่างมู่เฉียนซีทำสิ้นเปลือง มันช่างน่าเสียดายเกินไปจริง ๆ”
ซวนหยวนจือ “ซางเอ๋อร์ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ในเมื่อซีเอ๋อร์มีความต้องการเช่นนี้ แน่นอนว่าข้าต้องทำให้นางพอใจ”
มู่เฉียนซียิ้มพึงพอใจ เก็บข้าวของสัมภาระอื่น ๆ ไปพลาง กล่าวไปพลาง “เช่นนั้นข้าขออนุญาตฝ่าบาทให้คนพาข้าไปที่สวนสมุนไพรทีเถิด”
นางแทบทนรอไม่ไหวที่จะได้ไปสวนสมุนไพรหลวง สมุนไพรวิญญาณในสวนหลวงนั้นอุดมสมบูรณ์และหลากหลายเป็นอย่างมาก ขอเพียงนางสามารถเข้าถึงสมุนไพรวิญญาณทั้งหลายในนั้นได้ ยาชนิดใหม่ ๆ ใด ๆ นางก็หลอมก็ปรุงออกมาได้ไม่น้อย ไหนจะโอสถพิเศษ นางก็ปรุงออกมาได้ไม่น้อยเช่นกัน
“มานี่! จงพาซีเอ๋อร์ไปที่สวนสมุนไพรหลวง” ซวนหยวนจือกล่าวสั่งข้ารับใช้
หลังจากที่มู่เฉียนซีเดินจากไป ซวนหยวจือลอบกล่าวเบา ๆ “ในที่สุดนางเจ้าหนี้ปีศาจก็ไปได้เสียที”
ไม่พอ ซวนหยวนจือยังโบกสะบัดมืออย่างไร้เรี่ยวแรง กล่าวว่า “งานเลี้ยงเลิกแล้ว ทุกท่านแยกย้ายกันเถอะ”
ณ ตอนนี้ทุกคนต่างก็ได้พบว่า เยี่ยอ๋องผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งใกล้ชิดองค์ฮ่องเต้ที่สุด ไม่รู้ว่าได้ออกไปจากงานเลี้ยงตั้งแต่เมื่อไร
เหตุการณ์กลับมาสงบไร้คลื่นอารมณ์
“ฮู่วววว!” หลายคนถอนหายใจยาวประหนึ่งดันลมในปอดออกมาทั้งหมด ค่ำคืนนี้ช่างมีเรื่องให้ตื่นตะลึงมากเสียจริง
มู่เฉียนซีกับเยวี่ยเจ๋อเดินตามขันทีคนสนิทของซวนหยวนจือไปที่สวนสมุนไพรหลวงอย่างรวดเร็วดั่งบินได้ เยวี่ยเจ๋อสังเกตเห็นได้ว่าเวลานี้พี่ใหญ่ของเขาดูจะเบิกบานใจเป็นพิเศษ นางดูมีความสุขมากว่าตอนที่ประลองยุทธ์ชนะโอวหยางเหว่ยหรือตอนที่เรียกค่าสินสอดราคาสูงเสียดฟ้าเสียอีก
แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดจะสามารถทำให้นางตื่นเต้นไปได้มากกว่าวัสดุและวัตถุดิบในการปรุงโอสถ เงินทองเป็นเพียงของนอกกาย แต่ทว่าโอสถนั้นเป็นสิ่งที่นางโปรดปรานจับจิตจับใจตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
เมื่อขันทีเกาแสดงบัตรผ่าน ทหารระดับราชาแห่งภูตที่รักษาการณ์อยู่ก็ยอมให้เข้าไปในสวน
มู่เฉียนซี “เยวี่ยเจ๋อกับท่านเการออยู่ที่ด้านนอก ข้าเข้าไปข้างในประเดี๋ยวจะออกมา”
สวนหลวงบนเนื้อที่ผืนใหญ่ มีสมุนไพรวิญญาณชนิดทั่วไปมากกว่าพันชนิด และจำนวนของมันก็มากมายเหลือคณานับ เอาออกมาคงไม่หมด อย่างมากคงเก็บสมุนไพรอกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่นนั้นแล้วฮ่องเต้จึงได้วางใจปล่อยให้นางเข้าไป
เมื่อรอนางไปแล้วก็จะมีคนมาเก็บสมุนไพรวิญญาณทั้งหมด ครั้งต่อไปที่นางต้องการมาเก็บสมุนไพรแล้วหาไม่เจอ ก็ไม่ถือว่าเขาไม่รักษาสัญญา
‘หึ ๆ!’ มู่เฉียนซีหัวเราะในใจ นางรู้ว่าจิ้งจอกเฒ่าอย่างซวนหยวนจือจะมาไม้ไหน นางจะเก็บสมุนไพรในสวนหลวงไปทั้งหมดในคราวนี้คราวเดียว
“อาถิง เราสามารถเปิดที่ว่างของเจ้าสำหรับสวนสมุนไพรได้หรือไม่ ? ข้าอยากหาทางเอาสมุนไพรทั้งหมดนี่ยัดเข้าไปให้หมด”
“ฮะ ?!” อาถิงร้องเสียงแหลม “หญิงโง่! นี่เจ้าจะมาสร้างมลทินให้ทะเลสาบของข้าอีกแล้วรึ ?! ข้าทำเวรทำกรรมกับเจ้ามาแต่ชาติปางไหนกัน ?”
อาถิงพร่ำบ่นต่อไปแต่มู่เฉียนซีมีหรือจะสนใจ
พื้นที่ของอาถิง นอกจากมีศาลาเล็ก ๆ แล้ว ยังมีทะเลสาบไร้ซึ่งขอบเขตอยู่ด้วย
เหมือนว่าอาถิงจะห่วงหวงทะเลสาบนั้นเป็นพิเศษ เมื่อคราวก่อนตอนที่นางได้ล้างไขกระดูกสันหลังแล้วมีคราบสกปรกออกมาจนทำให้ทะเลสาบของอาถิงสกปรก อาถิงเข้าไปถีบนางออกอย่างไม่เกรงใจ
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเข้มขรึม “ข้าจะย้ายพวกสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ หากเจ้าไม่ยอมละก็ ข้าว่าไปหาจื่อเยี่ยแล้วยกเจ้าให้เขาไปก็แล้วกัน เขาเก่งเสียขนาดนั้นน่าจะมีวิธีลบล้างพันธสัญญาระหว่างเราได้”
จิตใจอาถิงรู้สึกมืดฟ้ามัวดินขึ้นมาในทันใด
“มู่เฉียนซี เจ้ามันร้ายนัก คิดจะส่งให้ข้าไปอยู่กับชายที่น่ากลัวเช่นนั้นอีกแล้วรึ?เจ้าหัดเปลี่ยนลูกเล่นในการขู่ข้าบ้างได้ไหมเล่า ?!”
“พูดมาก สรุปเจ้าจะทำไม่ทำ ?”
“ข้ายังมีทางเลือกที่สามด้วยรึ ?”
“ไม่มี”
“หึ!”
“เหอะ!”
เกิดความเงียบอยู่นาน ในที่สุดอาถิงก็ยอมพ่ายแพ้ เขาคงไม่อยากตกอยู่ในน้ำมือของชายที่น่ากลัวผู้นั้น
“ก็ได้ ๆ ๆ! ข้าจะรีบย้ายที่ออกมาให้เจ้าผืนนึง เมื่อพลังวิญญาณของเจ้าปกคลุมไปทั่วท้องสวนสมุนไพร ก็สามารถนำมันออกมาได้”
“ทำถูกแล้ว!” มู่เฉียนซียิ้มอย่างมีความสุข
พลังจิตของมู่เฉียนซีปกคลุมไปทั่วทุ่งสมุนไพร แม้แต่นักปรุงยาระดับกลางก็ยังไม่มีพลังวิญญาณมหาศาลขนาดที่จะแผ่ให้ปกคลุมไปทั่วทั้งสวนสมุนไพรได้ แต่มู่เฉียนซีกลับทําได้อย่างง่ายดาย
เพียงชั่วพริบตาเดียว สวนสมุนไพรที่เดิมทีมีหญ้าวัชพืชนับพันต้นมากระจุกอยู่ด้วยกัน กลับไม่มีวัชพืชเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว
และเมื่อมู่เฉียนซีใช้ความรู้สึกทางวิญญาณมองไปยังศาลาเลือนรางเก้าชั้น ก็เห็นเกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่งลอยอยู่บนทะเลสาบ บนเกาะแห่งนั้นมีสมุนไพรวิญญาณที่นางเก็บมาจากสวนหลวงอยู่บนนั้น
ด้านล่างนั่นเป็นน้ำแห่งวิญญาณ สมุนไพรวิญญาณที่ถูกน้ำแห่งวิญญาณไหลนองเข้าไปท่วมเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลาหนึ่งวันในที่แห่งนั้นเทียบได้กับเวลาหนึ่งปีในโลกภายนอก ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นสถานที่ล้ำค่าแห่งสมุนไพรวิญญาณ
ดวงตาของมู่เฉียนซีส่องประกายเมื่อมองดูมัน
สำหรับอาถิงที่เป็นผู้ทำพันธสัญญา กลับมีความรู้สึกธรรมดา ๆ เขาพูดขึ้นเหมือนผู้ที่หวงของ “หญิงโง่ การถางเปิดทางขึ้นมาผืนหนึ่งนั้น มันใช้ความสามารถของข้าถึงขีดสุดไปแล้ว เจ้าไม่สามารถเปิดใช้ทะเลสาบวิญญาณของข้าได้อีก
ภายภาคหน้าหากทะเลสาบแห่งวิญญาณเต็มไปด้วยต้นสมุนไพรจนไม่สามารถมองเห็นน้ำใส ๆ นั้นได้ อาถิงคิดว่าตัวเขาคงจะเป็นบ้า
“มู่เฉียนซี เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก!”
“ฮี่ ๆ เจ้ายอม ๆ เถอะ เดี๋ยวสักพักข้าออกจากวัง จะไปคุยกับจิ่วเยี่ยเสียหน่อย ในเมื่อเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ผู้ทำพันธสัญญายังไม่ยอมช่วย ต่อให้เป็นอาวุธที่ร้ายกาจสุดในตำนาน แต่หากช่วยอะไรข้าไม่ได้ จะเก็บไว้ข้างกายก็คงไม่มีประโยชน์อะไร” มู่เฉียนซีกล่าวออกมา ทำสีหน้าท่าทีราวกับแสนหนักใจ
“มู่เฉียนซีสตรีตัวร้าย ข้าเกลียดเจ้าจริง ๆ”
ด้วยความจนปัญญา อาถิงบุกเบิกเกาะที่กว้างขวางขึ้นมาอีกเกาะหนึ่ง แล้วจึงกล่าวเตือนน้ำเสียงดุดัน “ในตอนที่เจ้ายังไม่มีพลังมากพอในการบุกเบิกเข้าขั้นที่สอง ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าทำให้ทะเลสาบวิญญาณของข้าเสียหายอีกเป็นอันขาด”
“ได้! บุกเบิกพลังได้ถึงขั้นที่สองก็ขั้นที่สอง”
คราวนี้มู่เฉียนซีไม่ได้ดึงดันเหมือนเก่า สายตาของนางเป็นประกายมองทอดผ่านไปยังสวนสมุนไพรวิญญาณ
“แม้ที่นี่จะมีสมุนไพรวิญญาณหลากชนิด แต่ก็ไม่เหมือนกับเรื่องลับที่ข้าได้ยินมาเลย สมุนไพรวิญญาณทั่วไปพวกนี้ไม่มีราคาพอจะเทียบกับหนี้ที่ฮ่องเต้ติดค้างข้าได้ แคว้นจื่อเยี่ยคงไม่ถึงขั้นไม่มีแม้แต่สมุนไพรวิญญาณระดับต้น ๆ หรอกกระมัง ?”
.