“หากฮ่องเต้แห่งแคว้นจื่อเยี่ยพูดไม่เป็นคำพูด เช่นนั้นแคว้นนี้ก็ไม่จําเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป ดูแล้วขัดหูขัดตานัก”
เสียงนุ่มนวลแฝงความเยือกเย็นราวกับสายฝนที่ไหลผ่านน้ำแข็งดังลอดริมฝีปากซวนหยวนจิ่วเยี่ย
สิ้นเสียงนุ่ม ความเหน็บหนาวแผ่ซ่านไปทั่วตําหนักจื่อจี ประหนึ่งว่ามันสามารถทําลายพลังวิญญาณสังหารทั้งหมดได้เพียงเสี้ยวลมหายใจ
จิ่วเยี่ยที่ปิดบังตัวเงียบมาตลอด ตอนนี้กลับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
หน้าผากซวนหยวนจือผุดเหงื่อเย็น อีกทั้งมือชุ่มเหงื่อ บัดซบ! เหตุใดจึงลืมไปได้ว่าจิ่วเยี่ยอยู่ที่นี่ด้วย ? …คาดไม่ถึงว่าจิ่วเยี่ยจะช่วยมู่เฉียนซีสตรีโอหังผู้นี้
ไม่! หากมู่เฉียนซีมีจิ่วเยี่ยคอยช่วยเหลือจริง ๆ ละก็ แม้จะบุกเข้าไปในท้องพระคลังและย้ายทรัพย์สินทุกอย่างออกจากท้องพระคลัง เขาก็ไม่สามารถทําอะไรนางได้
การประลองวันนี้จิ่วเยี่ยมองอย่างไม่คลาดสายตา คำมั่นสัญญาของซวนหยวนจือ เขาก็ได้ยิน คงจะรู้ว่าซวนหยวนจือกำลังคิดกลับคำ บางทีคงระอาจึงได้เอ่ยออกมา
ไม่มีใครสามารถอ่านความคิดของซวนหยวนจิ่วเยี่ยได้
อีกทั้งมู่เฉียนซีและจิ่วเยี่ย น้อยมากที่พวกเขาทั้งสองจะยุ่งเกี่ยวกัน อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องคุยกัน
จิ่วเยี่ยเกลียดผู้หญิงอย่างกับอะไรดี แทบเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะช่วยมู่เฉียนซี
ถ้าจิ่วเยี่ยคอยช่วยเหลือมู่เฉียนซี… หากว่ามู่เฉียนซีต้องการบัลลังก์ของเขา ซวนหยวนจือขึ้นมา… เขาคงทําได้เพียงยกมือทั้งสองประเคนให้อย่างจำต้องเต็มใจ
ผลที่ได้นี้ช่างน่าพรั่นพรึงนัก เขาเลิกคิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้
ซวนหยวนจือได้สติกลับคืนมาจากความหวาดกลัว
“ข้าเป็นถึงฮ่องเต้ พูดคำไหนคำนั้น แต่ว่า…”
ซวนหยวนจือรู้สึกว่าหัวใจของเขากําลังเจ็บปวด แต่วันนี้เขาคงต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้ มิเช่นนั้นคงกลายเป็นคนไร้สัจจะวาจา หากทําให้เจ้าจิ่วเยี่ยนั่นรู้สึกไม่พอใจ คาดว่าตำหนักจื่อจีคงไม่วายกลายเป็นสนามรบที่น่าเวทนา
ทุกคนที่นั่งอยู่ รวมทั้งเขาก็คงกลายเป็นซากกระดูกถูกทอดทิ้งให้เยียบเย็น
มู่เฉียนซีกล่าวหยอกล้อ “ฝ่าบาท แต่ว่าอะไรหรือ ?! กล่าวต่อสิ”
ในสำนักศึกษา มู่เฉียนซีรู้สึกได้ว่าทุกคนล้วนหวาดกลัวเจ้าก้อนน้ำแข็งจิ่วเยี่ย แต่ใครจะไปคิดว่าคนทั้งใต้หล้าจะกลัวเขาถึงขั้นนี้ แม้แต่ซวนหยวนจือ ฮ่องเต้แห่งแคว้นก็ยังกลัวแทบตาย เดิมทีซวนหยวนจือที่คิดจะลงมือสังหารนางยังกลับคําในชั่วพริบตา
เจ้าจิ่วเยี่ยนี่ทําเรื่องน่ากลัวอะไรไว้ ถึงได้ทําให้ฮ่องเต้หวาดกลัวเพียงนี้ ?
ซวนหยวนจือรีบอธิบาย “เมื่อปีที่แล้วมีภัยแล้งทางตะวันตกเฉียงเหนือ เงินในท้องพระคลังไม่เพียงพอจึงได้ยักยอกทรัพย์สินในท้องพระคลังเพื่อบรรเทาสาธารณภัย แต่ด้วยความเลินเล่อของข้ารับใช้ ในส่วนสินสอดทองหมั้นของซีเอ๋อร์ถูกยักยอกออกไปใช้ด้วย…
เมื่อครึ่งปีก่อนทหารม้าแคว้นชิงของประเทศเพื่อนบ้านบุกเข้ามาโจมตี กองทัพเรา ๆ มีเงินไม่มากพอ เพื่อที่จะให้เงินทุนทางทหารที่เพียงพอแก่กองทัพ ทรัพย์สินถูกยักยอกไปแล้วเล็กน้อย และ… และยังมีพายุหิมะฤดูหนาวปีที่ผ่านมา”
“…”
ซวนหยวนจือขบคิดอย่างหนัก บีบเค้นทุกส่วนสมองมาเพื่อแสดงรายละเอียดเรื่องใหญ่ ๆ ในระหว่างปีครึ่งที่ผ่านมาที่เขาต้องนำเงินท้องพระคลังออกมาใช้ เขาพยายามหาข้ออ้างมาเติมเต็มช่องว่างในเรื่องของสินสอดทองหมั้นของสตรีสกุลมู่ผู้นี้
หนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา ซวนหยวนจือถูกมู่เฉียนซีคนเก่าที่ดูอ่อนแอขอหมั้นหมายกับหลี่อ๋อง สินสอดทองหมั้นที่น่าตกตะลึงก็ได้เข้าสู่ท้องพระคลัง
นอกจากค่าใช้จ่ายเหล่านี้แล้ว ยังมีรางวัลสําหรับพระสนมวังหลัง องค์ชาย และเหล่าขุนนาง หรือจะเป็นให้ของขวัญประเทศเพื่อนบ้านเพื่ออวดโอ้ความมั่งคั่ง เงินทองทั้งหมดที่ใช้ล้วนเป็นสินสอดทองหมั้นของมู่เฉียนซี
ช่องโหว่นี้ค่อนข้างใหญ่ ไม่ธรรมดาและยากที่จะแก้ไข
ดวงตาดำดุจน้ำหมึกของมู่เฉียนซีฉายแววเย็นชา นางถามขึ้นว่า… “เช่นนั้นฝ่าบาท พระองค์บอกข้าสิ ยังมีเหลืออีกเท่าไหร่ บอกมาเพียงเท่านั้นก็พอแล้ว”
“ยังเหลืออีกครึ่งหนี่ง” ซวนหยวนจือกล่าว
ความมั่งคั่งที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ กลับเหลือเพียงครึ่งเดียว! ทุกคนล้วนเข้าใจดีว่ากองทุนทหารและกองทุนบรรเทาสาธารณภัยจากภัยพิบัติภัยแล้งและพายุหิมะไม่ได้มากขนาดนั้น
และส่วนใหญ่ของค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่ได้ตกถึงมือของผู้ที่ประสบภัยและทหาร
เวลานี้ท่านแม่ทัพเยวี่ยมีเพียงความโกรธกรุ่นปรากฏอยู่บนใบหน้า เขาเป็นจอมพลใหญ่ของกองทัพเทียนหยวน คราที่เขาต่อต้านกองทัพแคว้นชิง หากฝ่าบาทสามารถนำเอาสินสอดทองหมั้นของท่านผู้นำตระกูลมู่ออกมาได้หนึ่งเปอร์เซ็นต์ พวกเขาคงจะมีอาวุธเพียงพอที่จะบดขยี้กองทัพแคว้นชิง
ทว่าในความเป็นจริงกลับไม่มี อาวุธของพวกเขามีเพียงอาวุธธรรมดา ๆ การที่พวกเขาสามารถต้านทานกองทัพแคว้นชิงไว้ได้ นั่นก็เพราะใช้เลือดเนื้อพี่น้องของเขาต่อสู้
ท่านแม่ทัพเยวี่ยรู้สึกได้ถึงความขมขื่น เหตุเพราะมีผู้ปกครองแคว้นเช่นนี้ คําพูดผู้ปกครองแคว้นทำลายทางออกที่เขาพูด เขาได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ
เยวี่ยซู่รู้สึกว่าสีหน้าพ่อของตนแปลกไป เขาถามขึ้น “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรหรือ ?”
ท่านแม่ทัพเยวี่ย “ไม่มีอะไรหรอก บางทีทางเลือกของซีเอ๋อร์อาจจะถูกต้อง”
“ครึ่งหนึ่ง ต่อให้เหลือแค่ครึ่งเดียวก็เอามาก่อนเถอะ” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงใส
“ได้” ซวนหยวนจือพยักหน้าหนักแน่น
หากมู่เฉียนซีตัดสินใจได้เช่นนี้ เรื่องนี้ถือว่ายังผ่านไปได้ด้วยดี ถ้ายังให้เขาพูดเพื่อปกปิดช่องว่าง ไม่พ้นต้องเป็นข่าวร้าย
ซวนหยวนจือคิดในใจ หวังว่ามู่เฉียนซีจะรู้ตัวว่าอย่าเอาตัวมายุ่งวุ่ยวายรนหาที่ตาย
องครักษ์ของวังหลวงยกกล่องสมบัติหนึ่งกล่องออกมาให้ ทุกคนเหลือบมองกล่องนั้นด้วยดวงตาประกายกล้า ในใจพลันคิด ‘น่าปล้นเสียจริง!’
มู่เฉียนซีโบกมือ กล่าวเสียงเข้ม “องครักษ์เงา เยวี่ยเจ๋อ เริ่มนับ หนึ่งต่อหนึ่ง!”
“ขอรับ”
งานเลี้ยงอาหารค่ำของเทศกาลจื่อหยวน งานเลี้ยงที่ฮ่องเต้ทรงจัดขึ้น
ประหลาดดีแท้! ในงานเลี้ยง คนของมู่เฉียนซีกลับกําลังนับเงินและนับสมบัติอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้และเหล่าผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย ประสบการณ์เช่นนี้ไม่เหมือนใครในประวัติศาสตร์เป็นแน่
ซวนหยวนจือไม่กล้าแสดงความไม่พอใจแม้เพียงเล็กน้อย แม้แต่จิ่วเยี่ยก็เฝ้ามองอยู่อย่างเงียบ ๆ
หากการกระทําของเขาทําให้เจ้านั่นไม่พอใจ มันจะเป็นอันตรายเอาได้
องครักษ์เงาและเยวี่ยเจ๋อรวดเร็วมาก เพียงไม่นานพวกเขาก็นับเสร็จเรียบร้อย
มู่เฉียนซี “เยวี่ยเจ๋อ เจ้าคิดให้ฝ่าบาทหน่อยสิ ยังขาดอะไรอีกบ้าง ?”
“ขอรับ”
วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ก็ดี… มันเป็นการฝึกหัวใจของเยวี่ยเจ๋อให้แข็งแกร่งขึ้น
ซวนหยวนจือมองเยวี่ยเจ๋อด้วยสีหน้าเศร้าหมอง กล่าวเสียงเบา “เยวี่ยเจ๋อ เจ้าเป็นบุตรชายคนโตของท่านแม่ทัพเยวี่ย”
สายตาของซวนหยวนจือแฝงไปด้วยแรงกดดันตามแบบฉบับของฮ่องเต้ผู้แข็งแกร่ง
ใจของของเยวี่ยเจ๋อตระหนกตกตื่นเล็ก ๆ เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างติดอยู่ที่ลำคอของตน พูดไม่ออก เหลือบสายตาไปมองหญิงสาวในชุดสีม่วง นิ้วมือที่ขีดผ่านฝ่ามือของเขาก่อเกิดความรู้สึกแสบร้อนจนเขาได้สติตื่นฟื้น
เขาไม่สามารถหวาดกลัวได้ ไม่ว่าหญิงสาวคนนั้นที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นศัตรูเช่นใด เขาผู้นี้ก็ไม่เคยกลัว ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใดก็ต้องสงบนิ่ง สงบนิ่ง และสงบนิ่งเท่านั้น
เขาเพียงแค่ต้องบอกรายการสิ่งของอันเป็นทรัพย์สินที่ยังขาดไป มีอะไรต้องหวาดกลัว ?
“ยังเหลือหยกแก้ววาววับอีกสิบแผ่น ดอกบัวหิมะหมื่นปียี่สิบต้น…” เยวี่ยเจ๋อกล่าวอย่างสงบนิ่ง
เจ้าเด็กตระกูลเยวี่ยช่างบังอาจนัก! คาดไม่ถึงว่าแรงกดดันในตัวเขาจะไม่มีผลกับเยวี่ยเจ๋อ ซวนหยวนจือโกรธจนใบหน้าหม่นคล้ำ ดวงตาคู่นั้นประหนึ่งลุกเป็นไฟร้อน
มุมปากมู่เฉียนซีค่อย ๆ ยกยิ้ม หนุ่มน้อยคนใหม่ที่นางตามหามานี่คุณภาพไม่เลว!
หลังจากที่เยวี่ยเจ๋ออ่านรายการยาว ๆ เสร็จสิ้น มู่เฉียนซียิ้มตาหยีมองไปที่ซวนหยวนจือก่อนจะกล่าวว่า “ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ ฝ่าบาทยืมเงินไปไม่บอกข้าก็ไม่เป็นไร แต่หนี้เหล่านี้ฝ่าบาทต้องตัดสินใจให้แน่ชัดว่าจะคืนเมื่อใด ?”
ดวงตาของซวนหยวนจือฉายแววโมโหลุกโชน เจ้าเด็กผู้นำตระกูล มู่เฉียนซีผู้นี้สุดท้ายจะจบไม่จบ
เขารึอุตส่าห์ยอมถอยให้ถึงเพียงนี้ นางก็ยังไม่เห็นถึงความปรารถนาดี
แต่ซวนหยวนจือ เหตุใดจึงไม่คิดบ้างว่าแต่เดิมสิ่งของพวกนี้ก็เป็นทรัพย์สินของมู่เฉียนซีอยู่แล้ว
.